หนู คลองเตย ผู้เปิดกรุตำนาน “หลวงปู่เค็ม วัดเขาอีโต้ขว้างเป็ด”

หนู คลองเตย ผู้เปิดกรุตำนาน “หลวงปู่เค็ม วัดเขาอีโต้ขว้างเป็ด”
“สนามมวยกว้าง 8 เมตร ท่องคาถาหลวงปู่เค็ม... ยกแรกต่อยขวา ยกสองถูกน็อค...ตื่นมาแย่งไมค์พิธีกร...” จู่ ๆ มุก “หลวงปู่เค็ม” ก็กลับมาฮอตฮิตทั่วโลกโซเชียลอีกครั้ง โดยที่หลายคนถึงกับส่ายหัว เพราะไม่รู้ที่มาที่ไปว่าหลวงปู่เค็มคืออะไร ที่พอหาต้นสายปลายเหตุได้ ก็มาจากประโยคคอมเมนต์ข้างต้นในเพจที่นำเสนอคลิปข่าวเกี่ยวกับมวยดาราคู่หนึ่งทางเวิร์คพอยท์ ทีวี หลวงปู่เค็มคือใคร? คือเกจิอาจารย์ที่มีอยู่จริงหรือไม่? และทำไมจู่ ๆ ถึงดังขึ้น? ยอดเสิร์ชค้นหาในเว็บเสิร์ชเอ็นจินอย่างกูเกิลเพิ่มสูงขึ้นเป็นหลักหมื่น เช่นเดียวกับยอดเสิร์ชค้นในเว็บไซต์ยูทูบเพื่อตามหาตำนานหลวงปู่เค็มก็สูงไม่แพ้กั นอกจากไม่รู้ว่าหลวงปู่เค็มมีตัวตนจริงหรือไม่ แทบทุกคนยังเชื่อว่า ผู้นำเรื่องราวของหลวงปู่เค็มมาเล่นตลกคนแรกคือ โก๊ะตี๋ อารามบอย หรือชื่อจริงว่า “นายเจริญพร อ่อนละม้าย” แต่หลวงปู่เค็มของโก๊ะตี๋ มีชื่อวัดต่อท้ายว่า “วัดเขาอีโต้ขว้างเหี้ย” โดยนำมาเล่นจนโด่งดังทั้งในภาพยนตร์หรือรายการบันเทิงหลายวาระโอกาส เป็นการรับต่อมุกสนุกสนานกับตลกด้วยกัน ผู้คนจึงจดจำว่าโก๊ะตี๋เป็นผู้ให้กำเนิดมุกหลวงปู่เค็มด้วยตนเอง แต่อย่าเพิ่งสรุป เพราะหากแฟนพันธุ์แท้ตลกคาเฟ่ยุคที่เขาเล่นตลกอัดเป็นวิดีโอเทปให้เช่าในร้าน อ่านมาถึงบรรทัดนี้จะรู้ทันทีว่า เป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง เพราะ ผู้เปิดกรุตำนานหลวงปู่เค็มตัวจริง คือ หนู คลองเตย หรือ “นายวันชาติ พึ่งฉ่ำ” นักแสดงตลกผู้มีชื่อเสียงลือลั่นเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ผู้เป็นที่จดจำของผู้คนในท่าเดินนกกระยางเป็นเอกลักษณ์ และตำนานอภินิหารหลวงปู่เค็ม ต้องมีมุกเต็ม ๆ ในต้นฉบับว่า "ประทานโทษครับ มิตรรักผู้ชมที่เคารพ ไสยศาสตร์มีทุกหย่อมหญ้า ประทานโทษ เมื่อก่อนผู้ไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์ ประทานโทษ แต่เดี๋ยวนี้ผมเชื่อแล้ว ผมเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่เค็มรุ่นที่ 99 ผมเคยเห็นไสยศาสตร์มาด้วยสายตาผมเอง หลวงปู่เค็มเคยนั่งสมาธิ ร่ายเวทมนตร์คาถา พุทธังอาราธนานัง ธรรมังอาราธนานัง สังฆังอาราธนานัง กองไฟยาวประมาณสิบเมตร หลวงปู่เค็มก้าวลงไปในกองไฟ ก้าวแรกไม่เป็นไร ก้าวต่อไปไฟเริ่มไหม้สบงหลวงปู่เค็ม ต่อจากนั้นหลวงปู่เค็มถูกไฟคลอกตายคากองไฟ...