เมื่อปี 2557 สื่อด้านธุรกิจ-การตลาด ไปจนถึงบรรดาโซเชียลมีเดีย นำเสนอข่าวครึกโครมของการเปิด “อาณาจักรเฮลโล คิตตี้” แห่งแรกในประเทศไทย “Sanrio Hello Kitty House Bangkok” ที่โครงการสยามสแควร์ วัน ซึ่งเปิดให้บริการเป็นร้านคาเฟ่อาหารและเครื่องดื่ม 3 ชั้น รวมทั้งมีสินค้าคิตตี้สีชมพูจำหน่ายเป็นของที่ระลึก สร้างความแฮปปี้ให้กับบรรดาสาวกเจ้าคิตตี้ในเมืองไทยไม่ใช่น้อย ถึงกับยอมต่อแถวเข้าคิวยาวรอเป็นชั่วโมง เพื่อให้ได้เข้าไปสัมผัสบรรยากาศคาเฟ่เฮลโล คิตตี้ กันอย่างใกล้ชิดสักครั้ง
Sanrio Hello Kitty House Bangkok เป็นงานร่วมทุนระดับร้อยล้าน บริหารงานโดย บริษัท ดรีม เฮ้าส์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท เชค เพลย์ จำกัด บริษัท สุวรรณ อิ่ม อร่อย จำกัด และ บริษัท เวลท์ตี้ เฮลท์ตี้ คอร์ปอร์เรชั่น จำกัด และ บริษัท อาร์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ของ “หรีด” รพีพรรณ เหลืองอร่ามรัตน์ แต่หลังจากเรียกเสียงฮือฮา (ในช่วงแรก) และสร้างความสุขให้สาวกคิตตี้มา 5 ปี อาณาจักรเฮลโล คิตตี้ เมืองไทย ก็มีอันต้องพับเสื่อปิดตัวไปในวันที่ 31 กรกฎาคมปีนี้ กลายเป็นอีกหนึ่งตำนานแห่งย่านสยามสแควร์
หากยังพอจำกันได้ “โต้โผ” คนสำคัญในฐานะหุ้นส่วน และเป็นพรีเซ็นเตอร์ที่ออกแรงสุดเหวี่ยงให้โครงการนี้เกิดขึ้นคือ “หรีด-รพีพรรณ” นั่นเอง
[caption id="attachment_10556" align="aligncenter" width="480"]
อาณาจักรเฮลโล คิตตี้ ที่สยามสแควร์ วัน ที่ปิดตัวในวันที่ 31 กรกฎาคม ปี 2562 หลังเปิดให้บริการมา 5 ปี (ภาพจาก Facebook: Sanrio Hello Kitty House Bangkok)[/caption]
ครั้งนั้น “หรีด-รพีพรรณ” ยอมสลัดเสื้อผ้าแบรนด์เนม กระเป๋าหรูแอร์เมส แอคเซสซอรี่แพงระยับชั่วคราว มาประโคมแต่งตัวฟรุ้งฟริ้งในธีมเฮลโล คิตตี้ สีชมพูพราวไปทั้งตัว ใส่ตั้งแต่เสื้อ สะพายกระเป๋าคิตตี้ เคสโทรศัพท์ สมุดบันทึก แว่นกันแดด แหวน จี้ กำไล ต่างหู แหวน แวววับเป็นคิตตี้ทั่วเรือนร่าง สร้างกระแสผ่านหน้าสื่อให้แฟนคลับสาวกผู้รักเฮลโล คิตตี้ ตื่นเต้นกับการเปิดตัวโครงการนี้ จากนั้นข่าวคราวของ “หรีด-รพีพรรณ” ในบทบาทพรีเซ็นเตอร์คนดังของ Sanrio Hello Kitty House Bangkok ก็ค่อย ๆ ซาไปจากหน้าสื่อ พร้อมกับการปรับเปลี่ยนผู้ถือหุ้นในปี 2561 ที่ บริษัท บิวตี้ ทเวนตี้โฟร์ จำกัด ของ “หนึ่ง-สุริยน ศรีอรทัยกุล” เจ้าพ่อเพชร “บิวตี้ เจมส์” เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 50%
[caption id="attachment_10554" align="aligncenter" width="480"]
ขนมหวานและเครื่องดื่มที่ออกแบบในธีมเฮลโล คิตตี้ (ภาพจาก Facebook: Sanrio Hello Kitty House Bangkok)[/caption]
“หรีด-รพีพรรณ” คือใคร?
