โมริ โมโตนาริ “ธนูดอกเดียวหักได้ง่าย แต่หากมัดรวมกัน 3 ดอกย่อมหักได้ยาก”

โมริ โมโตนาริ “ธนูดอกเดียวหักได้ง่าย แต่หากมัดรวมกัน 3 ดอกย่อมหักได้ยาก”
ในยุคเซ็นโกคุ (Sengoku) หรือสงครามกลางเมืองญี่ปุ่นที่สมรภูมิรบคือทุกแห่งหนรอบตัว การรักษาเมืองมิให้ข้าศึกรุกรานเป็นความท้าทายอันยิ่งใหญ่ของไดเมียวผู้ปกครองแคว้นต่าง ๆ เพราะหากคนในเมืองไร้ซึ่งความสามัคคี เมืองนั้นก็ถูกตีแตกได้ง่าย ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน โมริ โมโตนาริ (Mori Motonari ค.ศ. 1497-1571) เรียกลูกชายสามคนมารวมตัวกัน แล้วแจกลูกธนูให้คนละดอก ก่อนจะสั่งให้หักลูกธนูนั้นลง ลูกชายทั้งสามหักลูกธนูได้อย่างง่ายดาย จากนั้นเขาก็นำลูกธนู 3 ดอกมามัดรวมกันแล้วให้ลองหักอีกครั้ง ทั้งสามใช้เวลานานก็ยังยากที่จะหักออก โมโตนาริจึงบอกว่า “ธนูดอกเดียวหักได้ง่าย แต่หากมัดรวมกัน 3 ดอกย่อมหักได้ยาก” เป็นการเปรียบเทียบให้ลูกชายทุกคนสามัคคีกัน แล้วข้าศึกจะเข้ามาตีเมืองแตกได้ยากเช่นกัน นี่คือคำสอนคลาสสิกของยอดนักการทหารผู้สามารถพิชิตดินแดนจูโกคุทางตะวันตกของญี่ปุ่น และทำให้ตระกูลเล็ก ๆ “โมริ”  ก้าวขึ้นมาเป็นตระกูลใหญ่ และคำสอนดังกล่าว ก็กลายบทเรียนสำคัญที่ปัจจุบันในโรงเรียนญี่ปุ่นยังมีสอนอยู่ถึงทุกวันนี้ [caption id="attachment_16321" align="alignnone" width="460"] โมริ โมโตนาริ “ธนูดอกเดียวหักได้ง่าย แต่หากมัดรวมกัน 3 ดอกย่อมหักได้ยาก” ภาพวาด[/caption]   ชีวิตของ โมริ โมโตนาริ มิได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเท่าไหร่ เขาเป็นลูกที่เกิดจากภรรยาคนรองของผู้ปกครองดินแดนจูโกคุ ทำให้ไม่มีสิทธิใดเทียบเท่าพี่ชายที่เป็นลูกจากภรรยาใหญ่ เดิมนั้นเขาชื่อ โชจูมารุ (Shojumaru) ก่อนเปลี่ยนชื่อในภายหลัง มีเกร็ดเล่าว่าโมโตนาริวัยเยาว์มักเก็บตัวเงียบ และยอมปฏิบัติตามธรรมเนียมต่าง ๆ โดยไร้ข้อขัดแย้ง แต่ความขัดแย้งภายในกลับทำให้เขาถูกไล่ออกจากปราสาท ลงไปคลุกคลีกับชาวบ้านแทน ครั้นบุตรชายคนโตเสียชีวิตจากโรคพิษสุราเรื้อรังเช่นเดียวกับบิดา โมโตนาริก็กลับมาปราสาทพร้อมอำนาจต่าง ๆ ที่ตกมายังเขาแต่เพียงผู้เดียว โชคร้ายที่ตอนนั้นสงครามเซ็นโกคุกำลังดุเดือด ทำให้เขามีปัญหาทั้งภายในและภายนอกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หนึ่งในการรบที่มีชื่อเสียงที่สุดคือการรบที่มีชื่อว่าโอะเกะฮะซะมะฝั่งตะวันตก เมื่อกองทัพของโมโตนาริ 850 นาย พร้อมพันธมิตรฝ่ายคิกคะวะ (Kikkawa) เพียง 300 นาย ต่อกรกับศัตรูที่มีจำนวนถึง 5,000 นาย แต่โมโตนาริก็ทำลายกองทัพศัตรูจนย่อยยับ ทำให้ชื่อเสียงของเขาเป็นที่รู้จักไปทั่วในฐานะกองทัพเรือที่แข็งแกร่งที่สุดในญี่ปุ่น [caption id="attachment_16318" align="alignnone" width="900"] โมริ โมโตนาริ “ธนูดอกเดียวหักได้ง่าย แต่หากมัดรวมกัน 3 ดอกย่อมหักได้ยาก” คาแรกเตอร์โมริ โมโตนาริ ในเกม Samurai Warriors[/caption]   ความยิ่งใหญ่ของ โมริ โมโตนาริ ทำให้เขาติดอันดับนักรบที่มีคุณสมบัติเป็นโชกุนปกครองญี่ปุ่น น่าเสียดายที่เขาเกิดเร็ว ทำให้ตัวเองเข้าสู่วัยชราก่อนคู่แข่ง และเสียชีวิตลงด้วยโรคชราและมะเร็งหลอดอาหาร ปัจจุบันหลุมศพของโมโตนาริอยู่ในสุสานปราสาทโยชิดะ-โคริยามะ เมืองอาคิทากาตะ จังหวัดฮิโรชิม่า จะว่าไปแล้วในวัฒนธรรมป็อปของญี่ปุ่น ชื่อของ โมริ โมโตนาริ ได้แฝงตัวอยู่ในแทบทุกแขนง อย่างวัฒนธรรมภาพยนตร์ที่เรื่องราวของเขาได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดภาพยนตร์หลายเรื่อง หนึ่งในนั้นคือหนังของจักรพรรดิแห่งวงการภาพยนตร์ญี่ปุ่น อากิระ คุโรซาว่า (Akira Kurosawa) กับ Ran (1985) หนังมหาศึกชิงบังลังก์ที่ดัดแปลงจาก King Lear วรรณกรรมของ วิลเลียม เชกสเปียร์ (William Shakespeare) อีกที นับเป็นภาพยนตร์ของคุโรซาว่าที่ตะวันตกยกย่องว่าดีที่สุด ข้ามมาในวงการเกม โมริ โมโตนาริ เป็นตัวละครที่โผล่ในเกมแอ็คชัน Sengoku Basara เป็นนักรบผู้แข็งแกร่งโดยมีอาวุธเป็นดาบรูปวงกลม ส่วนในเกม Samurai Warriors เป็นนักรบที่มีอาวุธเป็นธนูหน้าไม้ 3 ดอก หรือในเกม Pokémon Conquest ก็มีตัวละครโมโตนาริเป็นขุนศึกประจำโปเกมอนเผ่าใบไม้อีกด้วย [caption id="attachment_16315" align="alignnone" width="900"] โมริ โมโตนาริ “ธนูดอกเดียวหักได้ง่าย แต่หากมัดรวมกัน 3 ดอกย่อมหักได้ยาก” Sanfrecce Hiroshima[/caption] ส่วนในวงการกีฬา ทีมฟุตบอล Sanfrecce Hiroshima ใน J League อดีตทีมที่นักเตะสัญชาติไทย ธีรศิลป์ แดงดา เคยสังกัด มีการใช้สัญลักษณ์สโมสรเป็นลูกธนู 3 ดอกไขว้กัน เพื่อสะท้อนถึงความสามัคคีของชาวฮิโรชิม่า และยกย่องโมโตนาริในฐานะคนฮิโรชิม่าเช่นกัน แม้เรื่องราวของ โมริ โมโตนาริ จะมีมานานหลายร้อยปี แต่การบันทึกประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นทำให้คนยุคปัจจุบันยังคงได้ยินเรื่องราวของเขาอยู่เสมอ ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการนำมาดัดแปลง พัฒนา และปรับรูปแบบให้เข้ากับวัฒนธรรมสมัยใหม่ จนทำให้ประวัติศาสตร์กลายเป็นวัฒนธรรมป็อปที่คนรุ่นหลังอยากศึกษาเพิ่มเติม ไม่ใช่แช่แข็งประวัติศาสตร์จนกลายเป็นตำนานศักดิ์สิทธิ์ที่แตะต้องไม่ได้นั่นเอง   ที่มา https://www.samurai-archives.com/motonari.html https://www.britannica.com/topic/Mori-family#ref280297 ภาพปกจากเกม Sengoku Basara