แมรี เคน นักวิ่งดาวรุ่ง กลายเป็นดาวร่วงหลังร่วมทีม Nike

แมรี เคน นักวิ่งดาวรุ่ง กลายเป็นดาวร่วงหลังร่วมทีม Nike
"ฉันร่วมทีม Nike เพราะฉันต้องการเป็นนักกีฬาหญิงที่เก่งที่สุด แต่ฉันกลับถูกข่มเหงทั้งร่างกายและจิตใจด้วยระบบที่ออกแบบโดยอัลเบอร์โต (อัลเบอร์โต ซาลาซาร์ ) ซึ่ง Nike ให้การยอมรับ" แมรี เคน (Mary Cain) อดีตนักวิ่งดาวรุ่งทีมชาติสหรัฐฯ กล่าวถึงประสบการณ์ในค่ายซ้อมของ Nike ใน "I Was the Fastest Girl in America, Until I Joined Nike" ในคอลัมน์ Opinion ของ The New York Times แมรี เคน เป็นนักวิ่งระยะกลาง เคยได้รับการยกย่องว่าเป็นนักวิ่งพรสวรรค์ที่หลายสิบปีจะมีมาให้เห็นสักคนหนึ่ง เธอสร้างสถิติระดับชาติมากมายในระดับเยาวชน จนได้ร่วมทีมไปชิงแชมป์เยาวชนโลกที่บาร์เซโลนา ประเทศสเปน เมื่อปี 2012 ด้วยวัยเพียง 16 ปี แม้ว่าเธอจะไม่ได้รับเหรียญรางวัล แต่ก็สามารถทำลายสถิติระดับมัธยมปลายของสหรัฐฯ ในรายการ 1,500 เมตร ความยอดเยี่ยมของเธอไปเข้าตาหัวหน้าทีมงาน Oregon Project ของ Nike บริษัทกีฬายักษ์ใหญ่ระดับโลก และสปอนเซอร์หลักของสมาคมกรีฑาสหรัฐฯ นั่นก็คือ อัลเบอร์โต ซาลาซาร์ (Alberto Salazar) อดีตนักวิ่งมาราธอนและโค้ชระดับตำนาน (เคยเทรน โม ฟาราห์ เจ้าของ 4 เหรียญทองโอลิมปิก จากระยะ 5,000 และ 10,000 เมตร)  เมื่อซาลาซาร์ได้เห็นวิดีโอการวิ่งของเคนในบาร์เซโลนาก็รีบติดต่อมากลางดึก แม่ของเคนรับสาย ซาลาซาร์ก็รีบสาธยายว่า การจัดร่างกายช่วงล่างของเคนทำได้อย่างยอดเยี่ยม และดีพอที่จะทำให้เธอกลายเป็นนักวิ่งที่ดีที่สุดในโลกได้ ติดแต่ช่วงบนที่จะต้องแก้ไขโดยเฉพาะศอกซ้ายที่ควรเก็บชิดร่างกายเหวี่ยงไปหน้าหลังตรง ๆ ไม่ใช่เหวี่ยงเข้าเหวี่ยงออกขวางลำตัวเหมือนไก่ตีปีก (The New York Times) แม่ของเคนได้ยินเข้าก็งงว่า ใครมาแกล้งเล่นพิเรนทร์โทรมากวนกลางดึกรึเปล่า? แต่พอรู้ว่า เป็นซาลาซาร์ตัวจริง แม่ของเคนก็คุยกับยอดโค้ชคนนี้หลายครั้ง ก่อนตกลงใจให้ลูกสาวเข้าร่วมโครงการฝึกซ้อมนักกีฬาของ Nike ของซาลาซาร์ที่ออริกอน ปีแรก (2013) ที่อยู่ภายใต้การดูแลของซาลาซาร์ เคนสามารถทำลายสถิติของตัวเองได้แทบทุกสัปดาห์ รวมถึงสถิติระดับประเทศในชั้นไฮสคูล กลายเป็นนักวิ่งหญิงอเมริกันระดับเยาวชนคนแรกที่วิ่ง 800 เมตร ได้ต่ำกว่า 2 นาที ผ่านการคัดเลือกให้ติดทีมชาติชุดใหญ่ไปชิงแชมป์โลกด้วยอายุเพียง 17 ปี และได้รับรางวัล นักกีฬาเยาวชนดีเด่นแห่งปีจาก USATF (สมาคมกรีฑาของสหรัฐฯ)  แต่ผลกระทบจากการฝึกซ้อมของซาลาซาร์ ทำให้สุขภาพร่างกายและจิตใจของเคนทรุดโทรมอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการควบคุมอาหารอย่างเข้มงวด ทำให้เธอประจำเดือนไม่มาถึง 3 ปี กระดูกหัก 5 ครั้ง