เคิร์ท โคเบน: การล่มสลายของสถาบันครอบครัวที่ ‘กรันจ์ร็อก’ ไม่อาจเยียวยา  

เคิร์ท โคเบน: การล่มสลายของสถาบันครอบครัวที่ ‘กรันจ์ร็อก’ ไม่อาจเยียวยา  
ท่ามกลางความเฟื่องฟูและซบเซาของวงดนตรีแฮร์แบนด์ในยุค 80s ‘Nirvana’ ถือกำเนิดขึ้นโดยยึดเอาแนวทางกรันจ์และอัลเทอเนทีฟร็อกเป็นหลัก หลังการวางขายของอัลบั้มชุดที่สอง ‘Nevermind’ เมื่อปี 1991 เสียงกีตาร์แตกพร่า เบสและกลองหนัก ๆ ผสานเข้ากับเสียงร้องที่แผดออกมาจากช่องท้องของ ‘เคิร์ท โคเบน’ (Kurt Cobain) ภายในบทเพลง ‘Smells Like Teen Spirit’ กลายเป็นกุญแจที่นำวงดนตรีเลือดขบถวงนี้ไปสู่ความสำเร็จได้อย่างงดงาม  คนที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของวงดนตรีวงนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน หากเป็น ‘เคิร์ท โคเบน’ (Kurt Cobain) ผู้คิดและเขียนเกือบทุกถ้อยคำของ Nirvana เขาเป็นเจ้าของฉายา ‘ราชาเพลงกรันจ์’ นอกเหนือจากการเป็นนักดนตรี เขาคือชายที่มีประวัติอันแสนเศร้า ขาดรักและตามหามันอยู่ชั่วชีวิต เช่นที่ครั้งหนึ่งเขาเคยถูกกล่าวถึงด้วยถ้อยคำว่า “เคิร์ทโหยหาครอบครัว เขาตามหาตลอดเวลาเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกว่าเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว”   ครอบครัวสุขสันต์ ‘เคิร์ท โดนัลด์ โคเบน’ (Kurt Donald Cobain) เป็นลูกชายคนแรกของ ‘ดอน โคเบน’ (Don Cobain) และ ‘เวนดี โคเบน’ (Wendy Cobain) หลังจากลืมตาดูโลกเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1967 เด็กชายที่เติบโตในเมืองแอเบอร์ดีนก็รายล้อมไปด้วยความรักของพ่อแม่ และญาติ ๆ เขามีผมสีบลอนด์ ดวงตาสีอ่อน แก้มแดง ๆ และใบหน้าที่มักประดับด้วยรอยยิ้มรับญาติผู้ใหญ่ที่ผลัดกันมาเยี่ยมหลานรักคนนี้อยู่เสมอ  แววศิลปินของเคิร์ทเริ่มขึ้นตั้งแต่เขายังเล็ก เจ้าเด็กตัวจิ๋วเริ่มร้องเพลงและเล่นกีตาร์ (แน่นอนว่าเป็นกีตาร์ของเล่นขนาดเล็ก) และในไม่ช้าเขาก็เริ่มวาดรูป ภาพวาดลายเส้นขยุกขยุยของเคิร์ทที่ยังไม่ครบสามขวบดีเต็มไปด้วยตัวการ์ตูนน่ารักที่ถูกระบายสีอย่างเต็มความสามารถ “ฉันหลงรักเขาหัวปักหัวปำ เขาเป็นเด็กจิตใจดีและห่วงใยทุกคน” คือถ้อยคำที่เวนดีพูดถึงลูกชายตัวจ้อยของตน  ความน่ารักและซุกซนของเด็กชายทำให้ภายในบ้านหลังเล็กของเธอเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะแทบจะตลอดเวลา หากความสุขก็อยู่กับครอบครัวนี้ได้ไม่นานนัก เค้าลางของปัญหาเริ่มขึ้นเมื่อกุมารแพทย์ตรวจพบว่าเคิร์ทเป็นเด็กสมาธิสั้น – พร้อมกับกำหนดคลอดของ ‘คิม โคเบน’ น้องสาวของเคิร์ทที่กลายมาเป็นเจ้าตัวจ้อยคนใหม่ของบ้าน ความซุกซนที่มากขึ้นตามวัยของเคิร์ทเริ่มทำให้พ่อของเขาทนไม่ไหว   ล่มสลาย “ฉันมีเก้าอี้โยกเก่า ๆ อยู่ตัวหนึ่ง เคิร์ทมักจะกลับหัวกลับหาง เอาหัวห้อยไว้ตรงที่วางขา และเอาขาวางบนเก้าอี้ โยกเร็ว 90 ไมล์ต่อชั่วโมง เร็วจนเก้าอี้โยกไปโดนกำแพงข้างหลัง และพูดตามเซซามีสตรีท (Sesame Street: การ์ตูนสอนภาษาสำหรับเด็ก) ได้เป๊ะทุกคำ”  เวนดีบอกว่าเคิร์ทไม่ได้ต่างอะไรกับเด็กทั่วไป (ที่สมาธิสั้น) แต่ดอนไม่ชอบใจพฤติกรรมของเขา คำพูดถากถางและดูแคลนจากคนเป็นพ่อทำให้เคิร์ทในวัยยังไม่ประสารู้สึกอับอายและเจ็บปวด เสียงหัวเราะที่มักดังคลออยู่ภายในบ้านเริ่มห่างหายราวกับแผ่นเสียงแผ่นเก่าที่ถูกเล่นจนตกร่อง ท่ามกลางความเหนื่อยล้าจากการรับมือกับสามี ลูกชายวัยซน และลูกสาวที่ยังเล็ก เวนดีระลึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่เธอสูญเสียไปหลังจากมีครอบครัว – สิ่งที่เธอเสียไปหลังจากแต่งงานกับดอน ดอนและเวนดีตัดสินใจหย่ากันเมื่อเคิร์ทอายุได้เก้าขวบ ราวกับโลกถล่มลงตรงหน้า เคิร์ทอาละวาดด้วยความโกรธและเสียใจ เขาล็อกไม่ให้พี่เลี้ยงและน้องสาวเข้าบ้านแล้วเริ่มทำตัวเกเรสุดกู่ เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เวนดีตัดสินใจให้เด็กชายไปอยู่กับพ่อ “ผมชอบที่เขามาอยู่ด้วยนะ ผมเคยบอกเคิร์ทว่าผมจะไม่แต่งงานใหม่ สำหรับเคิร์ทมันคงเป็นการให้คำสัญญา และผมรักษาสัญญาเอาไว้ไม่ได้เมื่อผมเจอเจนนี” เคิร์ทเคยเป็นศูนย์กลางความรักของคนทั้งบ้าน ตอนนี้เขามีเจนนีเป็นแม่เลี้ยงและมีพี่น้องต่างแม่ เขายังได้รับความรัก หากได้ไม่เท่ากับที่เคย ความรู้สึกถูกทอดทิ้งและไม่เข้าพวกทำให้เคิร์ทเริ่มทำตัวเจ้าปัญหาอีกครั้ง และโชคร้ายที่ไม่มีใครควบคุมให้เขาอยู่กับร่องกับรอยได้ นับจากขวบปีที่เก้าเป็นต้นไป เด็กชายเคิร์ทที่เต็มไปด้วยความสุขและใบหน้าเปื้อนยิ้มอยู่ตลอดเวลาไม่เคยหวนกลับมาอีกเลย   เด็กชายผู้ปฏิเสธรัก “ฉันคิดว่าเขาอยากอยู่กับแม่” “เราพยายามที่จะเป็นครอบครัว แต่ว่าเขาปฏิเสธมัน เขาปฏิเสธครอบครัว ปฏิเสธสิ่งที่ตัวเองต้องการที่สุด” “เคิร์ทถูกย้ายไปบ้านญาติทุก ๆ หลัง และหลังจากสองอาทิตย์ผ่านไป พวกเขาก็อยากไล่เคิร์ทออกมา” เคิร์ทเหมือนลูกบอลที่ถูกโยนไปทางโน้นและทางนี้ ไม่มีใครอยากรับเขาเอาไว้ การถูกกระทำเหมือนเป็นตัวปัญหาที่ใคร ๆ ก็อยากจะปัดทิ้งให้พ้นตัว ทำให้เคิร์ทตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับโลก เขาเกลียดผู้คน เช่นเดียวกับที่ผู้คนเอือมระอากับพฤติกรรมของเขา เคิร์ทโหยหาครอบครัว เขาต้องการความรักและอ้อมกอดเช่นเดียวกับมนุษย์ทั่วไป หากเขาก็มักวิ่งหนีทุกคนที่พยายามจะเอาใจใส่เพราะอยากให้เขาเป็นเด็กดี เคิร์ทถูกส่งกลับมาอยู่กับแม่และน้องสาวอีกครั้งเมื่อเขาเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น ช่วงนั้นเองที่เคิร์ทได้พบวิธีหลีกหนีจากความโกรธและความเศร้าที่กัดกินคืนและวันของเขาอยู่ เขาขังตัวเองไว้ในห้อง สูบกัญชาและวาดภาพที่หม่นเศร้ากว่าที่เคย  เคิร์ทไม่เคยทิ้งความสนใจในดนตรี ความรักในศิลปะและเสียงกีตาร์ของเขาเพิ่มขึ้นตามเวลา และเมื่อรู้จักกับพังก์ร็อก เคิร์ทก็เริ่มเขียนเพลงและก่อตั้งวงดนตรี   Nirvana หลังจากเริ่มชีวิตในเส้นทางสายร็อกแอนด์โรลตั้งแต่ยังไม่จบชั้นมัธยมฯ ปลาย เคิร์ทในวัยยี่สิบปีก็ได้ฤกษ์ก่อตั้ง ‘Nirvana’ วงดนตรีที่ภายหลังเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกด้วยชื่อวงที่เขาให้ความหมายว่า ‘freedom from pain, suffering and the external world.’ หรือ ‘เป็นอิสระจากความเจ็บปวดและโลกทั้งใบ’ อัลบั้ม ‘Nevermind’ ทำให้ Nirvana กลายเป็นวงร็อกสัญชาติอเมริกันที่โด่งดังไปทั่วโลก พวกเขาเป็นที่พูดถึง เป็นที่คลั่งไคล้ และเป็นที่เกลียดชัง หนุ่มและสาวชอบพวกเขาเท่า ๆ กับที่ผู้ใหญ่หลายคนไม่ชอบ การก่นด่าปัญหาสังคมอย่างตรงไปตรงมาแบบ ‘พุ่งชนทุกอย่างด้วยดนตรี’ และใช้ชีวิตอย่าง ‘ร็อกสตาร์’ ทำให้ Nirvana ถูกขนานนามโดยอเมริกันชนว่าเป็น ‘กระบอกเสียงแห่งยุค 90s’  ช่างเป็นตำแหน่งที่ทรงเกียรติเสียนี่กระไร แต่น่าเสียดายที่เคิร์ทไม่ได้ต้องการมันแม้แต่น้อย เขาต้องการความสำเร็จในดนตรีแต่เขาไม่ได้ต้องการชื่อเสียงที่ตามมา หลายครั้งที่เคิร์ทปฏิเสธการให้สัมภาษณ์กับสื่อ และปฏิเสธการแสดงสดเพลง ‘Smells Like Teen Spirit’ เพราะไม่ชอบใจที่เพลงที่เขียนขึ้นเพราะความเบื่อหน่ายในดนตรีกระแสหลักได้กลายเป็นดนตรีกระแสหลักที่ดังลั่นฟ้าไปเสียเอง   ครอบครัวสุขสันต์ unplugged “เธอน่าสนใจ เป็นนักดนตรี และเธอใช้ยา ไม่แปลกที่เคิร์ทจะชอบเธอ” คือคำที่คริสต์ โนโวเซลิก (Krist Novoselic) มือเบสประจำวง Nirvana พูดถึง คอร์ทนีย์ เลิฟ (Courtney Love) หวานใจคนสุดท้ายที่กลายเป็นภรรยาคนแรกและคนเดียวของเคิร์ท พวกเขาพบกันในช่วงที่ชีวิตของเคิร์ทกำลังรุ่ง ตกหลุมรักกันหัวปักหัวปำ และเล่นยาด้วยกันข้ามวันข้ามคืน  เคิร์ทแต่งงานกับคอร์ทนีย์ และให้กำเนิด ‘ฟรานเซส บีน โคเบน’ (Frances Bean