30 เม.ย. 2566 | 23:43 น.
รองโข่ง เชาวศิลป์ บุญประดิษฐ์ คือใคร? ทำไมเขาถึงถูกจับตามองว่า ผู้ชายคนนี้เป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่ช่วยให้การเมืองในภาคใต้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หลังจากพื้นที่นี้เหมือนถูกแช่แข็งอยู่กับที่มานานหลายสิบปี โดยเฉพาะสุญญากาศในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา
รองโข่ง เชาวศิลป์ เมื่อไม่กี่เดือนที่แล้วเป็นที่รู้จักของคนเมืองคอนในฐานะนายตำรวจน้ำดี แต่สำหรับการเลือกตั้งปี 2566 ครั้งนี้ เขาได้รับเลือกเป็นหนึ่งในตัวแทนผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคเพื่อไทย สวมเสื้อสีแดงหมายเลข 8 ลงชิงชัยในพื้นที่เขต 8 นครศรีธรรมราช ที่ประกอบไปด้วยอำเภอฉวาง พิปูน ช้างกลาง และ นาบอน พร้อมภารกิจสำคัญในการเปลี่ยนทิศลม เพื่อโหมไฟแห่งความหวังในการเปลี่ยนแปลงเมืองคอนบ้านเกิดของเขาให้คิดถึงโอกาสของวันพรุ่งนี้ที่ดียิ่งขึ้น
มารู้จัก รองโข่ง เชาวศิลป์ บุญประดิษฐ์ หรือ พล.ต.ต.เชาวศิลป์ บุญประดิษฐ์ ทั้งในบทบาทผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ดูแลสุขทุกข์ของผู้คนในเมืองคอนมาทั้งชีวิต ไปจนถึงฐานะการเป็นคนคอนคนหนึ่งที่อยากเห็นบ้านเกิดของเขาเดินไปข้างหน้าอีกครั้ง
คนใต้รักใครรักจริง
หลายคนน่าจะเคยได้ยินคำพูดที่ว่า ‘คนใต้รักใครรักจริง’ กันจนติดหู อาจเพราะลักษณะนิสัยเฉพาะของคนในพื้นที่นี้ที่เป็นคนจริงจังมีความตั้งใจจริง เหมือนครั้งที่เด็กชายเชาวศิลป์ ได้เห็นคุณพ่อของเขาซึ่งเป็นกำนันคอยดูแลสุขทุกข์ให้กับคนในพื้นที่มาเป็นเวลานาน จนทำให้วันหนึ่งเมื่อหลายสิบปีที่แล้วเขาเองได้ตัดสินใจสวมเสื้อสีกากีในนามของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์
“ตอนนั้นมีให้เลือกว่าจะเป็นตำรวจสอบสวน ตำรวจปราบปราม หรือตำรวจตระเวนชายแดน ผมเลือกตำรวจตระเวนชายแดนที่ต้องทำงานคลุกคลีใกล้ชิดกับชาวบ้านมากที่สุด ซึ่งเราคิดว่าทำได้เพราะเคยเห็นการทำงานของพ่อที่เป็นกำนันมาก่อน”
เขาได้บรรจุเป็นตำรวจครั้งแรกที่อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ในตำแหน่งผู้บังคับหมวดตำรวจตระเวนชายแดน กองร้อย 3 ตำรวจตระเวนชายแดน กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดน เขต 8 การเป็นคนคอนโดยกำเนิด และเป็นคนที่มุ่งมั่นทำอะไรต้องลงมือทำจริงจนกว่าจะสำเร็จ ทำให้เขามีผลงานที่โดดเด่นในฐานะตำรวจน้ำดีเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะการแก้ปัญหาในเรื่องยาเสพติดจนได้ฉายา มือปราบผู้ปิดทองหลังพระแห่งลุ่มแม่น้ำตาปี
