ไมค์ ลาซาริดิส : ยุครุ่งโรจน์และร่วงหล่นของโทรศัพท์มือถือ ‘BlackBerry’

ไมค์ ลาซาริดิส : ยุครุ่งโรจน์และร่วงหล่นของโทรศัพท์มือถือ ‘BlackBerry’
หลังฉลองปีใหม่ 2022 ได้ไม่นาน โทรศัพท์มือถือ BlackBerry ได้ประกาศหยุด support การใช้งานทั้ง BlackBerry OS 7.1 และ BlackBerry 10 ทั้งฟีเจอร์พื้นฐานและการอัปเดตซอฟต์แวร์ หลังจากที่เริ่มห่างหายจากสายตาของผู้คนมานานหลายปี ทั้งที่เคยเป็นโทรศัพท์ยอดฮิตผู้ครองส่วนแบ่งการตลาดลำดับต้น ๆ มาก่อน เกิดอะไรขึ้นกับ BlackBerry เรื่องราวต่อไปนี้คือคำตอบ   จาก RIM สู่ BlackBerry ก่อนจะเป็นชื่อ BlackBerry บริษัทนี้มีชื่อว่า RIM (Research In Motion) ก่อตั้งขึ้นในปี 1984 ในรัฐออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา  ไมค์ ลาซาริดิส’ (Mike Lazaridis) นับเป็นตัวตั้งตัวตีของบริษัทแห่งนี้ เขาหลงใหลวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่วัยเยาว์ และเฝ้าสงสัยว่าสิ่งต่าง ๆ ทำงานอย่างไรบ้าง ความสงสัยใฝ่รู้ของเขาถูกการันตีด้วยรางวัลการอ่านหนังสือวิทยาศาสตร์ครบทุกเล่มใน the Windsor Public Library ด้วยอายุเพียง 12 ปีเท่านั้น    ไมค์ ลาซาริดิส : ยุครุ่งโรจน์และร่วงหล่นของโทรศัพท์มือถือ ‘BlackBerry’   นอกจากวิทยาศาสตร์แล้ว เขายังเติบโตมาพร้อมกับเพื่อนสนิทอย่าง ‘ดักลาส เฟรกิน’ (Douglas Fregin) โดยช่วงมหาวิทยาลัย ทั้งคู่ได้ตัดสินใจก่อตั้งบริษัท RIM ขึ้นมา แล้วชวน จิม บัลซิลลี่ (Jim Balsillie) เข้ามาเป็น co-CEO ร่วมกับไมค์ ในปี 1992 โดยบริษัทในยุคนั้นมีพนักงานอยู่เพียง 10 คน และให้บริการทั้งองค์กรภาครัฐ บริษัทผลิตรถยนต์ ไปจนถึงโรงงานอุตสาหกรรม แต่ยังไม่ได้เป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วไปมากนัก  จนกระทั่งปี 2007 RIM กลายเป็นบริษัทที่โด่งดังไปไกลกว่าในแคนาดา แถมยังมีมูลค่าสูงถึง 68 พันล้านดอลลาร์ในช่วงปี 2007 โดยความสำเร็จหลัก ๆ มาจากผลิตภัณฑ์ที่ชื่อว่า ‘BlackBerry’   การสุกงอมและร่วงหล่นของ BlackBerry ‘BlackBerry’ คือโทรศัพท์มือถือที่ตั้งชื่อตามหน้าตาของปุ่มกดที่คล้ายกับลูกแบล็กเบอร์รีจริง ๆ ซึ่งหลังจากเปิดตัวในปี 1999 โทรศัพท์มือถือรุ่นนี้ก็ชวนให้หลายคนตกหลุมรักจากปุ่มแสนเก๋กับฟีเจอร์เท่ ๆ อย่าง BBM หรือ BlackBerry Messenger ที่สามารถรับ-ส่งข้อความได้ทันทีไม่มีจำกัด ไม่ต้องเสียเงินส่ง SMS แบบโทรศัพท์มือถือรุ่นเก่า แถมยังเป็นข้อความที่ดูเอ็กซ์คลูซีฟ เพราะต้องขอ BB pin จากคนที่ใช้ BlackBerry เหมือนกัน ทำให้โทรศัพท์ยี่ห้อนี้เริ่มดังเป็นพลุแตกจนเคยมีส่วนแบ่งตลาดโทรศัพท์มือถือสูงถึง 