สาธุ" มุกนี้ หนู คลองเตย จะร่ายยาวคนเดียว ไม่ต้องมีจังหวะหรือทีมงานในคณะตลกคอยถามแทรกเพื่อชงให้หนู คลองเตย หักมุกไปอีกทาง ซึ่งเขาจะตบมุกด้วยเรื่องเล่าอภินิหารหลวงปู่เค็มในฐานะที่เขาเป็นศิษย์เอกรุ่นที่ 99 ว่า “เจ๊ศรีที่ราชบุรีเป็นริดสีดวงทวารเปล่งปลิ้นออกจากรูทวารหนักประมาณ 10 กิโล 7 ขีด ไปรักษาหมอไสว แขดวง 4 เดือนไม่หาย มาหาผมอาทิตย์เดียวเท่านั้น หลุดไปทั้งตูด”  เสียงฮาครืนจากผู้ชมดังสนั่น ...แต่เชื่อหรือไม่ว่า ชื่อหลวงปู่เค็มไม่ได้มาลอย ๆ ให้คนหัวร่องอหายเล่น ๆ ท่านมีตัวตนอยู่จริง ๆ แต่ก่อนจะไปทำความรู้จักหลวงปู่เค็ม เราต้องรู้ให้ลึกซึ้งก่อนว่า คนอย่าง “หนู คลองเตย” ที่คนรู้จักจากภาพลักษณ์ตลกเดินท่านกกระยาง เป็นนักหักมุกในตำนาน และ หากเขามีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ หนู คลองเตย จะยังเป็นตลกแถวหน้าอยู่อีกไหม? และการที่มุกหลวงปู่เค็มกลับมาดังอีกครั้ง ไม่ได้เกิดจากเหตุบังเอิญ หนู คลองเตย เสียชีวิตเมื่อ 29 มกราคม พ.ศ.2548 หากเขามีชีวิตอยู่จะมีอายุ 55 ปี รุ่นไล่ ๆ กับเท่ง เถิดเทิง (53 ปี) และ หม่ำ จ๊กมก (54 ปี) แต่ชีวิตของเขากับตลกรุ่นน้องร่วมสมัยสองคนนี้ต่างกันสิ้นเชิง ก่อนเขาเสียชีวิต ข่าวฉาวของหนู คลองเตย วนเวียนอยู่กับเรื่องผู้หญิง ยาเสพติด หนี้พนันฟุตบอล และเบี้ยวงาน แต่กว่าจะกลายเป็นหนู คลองเตย ตลกดังคับฟ้าเมืองไทย ชีวิตของเขาเรียกว่าเป็นเทพนิยาย เพียงแต่ตอนจบไม่ได้สวยหรูงดงามดั่งนิทาน จากเด็กชายตัวเล็ก ๆ ชื่อ “หนูแดง” ที่ติดตามครอบครัวอพยพจากต่างจังหวัดตั้งแต่เล็กมาอาศัยในสลัมคลองเตย และคำถามที่ทุกคนสนใจคือ ชีวิตของเด็กคนหนึ่งเติบโตขึ้นบนถิ่นที่มีแต่อาชญากรรมและยาเสพติดในสายตาคนภายนอกได้อย่างไร “สิริวรรณ ถิ่นพยัคฆ์” พี่สาวของหนูเล่าว่า ชีวิตวัยเด็กในสลัมคลองเตยของหนู ไม่ได้เริ่มต้นจากความเกกมะเหรกเกเร ซ้ำเป็นคนสู้ชีวิตทำงานทุกอย่างเพื่อหารายได้ดูแลครอบครัว เช่น ทำงานเป็นคนล้างไส้หมูในโรงเชือดหมู เป็นกระเป๋ารถสองแถว เด็กขัดรองเท้าที่ประตูน้ำ...