เนมันย่า มาติช เหยื่อของสงครามโคโซโว กับสาเหตุที่ปฏิเสธติดดอกป๊อปปี้ลงสนาม

เนมันย่า มาติช เหยื่อของสงครามโคโซโว กับสาเหตุที่ปฏิเสธติดดอกป๊อปปี้ลงสนาม

เหยื่อของสงครามโคโซโว กับสาเหตุที่ปฏิเสธติดดอกป๊อปปี้ลงสนาม

เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมาถือเป็นวันครบรอบ 100 ปี นั้บตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 ยุติลงเมื่อปี 1918 วันดังกล่าวถูกเรียกกันในชื่อ Armistice Day หรือ Remembrance Day นี่คือวันที่หลายชาติต่างจะออกมาร่วมรำลึกถึงเหล่าทหารผ่านศึก ที่ได้เสียสละชีวิตของตัวเองเพื่ออนาคตของคนรุ่นหลัง โดยเฉพาะในอังกฤษ รัฐบาลของพวกเขาให้ความสำคัญกับวันดังกล่าวเป็นอย่างมาก โดยมีการจัดตั้งองค์กรการกุศลเพื่อสงเคราะห์ทหารผ่านศึกของอังกฤษ หรือ Royal British Legion ขึ้นมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ หลายปีที่ผ่านมารัฐบาลอังกฤษได้ออกแคมเปญรณรงค์ให้ติดดอกป๊อปปี้ เพื่อเป็นการรำลึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าวโดยมีสมาคมฟุตบอลอังกฤษ หรือเอฟเอคอยให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี การถ่ายทอดฟุตบอลของอังกฤษถือเป็นสินค้าส่งออกของเมืองผู้ดีที่ช่วยหารายได้เข้าประเทศนับกว่าหมื่น ๆ ล้านปอนด์ต่อปี และในทุกปี ทุกทีมในศึกพรีเมียร์ลีกจะให้นักเตะติดดอกป๊อปปี้ลงบนเสื้อเวลาลงแข่งขัน เป็นระยะเวลากว่าสองถึงสามสัปดาห์ จนกลายเป็นอีกหนึ่งธรรมเนียมของวงการฟุตบอลอังกฤษ ในสายตาของประชาชนคนทั่วไปการติดดอกป๊อปปี้ อาจเหมือนเป็นสัญลักษณ์แห่งความเสียสละของทหารอังกฤษผู้เป็นฮีโร่ แต่ในสายตาของนักฟุตบอลคนหนึ่งอย่าง เนมันย่า มาติช ที่เคยถูกทหารอังกฤษทิ้งระเบิดใส่หมู่บ้านของตัวเอง การติดดอกป๊อปปี้ทำให้เขานึกถึงเรื่องราวที่เลวร้ายในอดีต เนมันย่า มาติช มิดฟิลด์ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมดังแห่งศึกพรีเมียร์ลีก คือชายหนึ่งเดียวที่ปฏิเสธติดดอกป๊อปปี้ลงสนามในพรีเมียร์ลีก กองกลางทีมชาติเซอร์เบียรายนี้ เปิดใจหลังเกมกับ บอร์นมัธ ผ่านทางอินสตาแกรมส่วนตัว ถึงสาเหตุที่เขาไม่อยากติดดอกป๊อปปี้ว่า

"ผมรู้ดีถึงสาเหตุที่ทุกคนติดดอกป๊อปปี้ ผมเคารพสิทธิของคนที่ติดมันและผมเข้าใจถึงหัวอกของคนที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปเพราะความขัดแย้ง อย่างไรก็ตามสำหรับผม มันเป็นแค่เครื่องเตือนใจให้นึกถึงการโจมตีในวัยเด็ก เด็กที่หวาดกลัวในวัยสิบสองปี ที่อาศัยอยู่ในเมืองวเรโล่ และเหตุการณ์ทิ้งระเบิดในเซอร์เบีย เมื่อปี 1999 สร้างความเสียหายอย่างหนักต่อประเทศของผม แม้ก่อนหน้านี้ผมจะเคยติดมัน แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่ามันไม่ถูกสำหรับผมเองที่จะติดดอกป๊อปปี้ลงบนเสื้อ ผมไม่อยากให้ผู้คนมาคิดว่า ผมตีความดอกป๊อปปี้เป็นอื่น หรือหวังจะโจมตีใคร ๆ ดังนั้นหวังว่าทุกคนจะเข้าใจ และผมจะได้มีสมาธิกับเกมที่รออยู่"

