TOA กับการผนึกกำลัง JOMOO บุกตลาด Smart Toilet สุดพรีเมียม ชูจุดแกร่งเทคโนโลยีล้ำ ตอบโจทย์ชีวิตเหนือระดับ ขับเคลื่อนธุรกิจที่เป็นมากกว่าสี

เมื่อยักษ์ใหญ่ในวงการสีและวัสดุตกแต่งของไทยอย่าง TOA ประกาศจับมือกับ JOMOO แบรนด์สุขภัณฑ์ระดับโลกของจีน ย่อมมีความน่าสนใจที่ต้องจับตามองถึงความเคลื่อนไหวครั้งนี้

ที่ผ่านมาหลายคนรู้จัก TOA ในฐานะแบรนด์สีเบอร์หนึ่งของไทย แต่น้อยคนที่จะทราบว่า TOA ได้ขยายธุรกิจสู่ผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้างและตกแต่งบ้านไปสู่เซ็กเมนต์อื่นๆ มาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดบริษัทประกาศความร่วมมือเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์สุขภัณฑ์ JOMOO อย่างเป็นทางการ แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย

มีโอกาสได้พูดคุยกับ คุณจตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TOA ถึงวิสัยทัศน์ในการขยายธุรกิจครั้งสำคัญนี้ รวมถึงเหตุผลการเริ่มต้นในสมรภูมิตลาดที่ดูเหมือนจะไกลตัวจากธุรกิจดั้งเดิมของบริษัทไปพอสมควร

มองเห็นช่องว่างที่เป็นโอกาส

"ถ้าดูจากภายนอก หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมเราถึงสนใจตลาดสุขภัณฑ์ แต่ถ้าลองมองลึกลงไป เราจะเห็นว่าทั้งสีและสุขภัณฑ์ล้วนเป็นส่วนสำคัญของบ้าน และเราเชี่ยวชาญในการเข้าใจความต้องการของลูกค้าในด้านที่อยู่อาศัยมากว่า 60 ปี" คุณจตุภัทร์เริ่มต้นบทสนทนา

คุณจตุภัทร์กล่าวว่า การเปิดตลาดครั้งนี้เป็นการศึกษา มีการทำการบ้านมองดูตลาดมาพอสมควร จนได้เล็งเห็นช่องว่างในตลาดสุขภัณฑ์พรีเมียมของไทยที่ยังมีผู้เล่นไม่มาก โดยเฉพาะในกลุ่มสมาร์ททอยเล็ท (Smart Toilet) ที่กำลังมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในตลาดทั่วโลกและเอเชียมากขึ้น แต่ยังไม่แพร่หลายในประเทศไทยมากนัก

เขามองว่าพฤติกรรมผู้บริโภคกำลังเปลี่ยนไป คนไทยให้ความสำคัญกับสุขอนามัยและความสะดวกสบายในบ้านมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากสถานการณ์โควิด-19 การนำเทคโนโลยีมาช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตในทุกมิติจึงเป็นโอกาสทางธุรกิจที่น่าสนใจ

“เราเห็นช่องว่างในตลาดสุขภัณฑ์ไทย ผู้บริโภคต้องการนวัตกรรมคุณภาพสูงในราคาที่เข้าถึงได้ ซึ่งตรงกับแนวคิดของ JOMOO พอดี"

เมื่อ "สี" ขยายอาณาจักรสู่ "ห้องน้ำ"

หลังจากที่ประสบความสำเร็จในตลาดกระเบื้องเซรามิก ภายใต้แบรนด์ TOA Tile (ตั้งแต่ปี 2021) ทำให้ TOA เริ่มมองหาธุรกิจต่อเนื่อง เพื่อที่จะเป็นอีก “จิ๊กซอว์” ช่วยเติมเต็มธุรกิจ