ทั้งหมดนั้นไม่ได้เกิดขึ้นทีละช่วงชีวิต แต่หนูทำทุกอย่างพร้อมกันตั้งแต่อายุ 12 ขวบ “เขาขยัน เขามุมานะ เขาทำอะไรก็ทำของเขาอยู่นั่นแหละ เขาล้างไส้หมู เขาก็จะให้ค่าตอบแทนเป็นน้ำมัน ให้ตังค์บ้าง เงินได้มาเขาก็ให้คุณแม่หมด”  เพียงแต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความจริงของชีวิตคนสลัมคลองเตยเป็นชีวิตที่คู่ขนานไปกับปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติด และการลักเล็กขโมยน้อย ใครแกร่งก็ฝ่าไปได้ แต่เด็กชายวัยรุ่นนับเป็นก้าวย่างแห่งความเสี่ยง หนูเคยบอกว่า เขาเห็นคนฉีดผงขาว (เฮโรอีน) มาตั้งแต่เด็ก นั่งฉีดกันข้างสะพาน และสิ่งนั้นก็เป็นดั่งแรงดึงดูดจากหุบเหวแห่งความทมิฬ เขาลองยาเสพติดทุกอย่างที่หาได้ในสลัมคลองเตย ไม่ว่าจะกาว กัญชา หรือผงขาว เมื่อชีวิตติดบ่วงของยาเสพติด ก็นำพาให้เขาหนีออกจากบ้าน หางานทำไปเรื่อย แต่พรสวรรค์ที่ติดตัวมาทำให้เขาจับพลัดจับผลูไปเข้าคณะตลก จากเด็กตีกลองก็เลื่อนเป็นตัวตลกหรือตัวโจ๊กของคณะลิเกอย่างรวดเร็ว ไชยา เชิญยิ้ม หรือ “วีรศักดิ์ บุญเพ็ชร์” ผู้เป็นทั้งเพื่อนและลูกน้องคนสนิทของหนู คลองเตย บอกว่า หนูฉายแววการเป็นตลกดังตั้งแต่อยู่คณะลิเกแล้ว “เขาเป็นตัวโจ๊ก เป็นตัวตลกคนเดียวที่เห็น ที่ได้มาลัยพอ ๆ กับพระเอกลิเกเลย บางวันได้เยอะกว่าพระเอกลิเกด้วย พระเอกลิเกงงเลย เป็นตัวโจ๊กหรือตัวตลกที่มีแม่ยก ออกฉากมาทีแม่ยกกรี๊ดกันเกรียวเลย แต่เขาเคยเพลี่ยงพล้ำถึงขั้นจะออกฉากอยู่แล้ว แต่ชุดลิเกยังไม่มีเลย เพราะชุดจำนำอยู่ พี่หนูก็แก้ลำด้วยการขอยืมเสื้อคอกระเช้าของเมียเจ้าของคณะลิเกไปออกฉากเลย นี่คือพรสวรรค์ที่เขามี”  พรสวรรค์ที่มี บวกกับแรงทะเยอทะยานภายใน ทำให้หนูเปลี่ยนคณะลิเกหลายคณะ และเปลี่ยนชื่ออีกหลายชื่อ แต่พรสวรรค์ ไหวพริบปฏิภาณเป็นเลิศ มุกด้นสดหน้าเวทีของเขายังเป็นที่โจษจันและดึงดูดแฟนคลับแม่ยกได้มากมาย จนกระทั่งเขาพบกับ “อิสระ เดือนเพ็ญ” ชักชวนให้ไปเล่นตลกคาเฟ่ด้วยกัน โดยเขาใช้ชื่อ “หนู เดือนเพ็ญ” ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ เป็ด เชิญยิ้ม เพิ่งเริ่มฟอร์มคณะตลก แต่ยังหาตัวเด่นไม่ได้ วันหนึ่ง ขมิ้น เชิญยิ้ม คนในคณะของเป็ดไปเจอกับหนูในห้างสรรพสินค้า เลยชักชวนหนูไปร่วมคณะกับเป็ด เชิญยิ้ม แต่กว่าเป็ดจะรับหนูเข้าร่วมคณะก็ไม่ใช่ง่าย ๆ เมื่อจุดมุ่งหมายของเป็ด เชิญยิ้ม ต้องการสร้างคณะตลกที่ดูสะอาด สมาร์ท และหน้าตาตลกต้องดูดี แต่ครั้งแรกที่พบกับหนู กลับเจอแต่ชายรูปร่างผอมโซ และแต่งตัวมอมแมม เป็ดให้โอกาสหนูแก้ไขตัวเอง 2-3 ครั้งจนแทบถอดใจ แต่ ขมิ้น เชิญยิ้ม