24 ธ.ค. 2563 | 15:47 น.
“นักแสดงเหล่านี้ ได้รับเกียรติอย่างสูงส่ง เมื่อเราถ่ายฉากนี้เสร็จ เราก็จัดการปรุงมันเป็นอาหารทานกันต่อ”แม้ในตอนหลังเขาจะรู้สึกผิดและเขาสารภาพว่ามันเป็นตราบาปที่หลอกหลอนเขาไปตลอดกาลก็ตาม แต่ความรุนแรงสุดขั้วก็ก่อกำเนิดแฟนเดนตายที่ติดตามผลงานของผู้กำกับคนขยันนี้มาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่า The Isle จะชวนสะอิดสะเอียนแค่ไหน แต่ในทางศิลปะ หนังเรื่องนี้ก็ได้รับการชื่นชมในความหาญกล้าจนได้ฉายในเทศกาลหนังเวนิส คิมได้ทะลุเพดานของความรุนแรงบนจอหนัง จนนักสร้างหนังหลายคนพากันสาดซัดความสยองผ่านหนังในตระกูล K-Horror K-Thriller ที่ต่างยกให้คิมเป็นเสมือนแรงบันดาลใจ แต่ความรุนแรงของคิมก็ไม่ได้ลดน้อยถอยลงเลยรวมไปถึงการสร้างพล็อตสุดแหวกขนบที่ไม่อาจคาดเดาได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็น Bad Guy (2001) ที่เล่าเรื่องของแมงดาผู้ล้างแค้นให้กับหญิงสาวด้วยการทำลายชีวิตของเธอจนเธอต้องขายตัว Samaritan Girl (2004) เพื่อนซี้โสเภณีวัยรุ่นที่ตายไปอย่างรันทด เพื่อนอีกคนจึงทำการไถ่บาปให้กับเพื่อนที่ตายไป ด้วยการไปหลับนอนกับคนที่เคยซื้อบริการเพื่อนของเธอเพื่อชำระบาป 3-Iron (2004) การเติมเต็มส่วนที่ขาดหายของความสัมพันธ์ด้วยการคบชู้กับชายหนุ่มปริศนาที่ไม่เคยปริปากพูดทั้งเรื่อง แม้หนัง The Bow (2005) ที่เสนอพล็อตที่ชวนโรแมนติกอย่างชายชราที่เลี้ยงดูเด็กสาวจนเติบใหญ่บนแพ ก็หักหาญน้ำใจด้วยการวางให้ชายชรารอคอยเด็กสาวอายุ 18 เพื่อจะจับเธอเป็นเมีย หรือกระทั่ง Pietà (2012) ที่คว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเทศกาลหนังเมืองเวนิส ก็เขยื้อนกายที่ที่ความัมพันธุ์อันซ่อนเร้นของหนุ่มกับผู้ที่อ้างตัวเป็นแม่ เหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างในหลายเรื่องที่ คิมคี-ดุก ได้ประเคนไว้ให้กับโลกใบนี้ ความรุนแรงที่คุกคามทั้งในหนังและชีวิตจริง ความรุนแรง / เซ็กซ์ / การคุกคาม / เรื่องราวที่ผิดศีลธรรม และความตาย คือหัวใจสำคัญที่คิมมอบให้ในหนังของเขา จนเกิดข้อถกเถียงมากมายถึงความเกินเลยในตัวตนของเขาที่กระหน่ำซัดใส่คนดูที่แม้จะรับรู้ด้วยตาแต่มันก็เจ็บลึกถึงข้างใน เมื่อมีคนสอบถามถึงแรงบันดาลใจ เขากลับเลือกที่จะตอบเพียงอ้อมแอ้มไปว่า
“ผู้สร้างหนังส่วนใหญ่มักจะสร้างหนังเพื่อก่อเกิดความมั่นคงทางอาชีพและรายได้ แต่ผมสร้างหนังเพื่อตั้งคำถามให้กับชีวิต”“มีคนชายขอบของสังคมมากมายที่วัน ๆ พบเจอสิ่งที่วิปริตบิดเบี้ยว บางคนสิ่งที่เจอนั้นมากกว่าที่เจอในหนังของผมหลายร้อยเท่า” คือคำตอบที่ชวนให้ฉุกคิดว่าเพราะสังคมต้องโหดร้ายขนาดไหนถึงได้ใจทมิฬทำหนังที่โหดทั้งภาพและเนื้อหาได้ขนาดนั้น คำตอบบางอย่างกระจ่างเมื่อคุณได้รับชมหนัง Address Unknown (2001) ที่เล่าเรื่องเสมือนอัตชีวประวัติของเขาในช่วงวัยเด็กที่เล่าถึงช่วงเวลาที่เขาอยู่ในชนบทที่เป็นฐานที่ตั้งของทหารสหรัฐอเมริกา ที่เขาได้พบเจอทั้งทหารที่บาดเจ็บจากสงครามและใช้ยา LSD ในการรักษา ไปจนถึงความบอบช้ำของคนในสถานที่ปิดตายที่ไม่ปรากฏในแผนที่ของเกาหลีใต้ การถูกเพิกเฉยละเลยมาตลอดชีวิตผลักดันให้เขาสร้างงานศิลปะที่เต็มไปด้วยการเฆี่ยนตีอย่างรุนแรง และเมื่อคิมถูกสัมภาษณ์ว่าควรจะรับผิดชอบสังคมหรือไม่ในกรณีที่สร้างความรุนแรงให้เกิดขึ้นในจอหนัง เขาก็โวยวายใส่นักข่าวกลับไปว่า