และคิดสั้นถึงขั้นฆ่าตัวตาย "ตอนที่ฉันเริ่มเข้าโครงการ เจ้าหน้าที่ Nike ซึ่งทั้งหมดเป็นผู้ชายเชื่อว่า การที่ฉันจะวิ่งเร็วขึ้นได้ ฉันจะต้องผอมลง ผอมลง แล้วก็ผอมลง" เคนกล่าวก่อนเสริมว่า ในทีมงานของ Nike ไม่มีนักจิตวิทยา ไม่มีนักโภชนาการมืออาชีพ มีแต่เพื่อนของซาลาซาร์ เมื่อเธอมีปัญหาอะไร คุยกับใครก็จะได้รับคำตอบเดียวกลับมาคือ “จงฟังที่อัลเบอร์โตพูด”  เคนอ้างว่า ซาลาซาร์เลือกตัวเลขน้ำหนักตัวของเธอตามใจชอบ (114 ปอนด์) และจะจับเธอชั่งน้ำหนักต่อหน้าเพื่อนนักกรีฑา พร้อมต่อว่าให้เธออับอายถ้าเธอทำน้ำหนักไม่ได้ตามที่เขาต้องการ ทั้งยังต้องการให้เธอกินยาคุมกำเนิดเพื่อลดน้ำหนัก แรงกดดันทั้งด้านร่างกายและจิตใจทำให้เธอวิ่งได้แย่ลงเรื่อย ๆ และหลายครั้งที่ลงวิ่ง เธอก็รู้ตัวแต่แรกแล้วว่าเธอจะต้องแพ้  เธอยอมรับว่า น้ำหนักเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับนักกีฬาที่จะต้องควบคุมเพื่อความได้เปรียบ แต่สำหรับนักกีฬาหญิงที่อยู่ในระดับเยาวชน การลดน้ำหนักเกินขนาดสามารถส่งผลกระทบอย่างรุนแรง กระตุ้นให้เกิดอาการ RED-S (Relative energy deficiency in sport ภาวะขาดแคลนพลังงานในนักกีฬาเมื่อเทียบกับการฝึกซ้อม  ซึ่งเป็นผลจากพฤติกรรมการกินที่ผิดปกติ) ทั้งยังทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ ในกรณีของเธอ ประจำเดือนขาดนานถึง 3 ปี เมื่อประจำเดือนมาไม่ปกติ ร่างกายก็ขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน ที่จำเป็นต่อการรักษาความแข็งแรงของกระดูก ทำให้เธอกระดูกหักไม่ซ้ำที่ถึง 5 ครั้ง เคนบอกว่า เมื่อเธอได้เห็นรายงานของ Times ในช่วงต้นปี 2015 เล่าถึงการฝึกซ้อมของซาลาซาร์ที่ช่วยบ่มเพาะพรสวรรค์ให้กับเธอ ซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริง ยิ่งทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัว โดดเดี่ยว และเหมือนติดอยู่ในกับดักหนีไปไหนไม่ได้ เธอคิดฆ่าตัวตาย เมื่อลงมือพยายามฆ่าตัวเอง แม้จะมีคนเห็นแต่ก็ไม่มีใครคิดที่จะออกมาพูด หรือช่วยเหลืออะไร  หลังการวิ่งที่ย่ำแย่ในเดือนพฤษภาคม 2015 และถูกซาลาซาร์ตำหนิว่าน้ำหนักขึ้นมา 5 ปอนด์ เธอตัดสินใจบอกกับซาลาซาร์ว่า เธอพยายามฆ่าตัวตาย เขากลับบอกให้เธอไปนอน มันเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้เธอตัดสินใจบอกที่บ้าน และหันหลังให้กับทีม วิดีโอชุดนี้ เผยแพร่ในเดือนพฤศจิกายน 2019 หลังซาลาซาร์ถูกสั่งแบนเป็นเวลา 4 ปี ฐานทำผิดกฎต่อต้านการใช้สารกระตุ้น ทำให้ Nike ตัดสินใจยุบ Oregon Project ในเวลาต่อมา แม้จะยังสนับสนุนให้ซาลาซาร์ทำการอุทธรณ์คำสั่งแบนต่อไป  (สตีฟ แมกเนส [Steve Magness] นักวิทยาศาสตร์การกีฬาและโค้ชที่เคยร่วมโครงการ ออกมาเผยว่า Oregon Project มีการทดลองฉีดเทสโทสเตอโรน และแอลคาร์นิทีน ในนักกีฬาในปริมาณที่สูงกว่ากำหนด ขณะที่ คารา เกาเชอร์ [Kara Goucher] อดีตนักกีฬาโอลิมปิกที่เคยเทรนกับซาลาซาร์ก็ออกมายืนยันว่า โค้ชคนเก่งมักจะบอกให้นักกีฬาใช้ยาที่แพทย์ออกใบสั่งให้ได้ หากเชื่อได้ว่ามันจะมีส่วนช่วยผลการแข่งขัน แม้จะไม่ใช่ยาที่จำเป็นต่อสุขภาพก็ตาม - The New York Times) ฝ่าย Nike ออกมาชี้แจงว่า พวกเขาเป็นกังวลกับข้อกล่าวหาดังกล่าว เพราะมันเป็นเรื่องที่เคนและครอบครัวไม่เคยออกมาพูด แถมเคนยังเพิ่งมาขอกลับเข้าร่วม Oregon Project ของซาลาซาร์ล่าสุดในเดือนเมษายน 2019 โดยไม่ได้แสดงความกังวลใด ๆ ต่อการฝึกซ้อม แต่พวกเขาก็พร้อมจะทำการสอบสวนเป็นการภายในและยืนยันว่า ยึดถือประโยชน์ต่อนักกีฬาเป็นสำคัญเสมอ ขณะที่ข้อกล่าวหาดังกล่าว มิได้สอดคล้องกับค่านิยมขององค์กรแต่อย่างใด เคน ตอบกลับไปว่า เธอยังคงรักซาลาซาร์ เพราะเขา "เคย" เป็นเหมือนพ่อ หรือจะเรียกว่า "พระเจ้า" ก็ได้ แม้ว่าเธอจะถูกทำร้ายทางจิตใจอย่างรุนแรง แต่เธอก็ยิ่งต้องการให้คนที่ทำร้ายเธอยอมรับในความสามารถของเธออยู่ดี เธอเองทรมานกับความรู้สึกที่ใจหนึ่งก็อยากเป็นอิสระจากเขา แต่อีกใจหนึ่งก็ต้องการกลับไปเป็นคนโปรดของซาลาซาร์  จนกระทั่งมีรายงานเรื่องโด๊ปยาของโครงการออกมา มันเป็นเหมือนการปลดปล่อยให้เธอเป็นอิสระ และเข้าใจอย่างแท้จริงว่า ระบบนี้ไม่โอเค จึงต้องออกมาพูด ส่วนการสอบสวนภายในของ Nike นั้น ไม่มีการเปิดเผยผลการสอบสวนต่อสาธารณะ ไม่ปรากฏว่าใครเป็นผู้สอบสวน บอกแต่ว่าจะใช้ผลการสอบสวนนั้นเพื่อช่วยสนับสนุนนักกีฬาหญิงได้ดีกว่าเดิม ซึ่งมาตรการเพิ่มเติมก็มีเช่น ลงทุนวิจัยเรื่องผลกระทบจากการฝึกซ้อมในนักกีฬาหญิงทั้งระดับเยาวชนและผู้ใหญ่ เพิ่มจำนวนโค้ชหญิง สร้างหน่วยงานวิชาการที่จะช่วยให้บริษัทเข้าใจถึงโอกาสและอุปสรรคต่าง ๆ ที่นักกีฬาหญิงต้องเผชิญ เป็นต้น เมื่อเคนได้ทราบเรื่องดังกล่าว เธอออกมาให้ความเห็นว่า "มันไม่มีความโปร่งใสเลยในกระบวนการนี้ ฉันจึงรู้สึกอึดอัดใจที่ไม่รู้ว่าเขาเอาใครมาทำหน้าที่ มันคือการที่ Nike สอบสวน Nike เอง และดูเหมือนว่า คนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการที่เป็นปัญหาเป็นผู้ที่ตรวจสอบตัวเองด้วย" (Women's Running) ปัจจุบัน เคนอายุ 23 ปี แม้ว่าเธอจะประสบปัญหามายาวนาน และเสียเวลาไปหลายปี แต่เธอก็ยังไม่ท้อถอย และคงมุ่งมั่นที่จะเอาดีด้านการวิ่งต่อไป  "สังคมมักจะบอกคุณว่า คุณแก่เกินไป คุณเด็กเกินไป คุณใช้เวลาเยอะไป หรือดูเหมือนคุณจะไม่เหมาะกับมัน จงพิสูจน์ให้พวกเขาเห็นว่ามันผิด" เคน ทวีตข้อความเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2020