ขอโอกาสให้หนูได้แสดงฝีมือ ปรากฏว่าครั้งแรกที่เขาได้ขึ้นเวทีคาเฟ่ หนูทำให้แขก 3-4 โต๊ะในร้าน รวมทั้งเป็ดเชิญยิ้มหัวเราะกระจาย และรับเขาร่วมคณะในวินาทีนั้นเลย “เขาเป็นตลกหัวไว ตาไว จมูกไว หูไว หูจะฟัง ตาเล่น ปากพูด จมูกก็จะดม นี่เรื่องจริงครับ ตลกหนูเป็นตลกที่ก็อบปี้ยากครับ ตลกทางของหนูไม่มีใครก็อบปี้ได้ เพราะว่าหนูเป็นคนเล่นสด อำหนัก หนักแต่ฮา” ขมิ้น เชิญยิ้ม ในฐานะอดีตเพื่อนคณะร่วมยืนยันความสามารถ “ผมว่าหัวสมองพี่หนูไม่ธรรมดา เวลาเราขับรถจากบ้านไปทำงาน ขับรถผ่านอะไรก็แล้วแต่ เราก็เห็นนะ แต่ไม่ได้คิดอะไร แต่พอพี่หนูขึ้นเวที ไอ้ที่เราเห็นและพี่หนูเห็นนั่นแหละ พี่หนูเอาไปเล่นตลกเฉยเลย ฮาด้วย เขาใช้วาทศิลป์ของเขาเรียบเรียงให้มันเป็นเรื่องตลก สั้น ๆ แต่ได้ใจความ คนดูก็ฮามาก เขาเป็นคนที่เก่งมากในเรื่องแบบนี้” เพื่อนสนิทอย่าง ไชยา เชิญยิ้ม เล่าให้เห็นภาพความสามารถเชิงอัจฉริยะของหนู โน้ต เชิญยิ้ม หรือ “บำเรอ ผ่องอินทรกุล” บอกว่า ความเป็นตลกอัจฉริยะของหนู คือความรอบด้านรอบตัวที่ไม่มีใครเหมือน "แล้วหนึ่งคือบุคลิกเค้าดี สองคือเขามีคาแรคเตอร์ของเขา คือการเดินท่านกกระยาง สามคือคำพูดคำจาทันสมัย สี่การแต่งตัวของเขาวัยรุ่น และเขาเป็นคนที่สดใสร่าเริง อัธยาศัยดี ทั้งกับคนดูและเพื่อนร่วมอาชีพ"  ช่วงก่อน พ.ศ. 2540 ทุกวินาทีนับเป็นเวลาอันมีค่ายิ่งของ “หนู เชิญยิ้ม” ณ ขณะนั้น เขาโด่งดังในฐานะตลกคาเฟ่หน้าใหม่ไฟแรง เป็นช่วงที่ธุรกิจคาเฟ่กำลังบูมสุดขีด เขาออกรายการตีสิบในยุคนั้น และกล้าเปิดเผยตัวเองว่าเคยติดยาเสพติดแม้กระทั่งกาวมาก่อน กลายเป็นเรื่องฮือฮาในสังคมไทยขณะนั้นเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นชีวิตของหนูก็เหมือนเสือติดปีก ได้รับโอกาสออกรายการโทรทัศน์ เป็นพิธีกร เล่นเกมส์โชว์ เงินทองไหลมาเทมา เขาซื้อบ้านราคาหลายล้านบาทให้ครอบครัว ได้รับรางวัลลูกกตัญญูที่เขาภาคภูมิใจมาก และเปิดเผยว่าคบหากับนางแบบสาวชื่อดังยุคนั้นอย่าง “มรกต มณีฉาย” เป็นที่อิจฉาของหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ทั่วบ้านทั่วเมือง เรื่องนี้กลายเป็นตำนานของวงการตลกที่ดังถึงขั้นได้ควงคู่นางแบบ แต่ชั่วประเดี๋ยวเดียว จากตลกดาวรุ่งจรดฟ้าก็ร่วงลงมาสู่ดิน เมื่อมีข่าวว่าหนูติดหนี้พนันฟุตบอลนับสิบล้านบาท โน้ต เชิญยิ้ม เปิดเผยว่า ตลกน้อยคนจะไม่เล่นการพนัน