“ถ้ามีคนตายเพราะความคิดหรือตัวละครที่ผมสร้างขึ้นมา คนพวกนั้นก็สมควรตาย”ไม่ใช่เพียงในจอเท่านั้นที่คิมประเคนความรุนแรงอย่างไม่ยั้ง กับนอกจอในยุคแห่ง #MeToo คิมก็ถูกนักแสดงผู้หญิงอย่างน้อยสามคน ฟ้องร้องในฐานะที่คิมเคยข่มเหงทั้งร่างกายและจิตใจบังคับให้เธอแสดงฉากเลิฟซีนโดยที่เธอไม่เต็มใจ ทำให้เขาโดนปรับถึง 5 ล้านวอน ก่อนที่เขาจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์เนื่องจากไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเขาทำผิดจริง และคิมก็ได้ทำการฟ้องร้องกลับในข้อหาที่ทำให้เขาเสื่อมเสียชื่อเสียงกับกลุ่มสิทธิสตรีที่จงเกลียดจงชังเขาตั้งแต่แรกเริ่มทำหนัง ถึงกระนั้นภาพความเป็นผู้กำกับซาดิสต์วิตถารก็ยังคงถูกตีตราเขาจวบจนวาระสุดท้าย ทางสว่างผ่านหนังที่เล่าถึงการมีชีวิต แต่ที่เซอร์ไพรซ์ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและความรุนแรงที่คละคลุ้งเมอมา คิม ก็ใช้ช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์สุดขีดในชีวิตการทำงานของเขาทำหนังที่กล่าวถึงสัจธรรมชีวิตผ่านฤดูกาลที่เปลี่ยนผันในหนัง Spring, Summer, Fall, Winter... and Spring (2003) ที่เป็นเสมือนจักรวาลคู่ขนานของหนังที่นำเสนอความรุนแรงมาโดยตลอดของเขา หนังเล่าเรื่องของชีวิตผ่านนักบวชที่ช่วงชีวิตเปลี่ยนผันไม่ต่างกับฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลง จนผู้สันทัดกรณีกล่าวถึงหนังเรื่องนี้ว่า “ศาสนาเป็นสิ่งที่คิม คี-ดุกตั้งคำถามมานานแสนนาน แต่เขามักจะตั้งคำถามในแบบพังค์ และในครั้งนี้เขาตั้งคำถามด้วยความอ่อนโยน” และหงส์ในฝูงกา ท่ามกลางความดำมืดจากผลงานที่ผ่านมา แสงสว่างเพียงวูบเดียวของเขานั้นกลับทำให้งานชิ้นนี้กลายเป็นงานมาสเตอร์พีซที่ไม่ต่างกับองคุลีมาลกลับใจในช่วงสุดท้ายเมื่อได้รับแสงแห่งธรรม ท่าทีของคิม ไม่ว่าจะแข็งกร้าวหรืออ่อนโยน แต่สิ่งที่เขานำเสนอนั้นล้วนแต่เป็นการตั้งคำถามทั้งกับผู้คน สังคมอันฟอนเฟะ การเกิดและดับของโลกใบนี้ ไปจนถึงความเจ็บป่วยไม่ว่าทางกายหรือใจที่ต้องเผชิญ น่าเสียดายที่เมื่อเราได้รับรู้ถึงการจากไปในวัย 59 ปี จากโควิด-19 ที่นำพาเขาไปสู่ภพหน้าก่อนถึงการเฉลิมฉลองวันเกิดครบรอบ 60 ปีในอีกไม่กี่วัน ถือเป็นเรื่องน่าเสียดายที่เราได้สูญเสียผู้กำกับที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับด้านมืดของสังคมมนุษย์มาอย่างโชกโชน แต่ผลงานของเขาจะยังคงทำหน้าที่โบยเฆี่ยนสังคมต่อไปจนกว่าโลกใบนี้จะหมดสิ้นซึ่งความชั่วร้ายและอาชญากรรม เรื่อง: สกก์บงกช ขันทอง