นาดาว : ชื่อที่ไม่ได้เป็นสถานที่ แต่คือความทรงจำ

นาดาว : ชื่อที่ไม่ได้เป็นสถานที่ แต่คือความทรงจำ
วันนี้ข่าวที่สร้างความประหลาดใจ ใจหาย ในหน้าฟีดแทบทุกแพลตฟอร์ม คงหนีไม่พ้นข่าวการยุติบทบาทการเป็นบริษัทพัฒนาและดูแลศิลปิน ไปจนถึงการเป็นผู้ผลิตชีรีส์ ละคร และงานเพลงต่าง ๆ ของบริษัท ‘นาดาวบางกอก’ ‘นาดาว’ ชื่อที่ได้ยินครั้งแรก เราแอบคิดว่ามาจากภาษาต่างประเทศ หากแต่ความจริงมันเรียบง่ายและซื่อกว่านั้นมาก เพราะมาจากคำว่า ‘นา’ และ ‘ดาว’ รวมกันเป็น ‘ทุ่งนาที่ปลูกดวงดาว’ (ตั้งชื่อโดยพี่เก้ง - จิระ มะลิกุล) บริษัทก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2552 ด้วยจุดประสงค์แรกเริ่มคือการสร้างและพัฒนาศิลปินหน้าใหม่ภายใต้สังกัด GTH (เดิม) จนต่อยอดมาเป็นซีรีส์ ละคร และค่ายเพลง มาร่วมรำลึกถึงผลงานบางส่วนที่นาดาวเคยปลูกจนเกิดดอกออกผลโตขึ้นในใจคนดูจนถึงทุกวันนี้

พลุ่งพล่านจนพลิกฟื้น

‘Hormones วัยว้าวุ่น” (พ.ศ. 2556) ผลงานซีรีส์เรื่องแรกที่ ย้ง - ทรงยศ สุขมากอนันต์ รับหน้าที่เป็นผู้กำกับ เนื้อเรื่องที่กะเทาะชีวิตวัยรุ่นแบบอินไซด์ ทั้งยังนำเสนอด้วยนักแสดงหน้าใหม่แทบทั้งหมด ด้วยความแหวกและแตกต่างไปจากซีรีส์หรือละครในแบบเดิม ๆ การเดิมพันครั้งนี้ของนาดาว สามารถพลิกจากบริษัทที่ตอนแรกเกือบจะต้องปิดตัว ให้กลายเป็นบริษัทที่ผลิตซีรีส์ที่สร้างปรากฏการณ์ห้างแตก แจ้งเกิดนักแสดงจากที่ไม่มีใครรู้จักให้กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ได้ตั้งแต่วัยรุ่น ไม่ว่าจะเป็น ต่อ - ธนภพ, พีช - พชร, เก้า - สุภัสสรา, ปันปัน - สุทัตตา, มาร์ช - จุฑาวุฒิ, ตั้ว - เสฎฐวุฒิ, ฝน - ศนันธฉัตร และอีกมากมาย จากกระแสฮอร์โมนส์ที่พลุ่งพล่าน ทำให้นาดาวสานต่อความสำเร็จด้วย ‘Hormones Season 2’ (พ.ศ. 2557) และ ‘Hormones 3 The Final Season’ (พ.ศ. 2558) ที่แจ้งเกิดนักแสดงหน้าใหม่ให้เป็นที่รู้จักไม่แพ้รุ่นก่อนหน้านี้ อาทิ แบงค์ - ธิติ, แพรวา - ณิชาภัทร, เจมส์ - ธีรดนย์, ต้าเหนิง - กัญญาวีร์ ฯลฯ เรียกได้ว่าแค่ซีรีส์ฮอร์โมนส์ นาดาวก็สามารถหว่านเมล็ด ผลิตนักแสดงสู่วงการให้เป็นที่รู้จักได้หลายสิบชีวิต

ใครฆ่านานะ

‘I Hate You, I Love You’ (พ.ศ. 2559) นาดาวย้ายจากโรงเรียนมัธยมฯ มาสู่ซีรีส์แนว Whodunit หรือใครคือฆาตกร แต่ยังคงเล่าเรื่องชีวิตวัยรุ่น (ขยับมาเป็นมหาวิทยาลัย) ในชนชั้นกระฎุมพีผู้มีอันจะกิน จากความบาดหมางในกลุ่มเพื่อน นำไปสู่การฆาตกรรม ที่แทบทุกตัวละครก็ดูจะมีแรงจูงใจไม่แพ้กัน เกิดเป็นกระแส ‘ใครฆ่านานะ’ ติดเทรนด์สื่อโซเชียลฯ ในแทบทุก EP ที่ออนแอร์ ส่งผลให้นักแสดงที่โด่งดังอยู่แล้ว ต่างได้พิสูจน์ฝีมือไปอีกระดับ ทั้ง ปันปัน - สุทัตตา, ฝน - ศนันธฉัตร, โอบ - โอบนิธิ และการร่วมงานครั้งแรกกับนาดาวของเจเจ - กฤษณภูมิ