แต่หนูมาเสียเยอะเพราะเล่นพนันฟุตบอล เขาขยับจากไพ่ป๊อกเด้ง บาคาร่า สู่พนันฟุตบอล ข่าวนั้นโด่งดังลงหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ทำให้หนูเริ่มไม่มีสมาธิการทำงาน มีข่าวว่าเขาหันหน้าเข้าหายาเสพติด และหายตัวไปอย่างลึกลับนานกว่า 2 เดือน ก่อนจะมาออกรายการเจาะใจเมื่อ 16 เมษายน 2541 ยอมรับว่าชีวิตเขาถลำลึกกับพนันฟุตบอลและเป็นหนี้สินกว่า 13 ล้านบาท แต่ปฏิเสธว่าไม่ได้เสพและค้ายาเสพติดอย่างที่เป็นข่าว และประกาศตัวเป็นอิสระ ลาออกจากคณะของเป็ด เชิญยิ้ม ใช้ชื่อใหม่กับคณะของตัวเองว่า “คลองเตย” ตามที่ ป๋า “ล้อต๊อก เชิญยิ้ม” ตั้งให้ เพราะหนูไม่ต้องการให้ชื่อคณะ “เชิญยิ้ม” ต้องเสื่อมเสีย แต่เขาฟอร์มคณะตลกของตัวเองและตระเวนเล่นได้ไม่นานก็หายตัวไปอีกครั้ง หนู คลองเตย มีข่าวดังอีกรอบเมื่อกลางปี 2544 ว่ามีอาการวิกลจริต พาตัวเองไปนอนในวัดบ้าง ในสลัมผุ ๆ พัง ๆ บ้าง แต่เพื่อนสนิทหลายคนยืนยันว่าหนูไม่ได้บ้า แต่เป็นช่วงที่เขารู้สึกตนเองตกต่ำควบคุมไม่ได้ และรู้สึกว่าสังคมทำร้ายเขา ทำให้เขาอยากพัก แต่ยังสัญญากับเพื่อน ๆ ว่าจะกลับเข้าวงการแน่ ๆ ขอให้ทุกคนรอเขา หนู คลองเตย หายหน้าตาไปจากสังคมไทยราว ๆ 3 ปี ก่อนจะกลับมาอีกครั้งพร้อมคำสัญญาว่าจะไม่หันไปเล่นอบายมุขอีกเป็นอันขาด ช่วงเวลาต่อจากนี้เขาจะอุทิศตัวเพื่อช่วยเหลือสังคม และเขาก็เป็นตลกคนเดียวที่ขึ้นเวทีคาเฟ่แสดงตลก แต่ร้องไห้ระหว่างอัดวิดีโอ ตัดพ้อต่อสังคมและคนบางกลุ่มที่พิพากษาเขา แต่หนูยืนยันว่าเขาจะสู้กับปัญหา ขอโอกาสอีกครั้ง ทำให้ประชาชนและคนในวงการบันเทิงแสดงความยินดีที่หนูจะกลับมา และเขาก็มีงานหลั่งไหลเข้ามาหาอีกครั้ง ทว่า นั่นเป็นโอกาสเดียวที่เขาได้รับ ก่อนที่วิกฤตครั้งสุดท้ายจะพาหนูออกจากวงการบันเทิงชั่วนิรันดร์ คราวนี้โรคร้ายที่ติดตัวเขามาตั้งแต่วัยหนุ่ม คือ วัณโรค และไวรัสติดเชื้อเข้าสมอง ทำให้หนูต้องเข้าโรงพยาบาลตลอด กระทั่งอาการทรุดหนัก และพรากชีวิตของหนู คลองเตย ไปด้วยอายุเพียง 41 ปี แม้หนูจะทำได้ดีเมื่อต้องเล่น “ตลกจังหวะ” คือต้องมีส่งมุก ชงมุก ตบมุกกับลูกน้องในคณะ แต่แฟนพันธุ์แท้ตลกคาเฟ่ทั้งหลายรู้ดีว่า เสน่ห์ของ หนู คลองเตย คือการเล่าเรื่องตลกต่าง ๆ อย่างเป็นธรรมชาติ เพราะพรสวรรค์โดดเด่นอย่างยิ่งในตัวเขา คือความเป็นศิลปินคอเมเดียน “stand alone” เชื่อกันว่าหากหนูยังมีชีวิตอยู่ เขาคงผันตัวเองไปเป็นนักเดี่ยวไมโครโฟนที่โด่งดังได้ไม่ยาก เพราะเขาครบเครื่องทั้งพรสวรรค์และพรแสวง ไม่เคยตกยุค ไม่ตกเทรนด์ ไหวพริบปฏิภาณเป็นเลิศ มีเรื่องเล่าว่า หลายครั้งที่เขามาก่อนเวลาขณะที่ตลกคาเฟ่ยังไม่เริ่ม แต่หนูหยิบไมค์แล้วเล่นมุกด้นสดคนเดียวก็เอาอยู่ คนหัวเราะกันครืน กินเวลาแสดงไปเป็นชั่วโมง แต่หากไม่มีเรื่องอบายมุขและยาเสพติด และประสบการณ์ที่ถูกเคี่ยวกรำเข้มข้นมาตั้งแต่เด็ก ก็ไม่แน่เหมือนกันว่า หนู คลองเตย จะโด่งดังขนาดนี้หรือไม่ เพราะหากศึกษามุกตลกของหนู คลองเตย จะพบว่าเขาคือตลกที่เหนือชั้นด้านเล่นมุก “อำสด” คือนำเรื่องจริงมาพูดให้ตลก คนฟังอาจไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง ขบขันจนไม่ได้สนใจเส้นแบ่งนั้น มีแต่เพื่อนร่วมคณะหรือคนสนิทของเขาที่รู้ว่า ส่วนใหญ่มักเป็นเรื่องจริง อาจมีแต่หนูเท่านั้น ที่บรรลุก้นบึ้งธรรมชาติของมนุษย์ว่า คนมักหัวเราะขบขันกับมุกที่มาจากเรื่องจริง ใกล้ตัว และเป็นประสบการณ์จริงของคน การอยู่ในสถานภาพทางสังคมผกผันจากต่ำไปสูงและลงต่ำในช่วงชีวิตเดียว ทำให้เขาพบเจอคนทุกระดับ พบเรื่องราวหลากหลาย ตัวละครในมุกตลกของหนู จึงเป็นคนที่ทุกคนมองเห็นเหมือนกับเขา เช่นเด็กเสิร์ฟ นักร้อง นักเลงในซอย อาเสี่ย คนติดยา คนขับรถสิบล้อ หรือแม้แต่พระเกจิอย่างหลวงปู่เค็ม...ซึ่งมีข้อมูลยืนยันว่าท่านมีตัวตนอยู่จริง เป็นพระเกจิที่ผู้คนเคารพศรัทธาในนาม "หลวงพ่อเคน วัดถ้ำเขาอีโต้" เพียงแต่หนู เชิญยิ้ม (คณะเดิมขณะนั้น) นำมาแปลงเป็นหลวงปู่เค็ม มีตลกนำมาเล่นต่อ ๆ กัน และต่อท้ายชื่อวัดว่า เขาอีโต้ขว้างเป็ด (ก่อนโก๊ะตี๋เปลี่ยนท้ายชื่อวัดอีกที) เพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนจิตใจบรรดาศิษยานุศิษย์ เพียงแต่หนูเล่นมุกนี้เพื่อสะท้อนประสบการณ์ร่วมของคนในสังคมที่เคยชินกับชื่อเสียงพระเกจิชื่อดัง ความคาดหวังต่ออภินิหาร ไสยศาสตร์ ซึ่งเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติ แต่ในชีวิตจริงของคนเชื่อเรื่องเหล่านี้มักถูกหักมุมเสมอ ทันสมัยและใกล้ตัว มุกตลกของ “หนู คลองเตย” จึงฝ่ากาลเวลามาดังใหม่ได้ ถูกนำไปเล่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้เจ้าของมุกจะเสียชีวิตไปถึง 14 ปีแล้วก็ตาม เช่นเดียวกับความเป็นตลกในตำนานของเขาที่ไม่มีใครลืม เรื่อง: ณรรธราวุธ เมืองสุข ขอบคุณภาพจาก: จี้เส้นคอนเสิร์ต