ซึ่งคุณจตุภัทร์เอ่ยว่า การตัดสินใจของ TOA ในการเข้าสู่ตลาด Smart Toilet พรีเมียม เป็นความต้องการเจาะสู่ตลาดผลิตภัณฑ์ภายในห้องน้ำ โดยตั้งเป้าเป็น One Stop Service ที่สามารถออกแบบและตอบสนองในด้านผลิตภัณฑ์ครบวงจรนั้น ไม่ได้เป็นเพียงการเพิ่มสินค้าในพอร์ตโฟลิโอ แต่เป็นการขยายธุรกิจอย่างมีกลยุทธ์ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว ด้วยการตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า

"เราต้องการที่จะเป็นมากกว่าผู้ผลิตสีทาบ้าน เราต้องการเป็นผู้นำในตลาดวัสดุตกแต่งบ้านแบบครบวงจร การมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายจะช่วยให้เราสามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น" คุณจตุภัทร์อธิบาย

ปัจจุบันตลาดสุขภัณฑ์ไทยโดยรวมมีขนาดใหญ่ โดยมีมูลค่ารวมสูงถึง 20,000 ล้านบาท แต่การมีเจ้าตลาดเป็นรายใหญ่ถึงสองสามรายที่ครองสัดส่วนอยู่ในตลาด ดูเป็นเรื่องที่ท้าทายไม่น้อย แต่คุณจตุภัทร์เผยถึงโอกาสการเติบโตสำหรับ JOMOO ว่า

“แม้ตลาดสุขภัณฑ์โดยรวมในประเทศไทยมีขนาดใหญ่ และมีการแข่งขันค่อนข้างสูงแต่เซ็กเมนต์ของ Smart Toilet ก็มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ผมเชื่อว่ายังมีช่องว่างสำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและเทคโนโลยีที่แตกต่าง อย่าง JOMOO"

"เรามองว่า JOMOO ไม่ได้เป็นเพียงสุขภัณฑ์ที่หรูหรา แต่ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสะดวกสบาย สุขอนามัย หรือแม้แต่การประหยัดพลังงาน" คุณจตุภัทร์กล่าวเสริม

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยภายนอกที่สนับสนุนการเติบโตของตลาด Smart Toilet พรีเมียม ได้แก่ การขยายตัวของโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์ ความตระหนักในเรื่องสุขอนามัยที่เพิ่มขึ้น และความต้องการเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน

ตั้งเป้าโตทีละขั้น

คุณจตุภัทร์เผยถึงเป้าหมายของ TOA ใน Long Term คือการพลิกโฉมตลาดสุขภัณฑ์ไทยที่มีมูลค่าหลักหมื่นล้านบาทดังกล่าว แต่สำหรับในเฟสแรก เขาเลือกที่จะประเมินการเติบโตโดยวิเคราะห์จากสภาพการณ์ความเป็นจริงของตลาดในปัจจุบัน

เนื่องจากรับรู้ดีว่าผู้บริโภคไทยยังไม่คุ้นเคยกับแบรนด์ JOMOO นอกจากนั้น Smart Toilet ยังเป็นสุขภัณฑ์ที่ใหม่มากในตลาดประเทศไทย ดังนั้น การทำตลาดในช่วงแรกจึงจะใช้ความแข็งแกร่งของแบรนด์ TOA ควบคู่ไปกับการสร้างการรับรู้ในเรื่องนวัตกรรมและความคุ้มค่าของสินค้า

"ความได้เปรียบของเราคือเครือข่ายการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศ ประกอบกับความไว้วางใจในแบรนด์ TOA ที่มีมาอย่างยาวนาน ซึ่งจะช่วยให้ JOMOO สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วในตลาดไทย"

อย่างไรก็ดีในช่วงต้นของการเปิดตัว คุณจตุภัทร์มองว่าน่าจะยังเป็นช่วงของการ Educate ตลาด ที่ทางแบรนด์ต้องทำงานหนักต่อเนื่อง ทั้งในเรื่องการรับรู้แบรนด์ และการสร้างกระแสเพื่อปรับพฤติกรรมผู้บริโภคให้หันมาสนใจ Smart Toilet เป็นตัวเลือกมากขึ้น

"เราตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 200 ล้านบาท ในช่วง 3 ปี และมั่นใจว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 15-20% ต่อปี"

เมื่อห้องน้ำไม่ใช่แค่ห้องน้ำ

"ห้องน้ำยุคใหม่ไม่ใช่แค่พื้นที่ใช้สอย แต่เป็นพื้นที่แห่งความสุขและการผ่อนคลาย" คุณจตุภัทร์กล่าว ซึ่งในโจทย์คิดเช่นนี้ สะท้อนถึงทิศทางในการบุกตลาดแบรนด์ JOMOO ในไทย ที่จะนำแนวคิด "นวัตกรรมที่จับต้องได้" มาเป็นกลยุทธ์ขับเคลื่อน

ซึ่ง TOA วางกลยุทธ์การตลาดโดยมองสัดส่วนทั้งจากกลุ่มโครงการอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มลูกค้า End user ที่ต้องการสุขภัณฑ์คุณภาพดีในราคาที่จับต้องได้ โดยจะใช้เครือข่ายร้านค้าตัวแทนจำหน่ายกว่า 200 แห่งทั่วประเทศ เพื่อเป็นช่องทางหลักในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้า

ปัจจัยที่ทำให้ทีโอเอมั่นใจว่า การจับมือกับ JOMOO ครั้งนี้จะสามารถเจาะตลาดได้ เพราะมองว่าตลาดสุขภัณฑ์ไทยกำลัง “เริ่ม” เปลี่ยน

นั่นเพราะผู้บริโภคยุคใหม่มีความต้องการสินค้าที่มากกว่าแค่การใช้งานพื้นฐานทั่วไป โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงและให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตและความสะดวกสบาย จึงมีความสนใจเรื่องนวัตกรรมและดีไซน์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์มากขึ้น รวมถึงกลุ่ม Gen Y และ Gen Z ที่เริ่มมีกำลังซื้อและสนใจเทคโนโลยีสมาร์ทโฮมมากกว่า

JOMOO ใครว่าไม่รู้จัก?

แม้อาจเป็นชื่อที่ยังไม่คุ้นหูสำหรับคนไทย แต่ JOMOO เป็นแบรนด์ผู้นำด้านนวัตกรรมห้องน้ำอัจฉริยะที่ได้รับการยอมรับระดับโลก โดยมีส่วนแบ่งตลาดสูงในประเทศจีน และได้รับการยอมรับในด้านคุณภาพจากลูกค้ากว่า 120 ประเทศทั่วโลก จนมียอดขายโถสุขภัณฑ์อัจฉริยะอันดับ 1 ของโลก

"สิ่งที่ทำให้เราตัดสินใจร่วมงานกับ JOMOO คือเทคโนโลยีล้ำสมัยและแนวคิดที่เข้ากับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่" คุณจตุภัทร์กล่าวย้ำถึงจุดเด่น

JOMOO ก่อตั้งเมื่อปี 1990 จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้โตแบบก้าวกระโดดของ JOMOO คือการเป็นพันธมิตรกับ HAUWEI ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของจีน ที่เป็นส่วนเสริมด้านการนำนวัตกรรมและแนวคิดสมาร์ทโฮมมาผสมผสานกับสุขภัณฑ์ จนทำให้ผลิตภัณฑ์ของ JOMOO มีความแตกต่างจากสุขภัณฑ์ทั่วไปในท้องตลาด

คุณจตุภัทร์เผยจุดเด่นของ JOMOO เพิ่มเติมว่า นอกจากเป็นแบรนด์ที่มีเทคโนโลยีและดีไซน์ที่ผสานกันอย่างลงตัว ยังมีคุณภาพที่เชื่อมั่นได้ จะเห็นได้จากการเป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ซึ่งหลายโครงการระดับบิ๊กโปรเจ็คท์ทั่วโลกก็มีการใช้ผลิตภัณฑ์จาก JOMOO