แม้ว่าหน้าที่ความรับผิดชอบของเขาจะเติบโตอย่างต่อเนื่องจนได้รับความไว้วางใจให้เป็น รองผู้บังคับการตำรวจภูธร จังหวัดนครศรีธรรมราช แต่ด้วยความที่เป็นคนพูดไม่เก่ง แล้วไม่ค่อยได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อต่าง ๆ เพราะกว่าค่อนชีวิตจับแต่ปืนไม่ได้จับไมค์ในการทำงาน ทำให้คนทั่วไปอาจไม่เคยได้ยินชื่อของ พล.ต.ต.เชาวศิลป์ บุญประดิษฐ์ แต่สำหรับผู้คนในพื้นที่ต่างรู้จักนายตำรวจคนนี้เป็นอย่างดีในชื่อ ‘รองโข่ง’
ภารกิจเปลี่ยนทิศลม
หลังการรัฐประหารในปี 2557 ภาคใต้ หรือจริง ๆ แล้วอาจเป็นทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทยที่เหมือนถูกแช่แข็งไม่ให้มีการพัฒนามานานกว่า 8 ปี ในสายตาของรองโข่งที่ครึ่งชีวิตแรกเป็นลูกชาวสวนที่วิ่งเล่นอยู่ในสวนยาง และครึ่งชีวิตหลังที่ได้มาเป็นตำรวจคอยทำงานใกล้ชิดกับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในพื้นที่ตลอดเวลา เขาสัมผัสได้ถึงความเดือดร้อนของประชาชนมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งจากราคาพืชผลทางการเกษตรอย่างยางพารา และปาล์มน้ำมันที่ตกต่ำลงจนอาจเรียกว่าเข้าขั้นวิกฤต ทำให้เขารู้สึกว่าถึงเวลาแล้วที่บ้านเกิดของเขาต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ลมที่เกิดการขยับปีกอันบอบบางของผีเสื้อตัวเล็ก ๆ อาจจะก่อตัวจนกลายเป็นพายุขนาดใหญ่ได้ ยิ่งสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงมาจากผีเสื้อจำนวนมาก ๆ ที่ช่วยกันกระพือปีก การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ก็เช่นกัน รองโข่งเชื่อว่ามีโอกาสที่จะเป็นจริงได้เนื่องจากเห็นผู้คนในพื้นที่จำนวนมากเรียกร้องอยากเห็นการเปลี่ยนแปลง หลังจากถูกหยุดอยู่กับที่มาเป็นเวลานาน
“ก่อนหน้านี้ผมก็เคยไม่เชื่อว่าภาคใต้จะตื่นตัวเรื่องการเปลี่ยนแปลง จนหลายปีที่ผ่านมาที่ทุกคนประสบปัญหาปากท้องกันถ้วนหน้า ผมเริ่มได้ยินชาวบ้านพูดกันว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนแล้ว เพราะที่ผ่านมาหลายสิบปีบ้านเราแทบจะไม่ได้ไปข้างหน้าเลย”
สิ่งที่เป็นหลักฐานที่ยืนยันคำพูดของรองโข่งได้เป็นอย่างดีของการถูกห้ามพัฒนาคือถนนเส้น 4189 เชื่อมต่อระหว่างอำเภอนบพิตำกับอำเภอพิปูน (เขาหลวง - พิปูน) ซึ่งถูกลืมปล่อยให้ผุพังไม่ได้รับการปรับปรุงมาเป็นเวลานานมากกว่า 30 ปี หลังจากได้เกิดเหตุการณ์อุทกภัยร้ายแรงในภาคใต้เมื่อปี พ.ศ. 2531 ทำให้ชาวบ้านจำนวนมากต้องอ้อมไปใช้เส้นทางอื่นในการเดินทาง ที่นอกจากจะมีระยะทางที่ไกลกว่าแล้วยังต้องใช้เวลาเดินทางเพิ่มขึ้นนานกว่านับชั่วโมง
