ออสการ์ ชินด์เลอร์: เหรียญอีกด้านของเจ้าของโรงงานผู้สละเงินทองเพื่อช่วยชาวยิวในสงครามโลกครั้งที่สอง

ออสการ์ ชินด์เลอร์: เหรียญอีกด้านของเจ้าของโรงงานผู้สละเงินทองเพื่อช่วยชาวยิวในสงครามโลกครั้งที่สอง

มนุษย์ทุกคนย่อมมีเรื่องราวและบทบาทเป็นของตัวเอง แต่จะมีสักกี่คนที่ยอมสละเงินทองจนหมดตัว เพื่อช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ที่ไม่ได้รู้จักนิสัยใจคอกันเลยแม้แต่น้อย หลายคนคงอาจเคยได้ยินเรื่องราวของ ‘ออสการ์ ชินด์เลอร์’ ชายผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษผู้ยอมเสี่ยงชีวิต เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่มีสายเลือดยิวไหลเวียนอยู่ทั่วร่างกาย สายเลือดที่ถูกตราหน้าว่าแตกต่างและควรถูกกำจัด โดยความแตกต่างนี้ก็ได้นำมาซึ่งโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่โลกไม่อาจลืมเลือน แต่ในการเข้ามาช่วยเหลือชาวยิวนับพันรายของเขา กลับมีเหรียญอีกด้านซ่อนอยู่ ไม่แน่ว่าเรื่องราวในมุมเทา ๆ ของเขา อาจทำให้มุมมองที่มีต่อชายผู้นี้เปลี่ยนไปก็เป็นได้

ออสการ์ ชินด์เลอร์ (Oskar Schindler) นักธุรกิจชาวโปแลนด์ เจ้าของโรงงานผลิตกระสุนและภาชนะเครื่องเคลือบลายครามในเมืองคราคูฟ อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในสมาชิกพรรคนาซีในระหว่างที่สงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังร้อนระอุ ชายที่ว่ากันว่าเขาคือผู้ช่วยชีวิตแรงงานฝีมือชาวยิวกว่า 1,100 คน ให้รอดพ้นจากการถูกเกณฑ์ไปค่ายกักกันเอาชวิทซ์ แต่ในคราบคนดีที่ชินด์เลอร์เผยออกมานั้น กลับเต็มไปด้วยเรื่องราวผลประโยชน์ทับซ้อนทางธุรกิจ เพราะคนงานเชื้อสายยิวทั้งหมดที่รอดชีวิตจากการถูกสังหารหมู่ ล้วนถูกนำไปเป็นแรงงานฝีมือราคาถูกในโรงงานของเขาเอง

ออสการ์ ชินด์เลอร์ เกิดในปี 1908 เมืองชวิตเทา สาธารณรัฐเช็ก เขาเป็นลูกชายคนโตจากครอบครัวนักธุรกิจผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องจักรกลการเกษตร เรื่องราวของชินด์เลอร์ได้รับการบอกเล่าปากต่อปาก จากอดีตผู้ใช้แรงงานชาวยิวที่รอดชีวิตจากการถูกเกณฑ์ไปค่ายกักกันนาซี ซึ่งทั้งหมดล้วนได้รับความช่วยเหลือจากชินด์เลอร์ จนกระทั่งไปถึงหูของสตีเวน สปีลเบิร์ก ผู้กำกับชื่อก้องโลกจึงได้ตัดสินใจสร้างภาพยนตร์ Schindler’s List ตีแผ่เรื่องราวของชายที่ยอมเสี่ยงชีวิตตัวเอง เพื่อช่วยชาวยิวให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของมัจจุราช ซึ่งหนึ่งในฉากที่ตราตรึงใจผู้ชมมากที่สุดคงหนีไม่พ้น ‘เด็กหญิงชุดแดง’ ที่ยืนอยู่ท่ามกลางชาวยิวอย่างไม่รู้ชะตากรรมว่าหลังจากนี้ชีวิตของพวกเขาจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
เส้นทางชีวิตก่อนที่เขาจะมาเป็นสมาชิกพรรคและเจ้าของโรงงานนั้น ชินด์เลอร์เคยทำมาแล้วหลายอาชีพ ตั้งแต่เปิดโรงเรียนสอนขับรถ เซลส์แมน ไปจนถึงเจ้าของฟาร์มไก่ อย่างไรก็ตามชีวิตของเขาก็ไม่ได้ราบรื่น ธุรกิจทุกอย่างที่เขาหยิบจับกลับล้มเหลวลงไม่เป็นท่า เขาเริ่มหันมาดื่มเหล้าเคล้านารี กลายเป็นหนุ่มเจ้าสำราญพราวเสน่ห์ที่ไม่ว่าจะไปดื่มที่โรงเบียร์หลังไหน ใคร ๆ ก็ต้องให้การต้อนรับ