เขย่ง - ก้าว - กระโดด ทางการแสดง

ถ้า ‘I Hate You, I Love You’ เป็น ‘ก้าว’ ที่พัฒนาขึ้นของน้อง ๆ นักแสดงในสังกัด เรื่อง ‘Project S The Series’ (พ.ศ. 2560) น่าจะเป็นการพัฒนาสกิลในระดับ ‘การกระโดด’ เพราะแต่ละเรื่องในซีรีส์ชุดนี้ได้พิสูจน์ให้เราเห็นแล้วว่า พวกเขาไม่ได้มีดีแค่รูปลักษณ์เท่านั้น แต่ฝีไม้ลายมือในการแสดงก็ไม่เป็นสองรองใครแน่ ๆ ไม่ว่าจะเป็น ‘ต่อ - ธนภพ’ ที่ทำการบ้านรับบทเด็กออทิสติกจนตีบทแตก รับส่งกับ ‘สกาย - วงศ์รวี’ ได้อย่างน่าประทับใจ หรือ ‘เจมส์ - ธีรดนย์’ กับบทเด็กหนุ่มที่ต้องเผชิญกับโรคซึมเศร้าในช่วงที่หลายคนยังไม่รู้จักกับโรคนี้ สามารถพูดได้ว่า ‘เด็กนาดาว’ ไม่ได้มีดีแค่หน้าตาเท่านั้น ฝีมือการแสดงก็ไม่เป็นรองใคร ซึ่งนอกจากจะผลิตนักแสดงฝีมือดีแล้ว นาดาวก็ยังเป็นบริษัทที่สร้าง ‘แอ็กติ้งโค้ช’ รุ่นใหม่สู่เบื้องหลังวงการแสดงอีกหลายต่อหลายคน

In Nadao We Trust

ก้าวสำคัญอีกครั้งของนาดาว จากผู้ผลิตซีรีส์กระโจนเข้าสู่การเป็นผู้ผลิตละครในช่วงไพรม์ไทม์ของช่อง One31 ‘เลือดข้นคนจาง’ (พ.ศ. 2561) นับเป็นละครที่น่าจะทะเยอทะยานที่สุดของนาดาว (ผลิตร่วมกับ 4Nologue) ตั้งแต่หน้าหนังที่เปิดตัวด้วยนักแสดงทั้งรุ่นใหม่แกะกล่อง เด็กหนุ่มทั้ง 9 จากโปรเจกต์ 9X9 ไปจนถึงนักแสดงรุ่นใหญ่ อาทิ คัทลียา แมคอินทอช, แท่ง - ศักดิ์สิทธิ์, กบ - ทรงสิทธิ์, เจี๊ยบ - โสภิตนภา, อุ๋ม - อาภาสิริ ฯลฯ ไปจนถึงนักแสดงระดับตำนานอย่าง ภัทราวดี มีชูธน และ นพพล โกมารชุน ทันทีที่ EP 2 จบลง พร้อมกับการตายของตัวละคร เกิดเป็นกระแส ‘ใครฆ่าประเสริฐ’ กันทั่วบ้านทั่วเมือง ในช่วงแรก แม้เรตติ้งอาจจะไม่ได้สูงมากนัก แต่ในแง่ความนิยมในฝั่งออนไลน์ของละครเรื่องนี้ก็สร้างปรากฏการณ์ไปได้อย่างถล่มทลาย เรายังเห็นมีม ‘พูดออกมาได้..เฮงซวย’​ อยู่ในหลาย ๆ กระแสจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งการประเดิมเปิดตัวศิลปิน 9X9 ไปพร้อมกับละครเรื่องนี้ นับเป็นกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จ ทำให้ศิลปินหน้าใหม่หลาย ๆ คนได้เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น จนทำเป้าต่อยอดไปสู่คอนเสิร์ตใหญ่ที่อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี

Music ติดไซเรน

พ.ศ. 2562 เมื่อนาดาวผลิตซีรีส์โรแมนติกคอมเมดี้เรื่องใหม่ ‘รักฉุดใจ นายฉุกเฉิน’ ที่ได้พระเอกแม่เหล็กอย่าง ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ มาเจอกับ ใหม่ - ดาวิกา นางเอกพันล้าน แต่ที่สร้างปรากฏการณ์ยิ่งไปกว่านั้นก็คือเพลงประกอบซีรีส์อย่าง ‘รักติดไซเรน’” ร้องโดย แพรวา - ณิชาภัทร และ ไอซ์ - พาริส ที่โดนใจวัยรุ่นที่โตมากับกามิ (เพลงนี้ได้ก๊อป โปสการ์ด และเอฟู - ณรงค์ศักดิ์ อดีตทีมโปรดิวเซอร์จากค่ายกามิกาเซ่มาทำเพลงให้) กระแสแรงจนยอดวิวพุ่งสู่ 60 ล้านวิวในเวลาไม่ถึงเดือน (ปัจจุบัน มียอดวิวถึง 252 ล้านวิว!) นับว่าเป็นเพลงเปิดตัวค่าย ‘นาดาว มิวสิค’ ที่ปลุกกระแส T-Pop ได้อย่างงดงาม ในช่วงนั้น ไม่ว่าจะอีเวนต์หรืองานเลี้ยงที่ไหน ก็ต้องมีโชว์เพลงรักติดไซเรนจนแทบเป็นธรรมเนียมปกติไปแล้ว จากนั้นก้าวต่อมาในฐานะ ‘ค่ายเพลง’ ก็ผลิตศิลปินออกมาอย่างต่อเนื่อง ทั้ง เจเจ - กฤษณภูมิ (ดี๊ดี feat. ไอซ์ - พาริส), นาน่า - ศวรรยา (โลมาไม่ใช่ปลา) และการมาของบิวกิ้น - พุฒิพงศ์ และ พีพี - กฤษฏ์

