เบลเมล-นามิ: น้ำตาแห่ง One Piece ความเป็นแม่ลูกที่ไม่ได้เชื่อมกันด้วยสายเลือด

เบลเมล-นามิ: น้ำตาแห่ง One Piece ความเป็นแม่ลูกที่ไม่ได้เชื่อมกันด้วยสายเลือด
***เปิดเผยเนื้อหาใน One Piece พูดถึงแม่ ในฐานะแฟนมังงะเรื่อง One Piece หลายคนอาจนึกถึงตัวละครอภิมหาแม่แห่งแกรนด์ไลน์อย่าง บิ๊กมัม ชาร์ลอตต์ ลินลิน หนึ่งในสี่จักรพรรดิ แต่ผู้เขียนกลับนึกถึงอีกตัวละครแม่ที่เอาเข้าจริงคือเป็นแม่ที่คิดว่าแสดงความเป็นแม่ได้น่าประทับใจที่สุดในเรื่อง นั่นคือ คุณเบลเมล คุณแม่ของนามิ Bell-mere เป็นภาษาฝรั่งเศส แปลว่า แม่บุญธรรมหรือแม่เลี้ยง ซึ่งเธอก็เป็นแม่เลี้ยงจริง ๆ ครอบครัวของนามิเป็นครอบครัวที่ประกอบด้วยเบลเมล ในฐานะแม่เลี้ยง และลูกสาวสองคนคือนามิ และโนยิโกะ ซึ่งไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกันแต่อย่างใด รวมถึงคุณเก็นโซ หนุ่มวัยกลางคนในหมู่บ้านโคโคยาชิ ที่ภายหลังได้เลี้ยงดูนามิและโนยิโกะต่อในความสัมพันธ์ที่เปรียบเสมือนพ่อเลี้ยงกับลูกสาว เบลเมลเป็นทหารเรือเก่า เป็นเด็กดื้อหัวขบถของหมู่บ้านโคโคยาชิที่ออกจากหมู่บ้านไปเพื่อเป็นทหารเรือหญิง ไม่มีใครรู้ว่าเบลเมลอยู่ในกองทัพแล้วเป็นยังไงบ้าง รู้ตัวอีกที ทุกคนก็เห็นเบลเมลกลับมาท่ามกลางพายุพร้อมร่างกายที่โชกไปด้วยเลือด และเด็กผู้หญิงสองคนอยู่ในอ้อมอก ป่วย หนาว กำลังจะตาย เธอตะโกนร้องขอความช่วยเหลือให้เด็กทั้งสอง เด็กสองคนนั้นคือโนยิโกะ อายุ 3 ปี และนามิ อายุ 1 ปี ทั้งสองคนเป็นเด็กกำพร้าที่เบลเมลเจอในสนามรบ ในขณะที่เธอกำลังบาดเจ็บและพร้อมจะตาย เด็กสองคนก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้า และนั่นทำให้เบลเมลเปลี่ยนความคิด เธอไม่อยากตายอีกต่อไป แต่เธออยากเป็นแม่คน หลังพักฟื้นจนเริ่มหายดี เบลเมลตัดสินใจบอกคนในหมู่บ้านว่าจะเลี้ยงเด็กสองคนนี้เอง แม้จะมีเสียงค้านมากมาย แต่เธอก็ยังยืนยันที่ “จะเลี้ยงดูให้พวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี ไม่ยอมแพ้ต่อยุคสมัยบ้า ๆ แบบนี้...” จากนั้นชีวิตครอบครัวของสามแม่ลูกก็เริ่มต้นขึ้น บ้านของเบลเมลอยู่ท้ายหมู่บ้าน ทำมาหากินด้วยการปลูกส้มขาย ฐานะไม่ได้ดีนัก จะเรียกว่ายากจนก็ได้ นามิต้องใช้เสื้อผ้าต่อจากโนยิโกะเสมอในฐานะน้องสาว เบลเมลเองก็แทบจะกินส้มแทนข้าว