“หนึ่งชั่วโมงสำหรับเราอาจดูไม่นาน แต่สำหรับผู้ป่วยฉุกเฉิน นาทีเดียวสำหรับเขาอาจเหมือนนานชั่วกัปชั่วกัลป์ เพราะทุกนาทีหมายถึงชีวิต ผมเลยอยากเห็นถนนเส้นนี้ได้รับการซ่อมแซมแล้วกลับมาเป็นเส้นทางหลักของคนในพื้นที่อีกครั้งหนึ่ง”
นอกจากนี้หากว่าถนนเส้นนี้ได้รับการอนุมัติให้สามารถปรับปรุงได้จริง ก็จะเป็นเหมือนกุญแจสำคัญของคนในพื้นที่ ที่จะนำไปสู่การเชื่อมต่อโอกาสทั้งในด้านสาธารณสุข การศึกษา และการท่องเที่ยว รวมไปถึงกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมของจังหวัดอีกด้วย เนื่องจากเป็นเส้นทางหลักที่เชื่อมไปยัง มหาวิทยาลัย และศูนย์การแพทย์ชั้นนำของภาคใต้ตอนบนอย่างมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และช่วยย่นระยะทางให้นักท่องเที่ยวเดินทางไปมาระหว่างการท่องเที่ยวภูเขา และพื้นที่ริมฝั่งทะเลได้อย่างสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้นอีกด้วย
อีกหนึ่งปัญหาที่รองโข่งในฐานะคนคอนคนหนึ่งเห็นว่าสำคัญไม่แพ้เรื่องเศรษฐกิจคือเรื่องการมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าถึงระบบสาธารณสุขที่มีคุณภาพ ซึ่งจังหวัดนครศรีธรรมราชแม้จะเป็นจังหวัดขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของภาคใต้ ซึ่งมีจำนวนประชากรมากกว่า 1.5 ล้านคน แต่กลับมีโรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราชเพียงแห่งเดียวเท่านั้นที่มีความพร้อมในเรื่องเทคโนโลยีการรักษา และการหัตถการชั้นสูง ทำให้โรงพยาบาลแห่งนี้ประสบปัญหาผู้ป่วยล้นอยู่เป็นประจำ
รองโข่งจึงอยากผลักดันให้ยกระดับโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชฉวาง ให้เป็นอีกหนึ่งความหวังให้คนในพื้นที่ได้มีที่ฝากชีวิต รวมไปถึงเป็นที่พึ่งของประชาชนในจังหวัดใกล้เคียง โดยการทำเรื่องของบประมาณสำหรับโครงการขนาดใหญ่แบบนี้ ในฐานะคนคอนธรรมดาคนหนึ่งอาจขับเคลื่อนได้ไม่เท่ากับการเป็นสมาชิกผู้แทนราษฎร นั่นเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รองโข่ง ตัดสินใจลงสมัครเป็นผู้แทนราษฎรในนามพรรคเพื่อไทย
“ผมตั้งใจลงสมัครเป็นผู้แทนราษฎรในนามพรรคเพื่อไทย เพราะอยากผลักดันในสามเรื่องหลัก ๆ คือ หนึ่ง, การซ่อมแซมถนนสาย 4189 สอง, การยกระดับโรงพยาบาลพระยุพราช และสาม, การพัฒนาโครงการคลองส่งน้ำจากอ่างเก็บน้ำคลองกระทูน และอ่างเก็บน้ำคลองดินแดงที่จะเป็นเส้นเลือดใหญ่ให้กับชาวสวนยาง และเกษตรกรในพื้นที่”