จากความเจ้าเสน่ห์ของชินด์เลอร์นี้เอง ทำให้เขาสามารถเกลี้ยกล่อมสมาชิกพรรคนาซีให้รับเขาเข้าเป็นหนึ่งในผู้ร่วมอุดมการณ์ ความช่างพูดช่างจา และการ ‘อยู่เป็น’ ของเขา ผ่านการติดสินบนเจ้าหน้าที่เล็ก ๆ น้อย ๆ ทำให้ผู้นำพรรคระดับสูงพึงพอใจ จนตัดสินใจยกให้ชินด์เลอร์เป็นเจ้าของโรงงานที่อยู่ในความดูแลของนาซีไปในที่สุด
ชีวิตของชินด์เลอร์เริ่มเข้าที่เข้าทาง เขาไม่ใช่ชายคนเดิมที่เคยล้มเหลวอีกต่อไป แต่เป็นนักธุรกิจที่มองเห็นช่องทางการทำเงินจากสถานการณ์ที่ชวนหดหู่ใจเช่นนี้ ต่างจากตอนแรกที่เขาตัดสินใจเป็นสมาชิกพรรคนาซีเพราะมองเห็นลู่ทางการหาเงินเพียงอย่างเดียว ตอนนี้เขาสามารถเป็นทั้ง ‘คนดี’ และ ‘นักธุรกิจ’ ที่สามารถขับเคลื่อนธุรกิจและช่วยชีวิตชาวยิวได้พร้อมกัน
ในโรงงานของชินด์เลอร์มีคนงานอยู่ประมาณ 1,750 คน ในจำนวนนั้นเป็นชาวยิวราว 1,000 คน ชินด์เลอร์สามารถปกป้องคนงานชาวยิวให้รอดพ้นจากการถูกเกณฑ์ไปยังค่ายกักกันนาซีได้เกือบทั้งหมด เนื่องจากเขามีคนรู้จักอยู่ในหน่วยสืบราชการลับ ทำให้ทุกครั้งที่จะโดนตรวจตราเขามักจะไหวตัวทันอยู่เสมอ
แต่ในไม่ช้าสมาชิกพรรคนาซีคนอื่น ๆ ก็เริ่มระแคะระคาย และเริ่มส่งทหารมาตรวจตราโรงงานของเขาอยู่บ่อยครั้ง ชินด์เลอร์จึงต้องเริ่มหันมาปกป้องคนงานของตนอย่างจริงจัง สลัดคราบนักธุรกิจที่มองหาแต่ผลประโยชน์ส่วนตัวทิ้งไป เหลือไว้เพียงพ่อพระใจบุญที่พร้อมช่วยเหลือชาวยิวในความดูแลของเขาทั้งหมดให้มีชีวิตรอดไม่ว่าจะต้องแลกกับอะไรก็ตาม ทรัพย์สินของชินด์เลอร์เริ่มถูกนำไปใช้ในการติดสินบนเจ้าหน้าที่มากขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่เงินก้อนโตไปจนถึงสินทรัพย์สุดหรูจากตลาดมืดที่ไม่ว่าสมาชิกพรรคนาซีคนไหนได้รับไป ย่อมต้องยอมปล่อยมือออกจากหน้าที่ และยินยอมให้ชาวยิวกว่าพันชีวิตมีชีวิตรอดอยู่นอกค่ายกักกัน
ชาวยิวที่รอดชีวิตภายใต้การดูแลของชินด์เลอร์ นับถือเขามากจนกระทั่งเรียกตัวเองว่า ‘ชินด์เลอร์ยูเดิน’ (Schindlerjuden) หรือชาวยิวของชินด์เลอร์ เพื่อให้ผู้ปกปักรักษาชีวิตของพวกเขารับรู้ได้ถึงความซาบซึ้งใจในทุกการกระทำของชินด์เลอร์ และพวกเขาจะไม่ลืมบุญคุณครั้งนี้อย่างแน่นอน แต่ไม่ใช่ว่าชาวยิวทุกคนจะเห็นดีเห็นงามกับการเรียกตัวเองว่า ชินด์เลอร์ยูเดิน ชาวยิวอีกหลายกลุ่มออกจะคัดค้านความคิดนี้ด้วยซ้ำ พวกเขามองว่าการกระทำของชินด์เลอร์นั้นไม่ต่างจากนาซีไปเสียเท่าไร เพราะเพื่อนร่วมสายเลือดก็ยังคงต้องทำงานอย่างหนัก เพื่อแลกกับเงินจำนวนเล็กน้อย ซึ่งน้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำในขณะนั้นเสียอีก
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง ชินด์เลอร์เหลือแต่เพียงตัวเปล่า ทรัพย์สินทั้งหมดของเขาหมดไปกับการช่วยเหลือคนงานชาวยิว แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดี ชินด์เลอร์ได้รับการละเว้นโทษจากการเป็นอาชญากรสงคราม เนื่องจากความดีที่เขาสร้างไว้