แม้จะอ้างกับนามิว่าไดเอต แต่คนอ่านอย่างเราก็รู้ว่ามันคือข้อแก้ตัวของแม่ที่อยากให้ลูกอิ่มท้องกว่าตัวเองเท่านั้น ใช่ว่านามิจะไม่รู้ว่าบ้านตัวเองจน เธอยังเคยบอกเบลเมลด้วยซ้ำ ว่าเธอและโนยิโกะทำให้คุณเบลเมลต้องลำบาก ในอายุเพียง 30 ปี เธอก็มีลูกแล้ว 2 คน ไม่ได้ใช้ชีวิตแบบที่อยากใช้ ไม่ได้ซื้อของอย่างที่อย่างซื้อ เบลเมลโกรธมากและน้อยใจ ปากบอกไล่นามิว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็ไป แต่ใจจริงใครก็รู้ว่าไม่ใช่แบบนั้น โนยิโกะต้องเข้ามาปลอบและปรามจนเบลเมลสงบลง ทั้งสามคนไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันเลย แต่กลับมีสัมพันธ์แน่นแฟ้นดุจแม่ลูกจริง ๆ หรืออาจจะมากกว่าแม่ลูกจริง ๆ หลายครอบครัวนัก จุดไคลแมกซ์ของเรื่องในอดีตนี้เริ่มขึ้นเมื่ออารอนเดินทางมาถึงหมู่บ้านโคโคยาชิ อารอน เป็นโจรสลัดมนุษย์เงือก เผ่าพันธุ์สุดแกร่งของท้องทะเลที่มีร่างกายแข็งแรงกว่ามนุษย์ทั่วไป หายใจใต้น้ำได้ ว่ายน้ำได้เร็ว และมีทักษะการต่อสู้ที่สูงนัก มันมาเพื่อสร้างจักรวรรดิเงือกให้แผ่ขยายไปทั่วท้องทะเลอีสต์บลู และที่นี่ก็เป็นหมุดหมายแรกของมัน อารอนเข้าทำร้ายและทำลายหมู่บ้านแห่งนี้ พร้อมยื่นเงื่อนไขว่าสิ่งเดียวที่จะทำให้คนที่นี่มีชีวิตต่อไปได้คือเงิน “1 แสนเบรี สำหรับผู้ใหญ่ 5 หมื่นเบรีสำหรับเด็ก” เป็นค่าไถ่ และหลังจากนี้ให้ทุกคนส่งส่วยจำนวนเท่านี้ทุกเดือนเพื่อรักษาชีวิต ใครไม่จ่ายต้องตาย ตอนนั้นนามิหนีออกจากบ้านมาอยู่ที่บ้านเก็นโซเพราะทะเลาะกับเบลเมล โนยิโกะมาตามหา ส่วนเบลเมลอยู่บ้าน ทำอาหารรอนามิกลับมากินอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา อารอนเจอบ้านของเบลเมลที่ท้ายหมู่บ้านเพราะควันไฟจากการเตรียมอาหาร เบลเมลขัดขืนเมื่อพบหน้ากัน แน่นอนว่าเธอสู้สภาพร่างกายที่แกร่งกว่าของมนุษย์เงือกไม่ได้อยู่แล้ว มันทำร้ายเบลเมลจนโชกเลือดก่อนจะยื่นเงื่อนไขให้เธอจ่ายเงินแลกกับชีวิต และเบลเมลมีเงินทั้งเนื้อทั้งตัวอยู่แค่ 1 แสนเบรีเท่านั้น ทางฟากคนในหมู่บ้านจัดการวางแผนเรียบร้อยเพื่อให้ทุกคนรอดชีวิต เบลเมลไม่มีบันทึกเอกสารของทางการว่ามีลูกสาว หากไปตรวจเช็กดูจะเห็นว่าเธออยู่ตัวคนเดียว ดังนั้นเก็นโซและคนในหมู่บ้านจึงแนะนำให้นามิและโนยิโกะหนีไปจากเกาะแห่งนี้ซะ ส่วนเบลเมลก็จ่ายเงินค่าไถ่ชีวิตกับอารอน และอยู่ในหมู่บ้านต่อไป เป็นข้อเสนอที่ทำให้ทุกคนมีชีวิตรอดต่อไปได้ แลกกับชีวิตที่เปลี่ยนไปทุกอย่าง เบลเมลยอมจ่ายเงิน 1 แสนเบรีแต่โดยดี ท่ามกลางความโล่งใจของทุกคน เบลเมลเอ่ยปากขึ้นมาว่า “เด็กสองคนก็ 1 แสนเบรี...