ภารกิจลมเปลี่ยนทิศของชายวัย 63 คนนี้ เริ่มต้นจากการตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในครั้งนี้ แต่สิ่งที่จะทำให้ภารกิจครั้งนี้เป็นไปได้ก็คือการจุดไฟแห่งความหวังในใจทุกคนว่าความเปลี่ยนแปลงที่รออยู่ข้างหน้าเกิดขึ้นได้จริง ถ้าคนในพื้นที่มีความเชื่อมั่นว่าทุกคนสามารถที่จะรวมพลังกันสร้างการเปลี่ยนแปลงให้พรุ่งนี้ดีกว่าที่เคยเป็นได้
ประตูมีกลอนคนคอนมีความหวัง
มีมบนโลกออนไลน์ที่ว่าประตูมีกลอน คนคอนมีปืน อาจมีที่มาจากลักษณะนิสัยของคนคอนบางส่วนที่เป็นคนเอาจริงเอาจัง และมีความเด็ดเดี่ยวในหลาย ๆ เรื่อง แต่สำหรับรองโข่งแล้ว เขามองว่าทุก ๆ พลังความตั้งใจจากใจจริง ถ้าหากถูกนำไปใช้อย่างถูกที่ถูกวิธี ก็จะเป็นความหวังในการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับนครศรีธรรมราชได้
แต่ความหวังในการเปลี่ยนแปลงเมืองคอนอาจไม่ได้ถูกฝากไว้ที่รองโข่งเพียงคนเดียว เพราะที่ผ่านมาบทบาทการทำงานในฐานะตำรวจ รองโข่งได้ใช้จุดแข็งที่เป็นมือประสานความร่วมมือจากหลายฝ่ายตั้งแต่ผู้ใต้บังคับบัญชา ไปจนถึงประชาชนในพื้นที่ให้ช่วยกันเป็นหูเป็นตา สอดส่องคอยช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา
ครั้งนี้ก็เช่นกัน แนวร่วมในการเปลี่ยนเมืองคอนให้ดียิ่งขึ้นนอกจากจะมีคนคอนจำนวนมากที่เห็นด้วยเป็นกำลังสำคัญแล้ว อีกแรงสนับสนุนมาจากครอบครัวของรองโข่งเองที่เป็นหลังบ้านคอยผลักดันให้เขาตัดสินใจอาสาเป็นอีกหนึ่งพลังในการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้
“ตอนแรกที่มีคนมาชวนผมช่วยลงสมัครครั้งนี้ ผมบอกว่าให้ลองหาคนอื่นที่เหมาะสม และมีความสามารถมากกว่าผมไปก่อน แต่สุดท้ายพอใกล้ถึงวันสมัครเขาก็กลับมาชวนให้ผมลงสมัครอีกครั้ง ผมเลยกลับไปปรึกษากับทางครอบครัว แล้วเห็นตรงกันว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาชาวบ้านได้รับความลำบากมามาก โอกาสในการอาสาเข้ามาสร้างการเปลี่ยนแปลงจะเป็นอีกหนึ่งความหวังให้คนคอนมีชีวิตที่ดียิ่งขึ้น”
แม้ว่าการทำงานการเมืองในสายตาคนส่วนใหญ่จะมองว่าเป็นงานที่เหนื่อย และเป็นการเอาชื่อเสียงที่สั่งสมตลอดทั้งชีวิตมาเดิมพัน แต่ด้วยเป้าหมายร่วมกันในการจุดไฟแห่งความหวังว่าเมืองคอนต้องดีกว่านี้ได้ ทำให้ครอบครัวของรองโข่งคอยสนับสนุนเป็นลมใต้ปีกอย่างเต็มกำลัง โดยเฉพาะ เฟิส - วาริชัย บุญประดิษฐ์ ลูกชายคนเดียวของรองโข่ง ซึ่งหลายคนรู้จักในบทบาทนักธุรกิจรุ่นใหม่ ที่เพิ่งพาโรงแรมนาวากีเทล (Navakitel Design Hotel) ผ่านวิกฤตช่วงโควิด - 19 ที่ผ่านมาได้