เมื่อไม่ได้อยู่ในฐานะเจ้าของโรงงานผู้มั่งคั่งอีกต่อไป เขาจึงต้องย้ายไปอยู่ที่เมืองเรเกินส์บวร์คและมิวนิก โดยอาศัยเงินช่วยเหลือจากองค์กรชาวยิวที่รอดชีวิตจากค่ายกักกันมาประทังชีวิต หลังจากนั้นไม่นานก็ย้ายไปประเทศอาร์เจนตินาในปี 1948 เพื่อที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ในฐานะนักธุรกิจอีกครั้ง แต่ก็ต้องล้มเหลวไม่เป็นท่า เขาและภรรยาจึงตัดสินใจเดินทางกลับประเทศเยอรมนีในอีกสิบปีให้หลัง
แม้จะเป็นนักธุรกิจที่ไม่ประสบความสำเร็จ อีกทั้งยังไม่มีเงินทองติดตัวแม้แต่บาทเดียว แต่ชินด์เลอร์ก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข ด้วยเงินสนับสนุนที่องค์กรชาวยิวมอบให้อย่างสม่ำเสมอ ในขณะเดียวกันเงินจำนวนดังกล่าวที่ชินด์เลอร์ได้รับก็ถูกนำไปลงโต๊ะพนันอยู่บ่อยครั้ง จนสมาชิกในองค์กรบางคนถึงกับเอือมระอา
เมื่อชั่งน้ำหนักระหว่างความดีที่เขาก่อและเงินที่ชินด์เลอร์เสียไปบนโต๊ะพนัน สมาชิกในองค์กรหลายคนจึงเลือกที่จะมองข้ามข้อบกพร่องนี้ไป เพราะพวกเขามองว่ายังไงชินด์เลอร์ก็คือมนุษย์คนหนึ่ง ซึ่งมนุษย์ย่อมทำเรื่องผิดพลาดกันได้
ปัจจุบัน ‘ความดี’ ของชินด์เลอร์ที่ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยชีวิตชาวยิวให้รอดพ้นจากห้องรมควัน ได้รับการยอมรับในระดับสากล แม้แต่ในประเทศเยอรมนีเองก็ได้มีการออกแสตมป์รุ่นพิเศษในปี 2008 เพื่อเป็นเกียรติแก่ชินด์เลอร์ในวันครบรอบ 100 ปีชาตกาล แต่ในประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของเขาที่สาธารณรัฐเช็ก กลับมีการออกมาต่อต้านการระลึกถึงสิ่งที่ชินด์เลอร์เคยกระทำในอดีต เพราะพวกเขายังคงมองว่าชินด์เลอร์ไม่สมควรได้รับเกียรติขนาดนั้น สิ่งที่เขาทำลงไปก็เพียงเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว และความเป็นนาซีของเขาไม่ควรถูกลบเลือนออกไปจากหน้าประวัติศาสตร์ เพียงเพราะเขาช่วยชีวิตชาวยิวจนสิ้นเนื้อประดาตัว
แต่ท้ายที่สุดแล้ว การเสียสละทรัพย์สมบัติส่วนตัวของชินด์เลอร์ เพื่อช่วยชีวิตชาวยิวให้มีชีวิตรอดจากภัยสงคราม และสมาชิกพรรคนาซี ก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าชินด์เลอร์เองก็มีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจมนุษย์อยู่ไม่น้อย เขาจึงพยายามเปลี่ยนบทบาทจากนักธุรกิจผู้เล็งเห็นแต่ผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นหลัก มาเป็นผู้พิทักษ์ชาวยิวในภายหลัง หากจะมองว่าเขาคือ ‘ฮีโร่’ ก็คงไม่ผิดนัก เพราะชินด์เลอร์คือชายผู้กล้ายืนหยัดต่อสู้กับความโหดร้ายของระบบนาซี เพื่อช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ให้รอดพ้นจากการถูกพรากชีวิตไปอย่างไร้ค่า
ภาพ: Getty Images
อ้างอิง: https://www.naewna.com/lady/330311
https://www.britannica.com/biography/Oskar-Schindler
https://filmclubthailand.com/articles/behind-the-scene/schindlerslist/
https://www.dw.com/en/hero-or-traitor-oskar-schindler-still-divides/a-3297686
http://www.electron.rmutphysics.com/science-news/index.php?option=com_content&task=view&id=944&Itemid=4
https://www.facinghistory.org/resource-library/teaching-schindlers-list/life-oskar-schindler