Cobain) ลูกสาวคนเดียวของทั้งคู่ ความน่ารักของเด็กน้อยเติมเต็มให้เคิร์ทได้สัมผัสกับคำว่าครอบครัวอีกครั้งหลังจากที่ห่างหายจากมันมาตั้งแต่ขวบปีที่เก้า หากความสุขก็อยู่กับเขาได้ไม่นาน เคิร์ทมีอาการปวดท้องตั้งแต่เริ่มร้องเพลง (และเขาร้องเพลงทุกวันนับจากนั้น) อาการปวดท้องที่รุนแรงขึ้นทุกวันทำให้เคิร์ทต้องเพิ่มปริมาณเฮโรอีนที่เขาใช้ต่างยาแก้ปวดในทุกวันเช่นกัน ขณะที่คอร์ทนีย์เลิกใช้ยาตั้งแต่เดือนแรก ๆ ที่รู้ว่าตัวเองตั้งท้อง อาการติดยาของเคิร์ทกลับยิ่งหนักข้อ  แม้เคิร์ทจะขีดเขียนในสมุดบันทึกของเขารอบแล้วรอบเล่าว่าเขาอยากเลิกยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดแค่ไหน และเขารัก ‘ฟรานเซส’ ลูกสาวของเขามากเพียงใด หากเขาก็ยังหักดิบจากมันไม่ได้ ตรงกันข้าม ความทุกข์ที่กัดกินใจเขาอยู่กลับทำให้เคิร์ทเสพยาหนักขึ้นทุกขณะ “ตอนที่ฉันเข้าไปหาเขาในห้อง เขากำลังร้องไห้ เขาร้องไห้เพราะรู้ว่าฉันจะต้องเสียใจ ฉันถามเขาว่าตอนนี้เขาถึงขั้นติดเฮโรอีนงอมแงมหรือยัง และเขาก็ร้องไห้อีก เขารู้สึกละอาย” แม้เคิร์ทจะรักคอร์ทนีย์และฟรานเซสมากแค่ไหน หากเขาก็คงได้รู้ในช่วงท้ายของชีวิตนั่นเองว่าครอบครัวสุขสันต์ที่เขาเฝ้าฝันนั้นไม่มีอยู่จริง ว่ากันว่าเพลง ‘Where Did You Sleep Last Night’ ที่เคิร์ทร้องเป็นเพลงปิดท้ายในรายการ ‘MTV Unplugged’ นั้นคือสารที่เขาต้องการส่งไปให้ถึงคอร์ทนีย์ผู้เป็นภรรยา ที่ออกมายอมรับภายหลังว่า ในเวลานั้นเธอคิดนอกใจเคิร์ทจริง ๆ “ฉันเคยคิดนอกใจเขา ฉันแค่คิดแต่ไม่ทันได้ลงมือทำอะไร แต่เหมือนเขามีเซนส์บางอย่างเพราะเขารู้ สิ่งที่เขาทำคือกินยาเข้าไป 67 เม็ด เขาจะฆ่าตัวตายเพราะฉันคิดนอกใจ”   อายุ 27 ตลอดกาล แม้เราไม่อาจคาดเดาเหตุผลที่แท้จริงแห่งการจบชีวิตตัวเองด้วยกระบอกปืนในวัยเพียง 27 ปี ของนักร้องผู้เป็นตำนานคนนี้ได้ หากเรื่องราวของเขาก็จะยังถูกเล่า – อันที่จริงเคิร์ทกลายเป็นตำนานมากขึ้นหลังจากเขาตาย เรื่องราวของเขาถูกเล่า ตัวตนของเขาถูกนับถือ พูดถึง และชื่นชม (พร้อมด้วยคำเตือนว่าไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่างในบางประการ)  ทุกบทเพลงที่เขาแต่ง ทุกภาพที่เขาวาด และทุกสิ่งที่เขาทำ สิ่งเหล่านั้นจะถูกบันทึกและกล่าวขานในฐานะราชาแห่งกรันจ์ร็อกไปอีกนานเท่านาน เฉกเช่นเดียวกับคำที่ฟรานเซสผู้เป็นลูกสาวได้เปิดใจพูดถึงพ่อที่เธอแทบจะไร้ความทรงจำร่วมคนนี้ว่า “เขาอายุ 27 ตลอดกาล เขาจะอยู่ในช่วงเวลานั้น ๆ และสวยงามตลอดไป”   ที่มา: สารคดี Kurt Cobain: Montage of Heck (2015)