นั่นเป็นส่วนของลูกสาวฉัน ส่วนของตัวฉันมีเงินให้ไม่พอ” เธอยอมตายดีกว่าจะไม่ยอมรับว่าเธอไม่มีลูกสาว อารอนยิงเบลเมลทิ้งเป็นตัวอย่าง เริ่มการปกครองด้วยความกลัวที่ยาวนานนับสิบปี ในขณะนั้นที่ชาวหมู่บ้านยินดีลุกขึ้นสู้จนตัวตาย นามิได้เข้ามาห้ามไว้ และประกาศว่าเธอจะเข้าเป็นสมาชิกกลุ่มโจรสลัดอารอนในฐานะนักสำรวจ ด้วยฝีมือการเขียนแผนที่ทำให้กลุ่มโจรสลัดเงือกนี้ต้องการตัวเธอมาก ทุกคนตกใจและโกรธแค้นที่เธอไปเข้าด้วยกับคนชั่วที่ฆ่าแม่ของเธอ แต่ที่ทุกคนไม่รู้คือนามิยอมมีชีวิตอยู่ต่อไป ด้วยการยื่นข้อเสนอกับอารอนว่าจะซื้อหมู่บ้านโคโคยาชิด้วยราคา 100 ล้านเบรี ที่หน้าหลุมศพของเบลเมล นามินั่งอยู่กับโนยิโกะ และนึกถึงสิ่งที่คุณเบลเมล แม่ของเธอได้พูดไว้ก่อนหน้าที่จะจากไป “โนยิโกะ นามิ… ห้ามยอมแพ้ใครนะ ถึงเป็นผู้หญิงเราก็ต้องเข้มแข็งเข้าไว้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จงอย่าเกลียดแค้นยุคสมัยที่เราเกิดมาในช่วงนี้ ถึงไม่มีใครชื่นชมเราก็ช่างปะไร แต่อย่าลืมความเข้มแข็งที่จะยิ้มรับได้ทุกสถานการณ์ “ถ้ารอดชีวิตไปได้ จะต้องมีสิ่งที่ดีรออยู่ข้างหน้าแน่นอน...และมันจะมีมากด้วย” สองพี่น้องนามิ-โนยิโกะ เชื่อว่าการรอดชีวิตมีความหมายกว่าการไปตายเอาดาบหน้า ที่เราอาจได้แก้แค้นก็จริง แต่ก็เหมือนดอกไม้ไฟที่พุ่งสูงจนเกิดประกายไฟ ก่อนจะมอดดับไปในเวลาไม่นาน  เพราะการรอดชีวิตต่อไปอาจมีความหมาย หากเราจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในภายหน้า เหมือนเช่นนามิที่เก็บกลืนอุดมการณ์ไว้ในอก ไม่ต้องบอกใคร ฉากหน้าอาจคือการร่วมมือกันกับโจรสลัด แต่ฉากหลังคือการรอวันที่พวกมันจะพ่ายแพ้ ด้วยค่าไถ่ 1 แสนเบรี เราอาจเห็นว่าการมีเงินทำให้นามิและโนยิโกะรอดชีวิตมาจากเงื้อมมือของอารอนได้ แต่เอาเข้าจริงสิ่งที่ทำให้สองคนนี้มีชีวิตอยู่ได้จนเห็นวันที่กลุ่มโจรสลัดอารอนล่มสลายลงด้วยฝีมือของลูฟี่และพวก ไม่ใช่เงินก้อนนั้น แต่คือความรักของแม่คนหนึ่งต่างหาก สุขสันต์วันแม่ครับ   เรื่อง: นทธัญ แสงไชย (Joebongo)