ออตโต จอห์น: จากลูกข้าราชการ สู่สายลับสองหน้าในยุคสงครามเย็น

ออตโต จอห์น: จากลูกข้าราชการ สู่สายลับสองหน้าในยุคสงครามเย็น
ลองจินตนาการเล่น ๆ ว่าวันหนึ่ง ผู้มีตำแหน่งใหญ่โตที่ทำงานอยู่ใน FBI หน่วยงานด้านข่าวกรองและความมั่นคงภายในของสหรัฐฯ หรือหน่วยข่าวกรองระดับโลกของอังกฤษอย่าง MI5 กลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเป็นเวลา 1 ปีเต็ม  ลองนึกภาพว่าข้อมูลที่เขาหรือเธอกุมความลับเอาไว้ จะสร้างความเสียหายแก่ประเทศชาติมากเพียงใด หากตกอยู่ในมือของศัตรู เพียงแค่คิดเล่น ๆ ก็คงทำให้ผู้นำระดับสูงประหวั่นพรั่นพรึงไม่น้อย เราอยากให้ลองจินตนาการแบบเหนือจริงขึ้นไปอีกขั้นว่า อยู่มาวันหนึ่งเขาหรือเธอที่เจ้าหน้าที่ต่างพลิกแผ่นดินตามหานั้นได้เดินกลับมาเคาะประตู พร้อมส่งรอยยิ้มทักทายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นี่คงเป็นภาพที่แปลกพิลึก... แต่เรื่องทั้งหมดนี้คือเรื่องจริงที่ถูกเล่าขานมาตลอดยุคสงครามเย็น และดูเหมือนว่าประวัติศาสตร์จะไม่ยอมลบเหตุการณ์แปลกประหลาดที่สุดของยุคออกไปง่าย ๆ เพราะ ‘ออตโต จอห์น’ (Otto John) ชื่อของชายผู้นี้ยังคงเด่นหรา ท้าทายความสงสัยของผู้คนต่างยุคมาจนถึงปัจจุบัน นี่คือเรื่องราวของเขา สายลับเยอรมันระดับสูง ชายผู้ไต่เต้ามาจากการเป็นทนาย จนมาสู่หนึ่งในผู้วางแผนลอบสังหารฮิตเลอร์ และจอห์นผู้นี้เองทำให้หลายคนเคลือบแคลงใจในการเดินทางกลับมาสู่อ้อมอกของเยอรมนีตะวันตกอีกครั้ง หลังจากหายไปอยู่ในแดนศัตรูอย่างเยอรมนีตะวันออก ภายใต้การปกครองของสหภาพโซเวียต เป็นเวลา 1 ปีเต็ม!

