แดนนี่ สจ๊วต & พีต เมอร์คิวริโอ : คู่รัก LGBTQ+ ที่รับเด็กชายผู้ถูกทอดทิ้งในสถานีรถไฟใต้ดินมาเป็นบุตรบุญธรรม

แดนนี่ สจ๊วต & พีต เมอร์คิวริโอ : คู่รัก LGBTQ+ ที่รับเด็กชายผู้ถูกทอดทิ้งในสถานีรถไฟใต้ดินมาเป็นบุตรบุญธรรม
‘ไม่อยากมีลูก’ เป็นความคิดที่ ‘พีต เมอร์คิวริโอ’ (Pete Mercurio) นักเขียนบทละครและนักออกแบบเว็บไซต์ในนิวยอร์กมั่นใจมาโดยตลอด เพราะเขาไม่เคยคิดอยากจะเป็นพ่อคน แม้แต่วันที่ ‘แดนนี่ สจ๊วต’ (Danny Stewart) คนรักของเขาตัดสินใจรับบุตรบุญธรรม ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็แทบจะขาดสะบั้น เพราะพีตเกือบจะปล่อยให้แดนนี่ดูแลเด็กน้อยอย่างโดดเดี่ยว  ขณะที่ภาพในปัจจุบัน พีตและแดนนี่กลายเป็นคู่รักวัยห้าสิบที่คอยดูแลเด็กหนุ่มให้เติบโตขึ้นด้วยรอยยิ้มและความอบอุ่นเต็มหัวใจ แถมพีตยังเขียนหนังสือ ‘Our Subway Baby’ บอกเล่าเรื่องราวการรับเด็กชายคนนี้มาเป็นบุตรบุญธรรมตั้งแต่วันแรกที่พบจนถึงปัจจุบัน  และนี่คือเรื่องราวของ ‘ความรัก’ ที่เปลี่ยนให้ทุกอย่างเป็นไปได้ รวมทั้งเปลี่ยนพีตให้กลายเป็นคุณพ่อแสนอบอุ่นอย่างที่เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเป็นได้   ทารกน้อยในสถานีรถไฟ ราวสองทุ่มของวันที่ 28 สิงหาคม 2000 ณ สถานีรถไฟใต้ดิน แดนนี่วัย 34 ปีกำลังเดินทางไปกินมื้อค่ำกับพีต คนรักของเขา แต่ระหว่างทางมีบางอย่างดึงดูดสายตาของแดนนี่ ตอนแรกเขาคิดว่าเป็นตุ๊กตาเด็กทารกจึงนึกฉงนใจเล็กน้อยที่มีคนทิ้งตุ๊กตาทารกไว้บนพื้นสถานีรถไฟใต้ดิน แต่ความฉงนใจไม่ได้ดึงดูดสายตาเขาไว้นานนัก แดนนี่ย่ำเท้าก้าวต่อ เมื่อเหลือบมองกลับมาอีกครั้ง เขาต้องพบกับความประหลาดใจ เมื่อเห็นขาน้อย ๆ ขยับไปมา แดนนี่วิ่งกลับลงมามองใกล้ ๆ เขาพบว่าในห่อเสื้อสเวตเตอร์นั้นไม่ใช่ตุ๊กตา แต่เป็นเด็กทารก ! “ผมไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องจริง ผมมองดูเขาตรงนั้น แล้วเห็นเขาขยับขา ผมวิ่งลงบันได และเช็กให้แน่ใจว่าเขายังหายใจอยู่ จากนั้นผมโทร 911 มันดูไม่ใช่เรื่องจริงเลยที่ผมจะพบเด็กถูกทอดทิ้งแบบนี้” แดนนี่ให้สัมภาษณ์กับ New York Post เมื่อปี 2000 พีตเดินทางไปถึงสถานีรถไฟใต้ดินในช่วงเวลาที่ตำรวจกำลังอุ้มทารกพาไปยังโรงพยาบาล “คุณรู้ไหมว่าคุณจะต้องติดต่อกับเด็กคนนั้นไม่ทางใดก็ทางหนึ่งไปตลอดชีวิต” พีตจำได้ดีว่าเขาพูดประโยคนี้กับแดนนี่ ขณะที่รถตำรวจค่อย ๆ ห่างออกไป เพราะพีตเชื่อว่า วันหนึ่งที่เด็กน้อยโตขึ้นและรับรู้เรื่องราวทั้งหมด เขาคงอยากรู้และพยายามตามหาว่าใครเป็นคนพบเขาในสถานีรถไฟใต้ดิน พีตจึงเสนอให้หาที่อยู่ของเด็กแล้วส่งของขวัญให้ทุกปี แต่ใครจะรู้ว่า พวกเขาจะไม่ได้ ‘ส่งของขวัญ’ ให้เด็กน้อยทุกปี แต่จะได้ ‘รับของขวัญ’ ชิ้นสำคัญอันเปลี่ยนชีวิตและมุมมองของเขาไปอีกนานแสนนาน   ไม่ใช่โอกาส แต่เป็นของขวัญ หลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านไป แดนนี่เข้าไปเยี่ยมเด็กน้อยที่โรงพยาบาล แต่ไม่สามารถเยี่ยมได้ เพราะทางโรงพยาบาลอนุญาตเฉพาะคนในครอบครัวเท่านั้น แดนนี่จึงไม่ได้รับข่าวสารของเด็กชายอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งแดนนี่มีโอกาสได้เข้าไปเป็นพยานการพิจารณาคดีของศาลเกี่ยวกับการพบเด็กคนนี้ในสถานีรถไฟใต้ดิน “คุณสนใจที่จะรับเลี้ยงทารกคนนี้หรือไม่” ผู้พิพากษาถามคำถามที่เขาไม่ได้เตรียมใจมาก่อน  แดนนี่ตอบตกลงตามสัญชาตญาณก่อนจะตระหนักได้ว่าคำพูดนั้นไม่ควรเกิดขึ้น เพราะเขายังไม่ทันได้ปรึกษาพีต และไม่คิดว่าจะเลี้ยงเด็กสักคนได้ “แต่ผมไม่คิดว่ามันจะง่ายขนาดนั้น” แดนนี่กล่าว ผู้พิพากษายิ้มแล้วตอบกลับไปว่า “ก็เป็นไปได้” แม้คำถามของผู้พิพากษาจะดูเหนือความคาดหมาย แต่แดนนี่ก็ได้ยินคำถามนี้จากเพื่อน ๆ และคนรู้จักเช่นเดียวกันว่าเหตุใดเขาจึงไม่รับเด็กไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมเสียตั้งแต่คืนแรกที่พบ  “ผมไม่เคยคิดเรื่องรับบุตรบุญธรรมมาก่อน แต่ในเวลาเดียวกัน ผมก็หยุดคิดไม่ได้ว่า...ผมรู้สึกเชื่อมโยงกับเด็กคนนี้ ผมรู้สึกเหมือนว่านี่ไม่ใช่เพียงโอกาส แต่เป็นของขวัญ และผมจะปฏิเสธของขวัญชิ้นนี้ได้อย่างไร” แดนนี่ให้สัมภาษณ์กับ BBC   ความสัมพันธ์ที่เกือบสิ้นสุด แดนนี่เดินออกมาจากห้องพิจารณาคดีเพื่อโทรฯ แจ้งข่าวนี้กับพีต แต่พีตยืนกรานให้แดนนี่บอกผู้พิพากษาว่าไม่สามารถรับเด็กคนนี้เป็นบุตรบุญธรรมได้ หากแต่แดนนี่ไม่ได้ทำอย่างนั้น สัปดาห์ต่อมาบทสนทนาของทั้งคู่จึงปกคลุมด้วยบรรยากาศตึงเครียด “พวกเราไม่มีเงิน ไม่มีพื้นที่ แถมยังมีรูมเมต...ตอนนั้นผมรู้สึกโกรธเขาเล็กน้อย ผมบอกแดนนี่ว่า ‘คุณตอบตกลงได้ยังไงโดยที่ไม่ปรึกษาผมก่อน ?’” พีตเล่าถึงเหตุการณ์ในวันนั้น สถานการณ์ตึงเครียดยังคงยืดเยื้อและค่อย ๆ บั่นทอนให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จนเริ่มระหองระแหง “คุณเลือกเด็กคนนี้มากกว่าความสัมพันธ์ของเราใช่ไหม ?” พีตถาม “ผมอยากให้เราทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกัน ผมอยากทำให้เราทุกคนทำสิ่งเหล่านี้ด้วยกัน แต่ถ้าคุณไม่พร้อม ผมเข้าใจได้ และผมก็จะรับเลี้ยงเด็กคนนี้ต่อไปโดยที่มีหรือไม่มีคุณก็ได้” แดนนี่กล่าว แม้ทั้งคู่จะทะเลาะกันค่อนข้างหนัก แต่แดนนี่ก็สามารถโน้มน้าวให้พีตเดินทางไปพบเด็กน้อยในบ้านที่รับเลี้ยงดูเด็ก (foster home) ได้สำเร็จ ทันทีที่ก้าวพ้นประตู ทั้งคู่ก็เห็นตรงกันว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ได้เหมาะสำหรับการเลี้ยงเด็กอ่อนเท่าไรนัก แดนนี่อุ้มทารกไว้ในอ้อมแขน เด็กน้อยจ้องมองเขาด้วยแววตาใสซื่อ ปราศจากเสียงร้องไห้หรือตื่นกลัว “จำฉันได้ไหม ?” แดนนี่เอ่ยเบา ๆ  เมื่อพีตได้ลองอุ้มเด็กน้อยบ้าง เขาจำได้ว่าคลื่นแห่งความอบอุ่นได้โอบกอดเขาอย่างช้า ๆ ทารกตัวน้อยเอื้อมมือมาบีบนิ้วและจ้องมองเขาอย่างไม่ละสายตา ส่วนพีตเองก็มองไปยังทารกที่อยู่ตรงหน้า ในตอนนั้นประตูหัวใจที่เคยปิดสนิทค่อย ๆ เปิดออก พีตเริ่มรู้สึกว่าเขาสามารถเป็นพ่อของเด็กคนนี้ได้   ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป หลังจากที่ทั้งคู่ตัดสินใจรับของขวัญชิ้นใหม่เข้ามาในชีวิต กระบวนการรับบุตรบุญธรรมก็เริ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มีการเยี่ยมบ้านการตรวจสอบประวัติ และคำถามมากมายให้แดนนี่และพีตตอบ ไม่นานหลังจากนั้นทั้งคู่ก็เป็นครอบครัวเดียวกัน โดยตั้งชื่อให้เด็กชายคนนี้ว่า ‘เควิน’ (Kevin) แดนนี่จำได้ว่าเควินชอบหนังสือแค่ไหน ทุก ๆ คืนพวกเขาจะอ่านหนังสือหรือร้องเพลงกล่อมเควินเข้านอนพร้อมกับลูบหัวเบา ๆ เควินได้กลายเป็นของขวัญอันงดงามที่มาอยู่ในอ้อมกอดของทั้งคู่และอยากจะดูแลไปทั้งชีวิต วันเวลาผ่านไปจนกระทั่งปี 2011 และนิวยอร์กได้กลายเป็นรัฐที่ 6 ในสหรัฐอเมริกาที่รับรองการแต่งงานของเกย์ (gay marriage) อย่างถูกกฎหมาย แม้แดนนี่จะบอกว่าเขากับพีตอยู่ด้วยกันจนเหมือนแต่งงานกันไปแล้ว แต่กฎหมายนี้จะทำให้ทุกอย่างเป็นทางการมากขึ้น  ในพิธีแต่งงาน เขาได้เชิญผู้พิพากษามาด้วย ตลอดทั้งงานอบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งความสุข ผู้พิพากษาบอกกับทั้งคู่ว่า ในวันนั้นเธอรับรู้ได้ถึงความรู้สึกเชื่อมโยงระหว่างแดนนี่และเด็กน้อย วันนี้เขามองเห็นทั้งสามคนแล้วความรู้สึกนั้นยิ่งแจ่มชัด ผู้พิพากษากล่าวว่า เธอคิดไม่ผิดเลยจริง ๆ ที่เอ่ยถามแดนนี่ให้รับเควินเป็นบุตรบุญธรรม ปัจจุบันเควินเติบโตขึ้นเป็นเด็กหนุ่มรอยยิ้มสดใส เขาเรียนคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง และในปี 2020 พีตเขียนหนังสือถึงเควินและแดนนี่โดยใช้ชื่อว่า Our Subway Baby  “ผมนึกไม่ออกเลยว่าชีวิตผมจะเป็นยังไงหากไม่เป็นแบบนี้ ผมรู้สึกว่าชีวิตของผมสมบูรณ์และรู้สึกได้เติมเต็ม สิ่งเหล่านี้เปลี่ยนวิธีการมองโลกของผม มุมมองของผม และเลนส์ทั้งหมดของผม...ความคิดที่จะมองไปยังอนาคต และคิดว่าชีวิตคุณจะไปอยู่ในจุดไหนจะไม่มีอีกต่อไป เพราะทุกอย่างเป็นไปได้” แดนนี่ในวัย 55 ปีกล่าว ส่วนพีตในวัย 52 ปี เมื่อมองย้อนกลับไปเขานึกไม่ถึงเลยว่า พีตที่ไม่เคยคิดอยากจะมีครอบครัวในวันนั้น จะกลายเป็นคนที่นึกไม่ออกว่าจะเป็นอย่างไรหากเขาไม่ได้ดูแลเควินในฐานะพ่อบุญธรรมอย่างที่เป็นอยู่ในวันนี้ “ผมไม่เคยรู้เลยว่าความรักที่ลึกซึ้งระดับนี้จะมีอยู่บนโลกจนกระทั่งลูกชายของผม (เควิน) ได้เข้ามาในชีวิต”   ที่มา   ที่มาภาพ https://www.instagram.com/p/CNtZBzujAdX/ https://www.instagram.com/p/B6gjZPqBiLy/