ตอนนี้เฟิส รับหน้าที่เป็นผู้ช่วยหาเสียงให้กับรองโข่ง ออกติดตามลงพื้นที่หาเสียงไปด้วยตลอดเวลา แล้วยังเป็นกำลังสำคัญในการเชื่อมประสานระหว่างการทำงานแบบจริงจังของนายตำรวจที่จับปืนมาตลอดชีวิต และการทำงานแบบยืดหยุ่นในแบบคนรุ่นใหม่ไฟแรง ซึ่งหลายครั้งเขาได้มีโอกาสขึ้นปราศรัยพูดคุยกับชาวบ้าน เพื่อนำเสนอแนวคิด และนโยบาย ร่วมกับรองโข่ง ซึ่งจะเป็นคลื่นลูกใหม่ที่สร้างความเชื่อมั่นได้ว่าการจุดความหวังในการเปลี่ยนแปลงเมืองคอนให้เดินหน้าครั้งนี้ รองโข่งไม่ได้ลงมาลุยเพียงลำพัง แต่ยังมีคนรุ่นใหม่ที่เข้าใจวิธีคิด และพร้อมเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงของโลกคอยสนับสนุนอย่างใกล้ชิด
เฟิสพูดถึงการตัดสินใจมาช่วยรองโข่งหาเสียงว่า เขามาทั้งในฐานะลูกชาย และในฐานะของประชาชนคนหนึ่งที่เห็นว่าครั้งนี้เป็นโอกาสที่จะเข้ามาร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นได้จริง
“ในฐานะผู้ช่วยหาเสียง ผมผลักดันอย่างเต็มที่ และเชื่อว่าเป็นภารกิจเปลี่ยนทิศลมเพราะการปักธงสร้างการเปลี่ยนแปลงในภาคใต้ไม่ใช่เรื่องง่าย เราต้องเปลี่ยนทิศลม ด้วยการปักธงแห่งความหวัง เพื่อระเบิดแรงบันดาลใจสองทาง หนึ่ง, ถ้าเราทำได้จะเป็นเครื่องยืนยันว่าการต่อสู้ของประชาชนที่อยากมีโอกาสได้รับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นเป็นจริงได้ และสอง, จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับประชาชนคนอื่น ๆ ให้มีความหวัง และเติมพลังในการต่อสู้เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในเรื่องอื่น ๆ ต่อไป”
ความหวังแตกต่างจากความฝัน ตรงที่ความหวังมีโอกาสที่จะเป็นจริงได้มากกว่า มีคนเคยบอกว่า ความหวังเป็นสิ่งที่แปลก เพราะยิ่งมีความเชื่อมั่นมากเท่าไร ความหวังก็ยิ่งกลายเป็นจริงได้มากเท่านั้น
รองโข่งบอกว่าสิ่งที่เขาตั้งเป้าหมายไว้จริง ๆ แล้วอาจไม่ใช่เรื่องการได้รับเลือกให้มาดูแลพี่น้องประชาชนในพื้นที่ แต่เป็นการลงมือทำตั้งใจจากใจจริงเหมือนตอนที่ยังรับราชการตำรวจ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้คนในพื้นที่ว่า ถ้าหากยังมีความหวังเราทุกคนสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงให้คนในพื้นที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และได้รับโอกาสในชีวิตอย่างที่ควรจะเป็น
“เวลาเจอพี่น้องในพื้นที่เขาถามผมหลายเรื่อง อย่างเช่น ทำไมถนนแค่ไม่กี่กิโลเมตรยังซ่อมไม่ได้มานานกว่าสามสิบปี ซึ่งผมหาคำตอบให้เขาไม่ได้ ทำให้ผมต้องเข้ามามีบทบาทที่จะช่วยให้ชีวิตทุกคนดีขึ้นให้ได้ เพราะถ้าวันนี้พวกเรายังไม่ช่วยกันสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้น แล้วในอนาคตถ้าลูกหลานถามว่าทำไมพวกเราไม่เจริญขึ้นเลย เราจะตอบคำถามพวกเขาได้อย่างไร”