จากทนายสู่สายลับ

“ผมไม่อยากตายไปอย่างคนทรยศ” คือคำพูดที่ ‘ออตโต จอห์น’ สายลับชาวเยอรมนีตะวันตก ยืนกรานอย่างหนักแน่นว่าเขาไม่ได้ขายชาติ ตามที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงกล่าวอ้าง ซึ่งคำพูดของเขาได้รับการพิสูจน์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเขาอาจจะ ‘ขาย’ หรือ ‘ไม่ขาย’ ชาติจริง ๆ ก็ได้ เพราะในคืนวันหนึ่งของเดือนกรกฎาคม 1954 ระหว่างที่เสียงสัญญาณเตือนภัยดังระงมไปทั่วเบอร์ลินตะวันตก ออตโต จอห์น เจ้าหน้าที่หน่วยงานข่าวกรองของเยอรมนี จากสำนักงานปกป้องรัฐธรรมนูญของรัฐบาลกลาง (Bundesamt für Verfassungsschutz หรือ BfV) จู่ ๆ ก็ตัดสินใจบินลัดฟ้าไปซบอ้อมอกเยอรมนีตะวันออกเสียอย่างงั้น ไม่มีใครรู้ว่าทำไมถึงตัดสินใจเช่นนี้ แต่ที่รู้แน่ ๆ คือเขาจากไปแล้ว ทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนไปหาศัตรูต่างถิ่น ชายผู้ที่ได้รับความไว้วางใจจากสมาชิกกลุ่มต่อต้านนาซีของเยอรมนีให้ทำหน้าที่สำคัญยิ่ง อย่างการวางแผนลอบสังหารฮิตเลอร์ในวันที่ 20 กรกฎาคม 1944 แต่โชคร้ายที่แผนการของเขากลับล้มเหลวไม่เป็นท่า เขาจึงต้องหลบหนีไปยังเกาะอังกฤษ และยื่นขอสัญชาติอังกฤษในเวลาต่อมา แต่ก็ไม่มีข้อมูลยืนยันชัดเจนว่าเขาได้รับสัญชาติตามที่เขาร้องขอหรือไม่ แม้ชีวิตของจอห์นจะดูวุ่นวายอยู่ไม่น้อย แต่เขาก็เป็นเพียงแค่ลูกข้าราชการธรรมดา ๆ จากเมืองมาร์บูรก์ ทางตอนเหนือของแฟรงก์เฟิร์ต เกิดและเติบโตมาภายในครอบครัวอนุรักษนิยมแบบสุดโต่ง จงเกลียดจงชังลัทธิเสรีนิยมเข้ากระดูกดำ ซึ่งนี่คงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ครอบครัวข้าราชการของเขาใกล้ชิดกับอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำเผด็จการที่พรากชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปราวกับใบไม้ร่วง จอห์นจบการศึกษาระดับปริญญาเอก สาขากฎหมาย จากมหาวิทยาลัยมาร์บูร์ก ในปี 1937 ด้วยความช่วยเหลือจากฮิตเลอร์ จากนั้นจึงย้ายไปยังเบอร์ลิน ทำงานเป็นหัวหน้าผู้ตรวจสอบบัญชีสายการบินลุฟท์ฮันซ่า ที่นั่นเขามักจะได้แลกเปลี่ยนข้อมูล ‘ลับสุดยอด’ กับผู้นำระดับสูงของแต่ละประเทศอยู่เสมอ และเขาได้ใช้ประโยชน์จากสายสัมพันธ์ดังกล่าว นำมาเป็นหนึ่งในอาวุธลับที่สุด มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่ล่วงรู้ความลับนี้ จากนั้นจึงได้เบนเข็มจากหัวหน้าบัญชี มาเป็นหัวหน้าหน่วยข่าวกรองต่อต้านข่าวกรองของเยอรมนีตะวันตกคนแรกในปี 1950 เขาปฏิบัติหน้าที่อยู่ใกล้กับเจ้าหน้าที่ของนาซีนาน 4 ปี ขโมยความลับสงคราม ข้อมูลของอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อส่งข่าวกลับไปยังอังกฤษ และหายตัวไปอย่างลึกลับในอีก 4 ปีให้หลัง