“JOMOO ในประเทศจีน มียอดขายกว่าแสนล้านบาท ซึ่งถือว่าใหญ่มาก เพราะเป็นเบอร์หนึ่งในเรื่อง Smart Toilet และอีกสิ่งที่แตกต่างจากแบรนด์อื่นคือชิ้นส่วนเกือบทุกชิ้นในผลิตภัณฑ์ของ JOOMOO จะผลิตเองทั้งหมดในโรงงานแทบไม่มีการใช้ OEM ภายนอก”

หากไม่นับเรื่องดีไซน์หรูหราและทันสมัย Smart Toilet ของ JOMOO มาพร้อมจุดเด่น เรื่องฟังก์ชันที่หลากหลายที่เหนือกว่าคู่แข่ง เช่น การมีนวัตกรรมและเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น ระบบ Hydro Force Flush ที่ทำงานเงียบเพียง 38 เดซิเบล เทคโนโลยี Touchless Digital และระบบควบคุมอัจฉริยะผ่านแอปพลิเคชัน

หรือการใช้เทคโนโลยีตอบโจทย์เรื่องสุขอนามัยขั้นสูงสุด (Hygienic Design) ด้วย Anti-bacteria System และมีระบบดับกลิ่น ระบบ UV Water Sterilization และชิ้นส่วนวัสดุปลอดสารตะกั่ว โลหะหนัก ที่สำคัญยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Sustainability) ซึ่งทางแบรนด์เคลมว่าเป็นแบรนด์สุขภัณฑ์รายแรกของโลกที่ใช้ระบบ Eco-friendly Dark Factory เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือ Carbon Footprint เพื่อมุ่งสู่ เป้าหมาย NET ZERO

ปูพรม คัดสรรผลิตภัณฑ์มากกว่าร้อยรุ่น ตอบโจทย์ครบทุกกลุ่ม

ล่าสุด TOA ยังมีแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ JOMOO อย่างเป็นทางการในงานสถาปนิก’68 - Architect Expo 2025 และมีแคมเปญการตลาดต่อเนื่องตลอดทั้งปี เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้าง

โดยในเฟสแรก จะเน้นการสร้างการรับรู้ในแบรนด์ JOMOO สู่ผู้บริโภคในตลาดไทย โดยการเปิดตัวเรือธง Smart Toilet เทคโนโลยีล้ำสมัย อาทิ เสียงเบาเพียง 38 เดซิเบล เทียบเท่าความเงียบในห้องสมุด Anti-Bacteria Seat ลดการสะสมของแบคทีเรียได้มากกว่า 99% (มาตรฐาน SIAA) ก้านฉีดแพลทินัม ช่วยยับยั้งการเกิดแบคทีเรีย เพื่อความสะอาดและสุขอนามัยที่มั่นใจ

“นอกจากนี้ เรายังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ ภายใต้แบรนด์ JOMOO ครอบคลุมทุกความต้องการ อาทิ อ่างอาบน้ำ อ่างล้างหน้า ฝักบัว ก๊อกน้ำ วาล์ว และอุปกรณ์เสริมกว่า 200 รายการ โดยสินค้าจะวางจำหน่ายผ่านร้านค้านำร่องกว่า 100 แห่งทั่วประเทศ” คุณจตุภัทร์ให้ข้อมูล

พร้อมกันนี้ ยังมีแผนเปิดตัวโชว์รูม Flagship Store ใจกลางสุขุมวิท 26 และมุ่งเน้นบริการ Before & After Service ก่อนที่จะขยายตลาดไปสู่ร้านค้าตัวแทนจัดจำหน่ายกว่า 200 แห่งทั่วประเทศ และขยายฐานลูกค้าตลาดงานโครงการ ครอบคลุมทั้งแนวราบและแนวสูง