43% ในสหรัฐอเมริกา และ 20% ทั่วโลก  ไมค์ ลาซาริดิส : ยุครุ่งโรจน์และร่วงหล่นของโทรศัพท์มือถือ ‘BlackBerry’ แต่ความรุ่งเรืองที่ว่ากลับอยู่ได้ไม่นาน เพราะปีไล่เลี่ยกันนั้น Apple ได้เปิดตัวโทรศัพท์มือถือ iPhone ในปี 2007 แต่ไมค์กลับบอกว่า “มันดูเหมือน Mac Computer ของ Apple ถูกย่อส่วนลงมาอยู่ในโทรศัพท์มือถือมากกว่า”  แถมราคายังแพงแสนแพง ไมค์จึงคิดว่าผู้คนยังอยากใช้คีย์บอร์ดแบบ BlackBerry อยู่เหมือนเดิม  ทว่า เขาประเมินสถานการณ์ผิดไป…  เพราะหลังจากนั้นตลาดโทรศัพท์มือถือก็ขยายตัวและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อย่างไอโฟนที่อัปเดตรุ่นใหม่ทุก ๆ ปี สมาร์ตโฟนแอนดรอยด์ที่มีหน้าจอสัมผัสและได้รับความนิยมมากขึ้น ขณะที่ BlackBerry ยังยืนยันจะพัฒนาโทรศัพท์มือถือแบบเดิมต่อไป ในปี 2008 BlackBerry เคยทำ flip phone ออกมา รวมทั้ง BlackBerry Storm ที่เป็นระบบสัมผัส แม้กระทั่งแท็บเล็ต แต่ในแง่ประสิทธิภาพ ความเร็ว และความเสถียรยังไม่สามารถซื้อใจผู้บริโภคได้อย่างเก่า แถมหลายคนยังเคยชินกับการใช้ไอโฟนหรือแอนดรอยด์ จนตัดสินใจควักกระเป๋าตังค์จ่ายให้ BlackBerry น้อยลงเรื่อย ๆ   ยิ่งในเดือนมิถุนายน ปี 2010 ที่ Apple เริ่มเปิดตัว iPhone 4 ออกมา และมียอดขายแซงหน้า BlackBerry ไปเป็นครั้งที่สอง ยิ่งทำให้ส่วนแบ่งการตลาดของ BlackBerry ทั่วโลกลดลงจนเหลือน้อยกว่า 5% ในปี 2012 ซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะสามารถกู้สถานการณ์กลับมาได้อย่างเคย  นอกจากนี้ ช่วงปลายปี 2021 ที่ผ่านมา BlackBerry ยังประกาศว่าจะยกเลิกระบบปฏิบัติการต่าง ๆ ทั้ง BlackBerry OS 7.1 และ BlackBerry 10 นับเป็นการโบกมือลาโทรศัพท์มือถือ BlackBerry รุ่นเก่าอย่างถาวร  หากย้อนมองไปยังการปรับตัวของ BlackBerry สาเหตุหลักของความสำเร็จที่เกิดขึ้นและหายไปอย่างรวดเร็วนั้น อาจเป็นเพราะจังหวะที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด ขณะเดียวกัน BlackBerry ยังคงยึดมั่นกับความสำเร็จครั้งเก่า จนลังเลที่จะปรับตัว จนรู้ตัวอีกที โทรศัพท์ปุ่มกดอย่าง BlackBerry ก็กลายเป็นตำนานไปเสียแล้ว…   ที่มา: https://newsface.co/giant-blackberry-downfall-case-study/?doing_wp_cron=1643264734.5861270427703857421875 https://www.businessinsider.com/blackberry-smartphone-rise-fall-mobile-failure-innovate-2019-11 https://www.thecanadianencyclopedia.ca/en/article/mike-lazaridis https://techcrunch.com/2022/01/03/seriously-its-time-to-get-rid-of-that-classic-blackberry-for-real-now/?tpcc=tcplustwitter