แปลรักฉันด้วยYเธอ

หลังจากประสบความสำเร็จจากบทคู่กันในซีรีส์ ‘รักฉุดใจ นายฉุกเฉิน’ คู่ของบิวกิ้นและพีพี ก็ถูกพัฒนาไปสู่โปรเจกต์ BKPP ที่แฟนคลับต่างรอคอย นำไปสู่ซีรีส์ ‘แปลรักฉันด้วยใจเธอ’ นับเป็นการก้าวเข้าสู่โลกของซีรีส์วายอย่างเต็มตัวของนาดาว แต่ถ้าหากดูที่เนื้อเรื่องและตัวละครอย่างลงลึกแล้ว เราจะเห็นได้ว่านี่คือเรื่องราวการเติบโตของวัยรุ่นคู่หนึ่งที่แต่ละคนต้องเผชิญหน้าทั้งปัญหาความรัก ความสับสน และการค้นพบตัวเอง จัดเป็น Coming of age ที่ได้ใจผู้ชมไปไม่น้อย จนถึงกับมีกระแสเที่ยวภูเก็ตตามรอยโอ้เอ๋ว - เต๋ ‘แปลรักฉันด้วยใจเธอ’ มีการแบ่งเส้นเรื่องเป็น 2 พาร์ท Season 1 (พ.ศ. 2563) และ Season 2 (พ.ศ. 2564) อีกปัจจัยที่โดดเด่นนอกเหนือจากเนื้อเรื่องแล้ว งานเพลงประกอบซีรีส์ก็เป็นที่พูดถึงไม่แพ้กัน ตั้งแต่เพลงเปิดตัว ‘กีดกัน’ ที่ได้ ‘โอม Cocktail’ ร่วมแต่งและโปรดิวซ์ ไปจนถึงเพลงอื่น ๆ ในเรื่องอย่างเพลง โคตรพิเศษ, รู้งี้เป็นแฟนกันตั้งนานแล้ว, หลอกกันทั้งนั้น และ ไม่ปล่อยมือ จนจบโปรเจกต์ด้วยคอนเสิร์ต The Last Twilight ที่อุทยาน 100 ปี จุฬาฯ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

Coming Of Fade

แต่ไม่ใช่ว่านาดาวจะมีแต่ในด้านชื่นชมเท่านั้น ในหลาย ๆ ครั้งที่บริษัทก็ต้องเผชิญกับ ‘ดราม่า’ ​ที่ผ่านเข้ามาในหลาย ๆ ระลอก เช่น การไม่ต่อสัญญาของนักแสดง, ข่าวลือเรื่องความยากในการติดต่องาน ฯลฯ จนเกิดเป็นเทรนด์ทวิตเตอร์อยู่หลายครั้ง แต่ทางค่ายก็สามารถผ่านวิกฤตแต่ละครั้งมาได้ด้วยการให้ ‘ผลงาน’​ เป็นตัวพิสูจน์ตัวเอง จากภาพความสำเร็จในแต่ละชิ้นงานที่นาดาวผลิตออกมา ไม่ว่าจะเป็นงานซีรีส์, ละคร จนถึงงานเพลง ทำให้การประกาศ ‘ยุติบทบาท’ ในครั้งนี้ สร้างแรงกระเพื่อมที่ชวนใจหายสำหรับผู้ชมที่เติบโตมาพร้อม ๆ กัน แต่ก็เชื่อว่าการตัดสินใจครั้งนี้ น่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ต้นสังกัดได้ไตร่ตรองมาแล้ว สิ่งที่คนดูอย่างเราทำได้ คงเป็นการเก็บต้นกล้าจากนาแปลงนี้ให้อยู่ในความทรงจำ และเฝ้าติดตามการเติบโตของดวงดาวหลังจากสิ้นฤดูเก็บเกี่ยวนี้แล้ว พวกเขาทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง จะไปฉายแสง เติบโตอยู่ในมุมไหนของท้องฟ้าบ้าง ...เพราะ ‘นาดาว’ ไม่ใช่สถานที่ แต่คือความทรงจำ เรื่อง : itistist