คดีที่ลึกลับที่สุดในประวัติศาสตร์สงคราม

แม้หนังสือพิมพ์สัญชาติเยอรมัน Süddeutsche Zeitung เผยว่า “ไม่มีนักสู้ต่อต้านระบอบนาซีคนใด ที่เข้าไปพัวพันกับความวุ่นวายทางการเมืองของเยอรมนี ในขณะที่เบอร์ลินถูกแบ่งแยกจากสองขั้วอุดมการณ์” แต่ก็มีหลักฐานแย้งจากฝั่งสหภาพโซเวียตว่า จอห์นผู้นี้คือผู้แปรพักตร์ ต่างจากคำให้การของเขาที่บอกว่าไม่ได้ทรยศอย่างสิ้นเชิง “ผมถูกวางยาและลักพาตัวไปยังเยอรมนีตะวันออก ผมไม่ได้ทรยศ!” ระหว่างที่เขาอยู่ที่เยอรมนีตะวันออก จอห์นกล่าวประณาม ‘คอนราด อาเดนาวร์’ (Konrad Adenauer) นายกรัฐมนตรีคนแรกของสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีตะวันตก (First Chancellor) อยู่เสมอ ซึ่งจอห์นก็ได้แย้งอีกว่าที่เขาต้องวิพากษ์วิจารณ์ทุกการทำงานของนโยบายของรัฐบาลบอนน์เป็นเพราะต้องการรักษาความปลอดภัยของชีวิตเอาไว้ การทำให้เยอรมนีตะวันออกเชื่ออย่างสุดใจว่าเขาคือพวกเดียวกัน คือวิธีที่ดีที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ในเวลานั้น แน่นอนว่าการกลับมายังเยอรมนีตะวันตกอีกครั้ง หลังจากหายตัวไปอยู่แดนศัตรูถึง 1 ปี ย่อมทำให้หลายฝ่ายไม่ใว้วางใจในตัวสายลับผู้นี้ เขาถูกศาลฎีกาของเยอรมนีตะวันตกพิพากษาว่ามีความผิดฐานกบฏ และสั่งจำคุกเป็นเวลา 4 ปี ในระหว่างพิจารณาคดี จอห์นได้ให้การว่า ดร.โวล์ฟกัง โวลเกมุท (Dr.Wolfgang Wohlgemuth) วางยาในกาแฟและลักพาตัวเขาจากเบอร์ลินตะวันตกไปเบอร์ลินตะวันออก ซึ่งทั้งหมดเป็นแผนการที่รัฐบาลโซเวียตพยายามใส่ร้ายเขาทั้งหมด แต่ ดร.โวล์ฟกังก็ได้บอกว่าทั้งหมดที่จอห์นให้การต่อหน้าศาลเป็นเรื่องเหลวไหล จอห์นยินดีที่จะไปเบอร์ลินตะวันออกด้วยเจตจำนงเสรีของเขาเอง ไม่ได้มีใครบังคับนายคนนี้ไปทั้งนั้น “เขากังวลเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของลัทธินีโอนาซีในเยอรมนีตะวันตก เขาเลยอยากจะไปแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับอนาคตของเยอรมนีกับ ‘คน’ ของเยอรมนีตะวันออกด้วยตัวเอง “เขาบอกกับผมอีกว่า เขาตั้งใจจะอยู่ที่เยอรมนีตะวันออกต่อไป” สอดคล้องกับเอกสารลับของ KGB ที่เผยออกมาภายหลังจากจอห์นขึ้นให้การต่อหน้าศาล แม้จะได้รับข้อหาที่หนักหน่วงว่าเป็นคนทรยศต่อชาติ แต่เขาก็ถูกจำคุกอยู่เพียงแค่ 4 ปีและถูกปล่อยตัวออกมาในปี 1958 หลังจากได้รับการอภัยโทษจากประธานาธิบดีธีโอดอร์ ฮิวส์ (Theodor Heuss) แห่งเยอรมนีตะวันตก ออตโต จอห์น เสียชีวิตในวัย 88 ปี ในวันที่ 26 มีนาคม ณ สถานพยาบาลอินส์บรุค ออสเตรีย โดยไม่เปิดเผยสาเหตุการเสียชีวิต  เขาตายจากโลกนี้ไปพร้อมกับพูดว่าเขาไม่เคยทรยศ แม้แต่จะคิดก็ยังไม่เคย แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายว่าคำพูดของเขาไม่ได้รับการพิสูจน์ จวบจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต   ภาพ: http://wechselseitig.info/de/ausstellung/biografien/otto-john/   อ้างอิง https://theconversation.com/otto-john-new-light-shed-on-legendary-cold-war-double-defector-80510 https://www.washingtonpost.com/archive/local/1997/03/30/otto-john-88-dies/d8de6f67-8cd9-4fad-bf51-555d586f892d/ https://content.time.com/time/subscriber/article/0,33009,823490,00.html https://www.nytimes.com/1997/03/31/world/otto-john-88-bonn-official-at-center-of-counterspy-mystery.html