ย้อนกลับไปเมื่อปี 1999 เด็กชายมาติชในวัยสิบสองหวาดกลัวสุดขีดและต้องหนีระเบิดตูม ๆ บนหัวไม่ต่างกับหนังสงครามของไมเคิล เบย์ เพราะองค์การนาโต ใช้ไม้แข็งดำเนินปฏิบัติการทางทหารโดยการทิ้งระเบิดใส่เซอร์เบีย (ตอนนั้นคือยูโกสลาเวียเดิม) เพื่อหวังยุติสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กับโคโซโว เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้กองทัพของยูโกสลาเวียต้องถอนกำลัง สุดท้ายในเวลาต่อมาหลายฝ่ายก็หาข้อตกลงร่วมกันได้ โดยมีองค์การสหประชาชาติเข้ามาเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ย มาติช ไม่ใช่คนเดียวที่ปฏิเสธติดดอกป๊อปปี้ลงเล่น เจมส์ แม็คคลีน แนวรุกทีมชาติไอร์แลนด์เหนือของสโต๊ก ซิตี้ ก็เลือกที่จะไม่ติดเช่นกัน เพราะแม็คลีน มีความหลังฝังใจกับเหตุการณ์โศกนาฏกรรม Bloody Sunday เมื่อปี 1972 ที่ทหารอังกฤษยิงกลุ่มผู้ประท้วงชาวไอร์แลนด์เหนือเสียชีวิตกว่ายี่สิบแปดคน “ผมรู้ว่ามีคนจำนวนมากไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ผมคิด หลายคนไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงไม่ติดดอกป๊อปปี้ ผมไม่เคยเป็นพวกแอนตี้บริติช แต่ผมก็มีมุมมองที่ต่างออกไป ผมมาจากเมืองเดอร์รี สิ่งที่เคยเกิดขึ้นที่นั่นหล่อหลอมให้เป็นผมในวันนี้” แม็คคลีนยังแสดงความเห็นต่อว่า ดอกป๊อปปี้ ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องหมายแห่งความเสียสละอย่างเดียว ในอีกฝั่งหนึ่งมันก็สะท้อนให้เราเห็นถึงการใช้ความรุนแรงในอดีตของทหาร ที่กระทำต่อประชาชนเช่นกัน “มันคือเครื่องหมายของความไม่เคารพต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ ผู้เคยถูกเรียกว่าเป็นพวกมีปัญหา คนกว่าสามพันคนต้องตายเพราะความรุนแรงจากความขัดแย้ง” เอฟเอ ไม่มีสิทธิที่จะลงโทษนักเตะได้ในกรณีที่นักเตะอยากจะติดหรือไม่ติดดอกป๊อปปี้ โดยก่อนหน้านี้ เอฟเอ พยายามรณรงค์เรื่องของความเป็นกลาง พวกเขามีกฏและข้อปฏิบัติในเรื่องของแต่งกายและการโฆษณา นักเตะหรือผู้จัดการทีมต้องห้ามลงสนามพร้อมเครื่องหมายที่แสดงถึงสัญลักษณ์ทางการเมือง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เคยติดโบว์เหลืองเพื่อแสดงจุดยืนสนับสนุนการแยกตัวของแคว้นกาตาลุญญา ระหว่างคุมทีมข้างสนามมาแล้ว และก็โดนเอฟเอเล่นงานจนน่วม สิ่งที่มาติชทำในครั้งนี้ถูกหลายฝ่ายนำไปโจมตีและตั้งคำถามใส่เอฟเอ ว่าถึงเวลายังที่เอฟเอจะพิจารณาการติดดอกป๊อปปี้ลงสนาม เพราะดูเหมือนว่าเจ้าดอกไม้ชนิดนี้จะไม่ใช่แค่เพียงสัญลักษณ์แห่งความเสียสละเสียแล้ว ในสายตาของผู้ที่สูญเสียมันเหมือนกับรอยแผลเป็นในอดีต ที่มองไปทุกครั้งก็จะพบแต่เพียงความเจ็บปวดเสมอ...