บทบาทที่สังคมคุ้นหน้าเธอคือ “คุณหรีด” เจ้าแม่วงการอาหาร ที่มีทั้งธุรกิจอาหาร ธุรกิจรายการทีวีเกี่ยวกับอาหารและสุขภาพ อาทิ ครัวคุณหรีด อร่อยเลิศกับคุณหรีด และแฮปปี้ไลฟ์ (Happy Life) กับคุณหรีด แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าชื่อเสียงเรียงนามที่โด่งดังมาหลายทศวรรษที่ผ่านมาของไฮโซรุ่นใหญ่และนักธุรกิจหญิงวัย 62 ปี ผู้นี้ คือ “สตรีผู้ใกล้ชิด” ของ “น้าชาติ” พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกทำรัฐประหารเมื่อปี 2534
หากนักปรัชญาชื่อดังของโลกได้เสนอทฤษฎีที่น่าครุ่นคิดของมนุษย์ไว้ว่า ความรักทำให้เราสมบูรณ์อีกครั้ง ก็ต้องบอกว่า “หรีด-รพีพรรณ” คือ “ความรักครั้งสุดท้าย” ของ “น้าชาติ” ในฐานะทั้งคนใกล้ชิดและผู้ดูแลน้าชาติจนถึงบทสุดท้ายแห่งชีวิต
ขณะเดียวกัน “น้าชาติ” ก็คือบุคคลผู้มีบทบาทหล่อหลอมแนวคิดและวิธีบริหารธุรกิจให้เธอยึดถือมาถึงทุกวันนี้ โดยเฉพาะหลักคิดเรื่อง “การให้”
“น้าชาติท่านคือผู้ให้จริง ๆ หรีดเคยตั้งคำถามท่านว่า ท่านคะทำไมท่านถึงให้คนอื่นมากขนาดนี้ แล้วจะเหลือเหรอที่หามา ท่านบอกว่า คุณหรีดรู้ไหมว่าถ้าใครเขามาขออะไรเรา แสดงว่าเขาเห็นเราเป็นพระเจ้า เราต้องคิดแล้วว่าเราต้องช่วยเขานะ ถ้าเขามาแบบนี้คุณต้องช่วยเขาทุกวิถีทาง ช่วยเขาไปเถอะ...หรีดเห็นท่านช่วยทุกคน และท่านก็ประสบความสำเร็จนะ ตอนที่ท่านโดนยึดทรัพย์ออกไปกินข้าว 6 เดือน ท่านไม่ต้องจ่ายเงินเลย เพราะคนที่ท่านเคยให้ไปโดยไม่ได้คิดอะไร เขาอยากจะตอบแทนท่านกลับมาบ้าง ในที่สุดหรีดก็ซึมซับรับเอาตรงนี้เข้ามาเต็ม ๆ”
แม้ พล.อ.ชาติชาย จะไม่ได้หย่าขาดจาก ท่านผู้หญิงบุญเรือน ชุณหะวัณ ภริยาอย่างเป็นทางการ แต่แวดวงการเมืองและผู้คนในวงสังคมต่างรับรู้กันดีถึงความสัมพันธ์ของน้าชาติกับ “หรีด-รพีพรรณ” ที่ใกล้ชิดสนิทสนม ขณะเดียวกัน “หรีด-รพีพรรณ” ก็ยังมีความสัมพันธ์อันดีกับท่านผู้หญิงบุญเรือนอีกด้วย
ปัจจุบัน รพีพรรณ หรือที่แวดวงสังคมเซเลบริตี้นิยมเรียกขานเธอว่า “คุณหรีด” มีบทบาททั้งการเป็นผู้ดำเนินรายการทีวีด้านอาหารที่มีชื่อเสียงมายาวนาน แต่ที่นานกว่าคือการเป็นนักธุรกิจและผู้บริหาร โดยเธอเป็นกรรมการบริษัทชั้นนำในเมืองไทยหลายบริษัท เช่น สามารถ คอร์ปอเรชั่น, วินีไทย และ เพรอกซีไทย เป็นต้น ขณะเดียวกัน เธอยังมีบทบาทเป็น “ล็อบบี้ยิสต์” เป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทต่างชาติที่ต้องการเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย
ก่อนจะมาเป็น “หรีด-รพีพรรณ” เธอคือ “เด็กหญิงวันเพ็ญ” เกิดในครอบครัวคนจีน ที่ อ.หนองแค จ.สระบุรี ชื่อเล่น “หรีด” มาจาก “จิ้งหรีด” เพราะตอนเด็กเสียงร้องแหลมเหมือนจิ้งหรีด ก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อจริงเป็น “รพีพรรณ” ช่วงเข้าโรงเรียน เพราะครูทักว่าชื่อโบราณ
“จิ้งหรีด” เป็นลูกสาวคนเล็กของครอบครัวที่ทำกิจการรับเหมาก่อสร้างและโรงสีข้าว โดยพ่อแม่เริ่มสร้างฐานะได้แล้วช่วงที่เธอเกิด ทำให้ชีวิตวัยเด็กค่อนข้างสุขสบาย จนเจ้าตัวเคยบอกว่าราวกับเป็นคุณหนูเมื่อเทียบกับพี่ ๆ และอยู่ในสถานะที่พ่อแม่หวงและห่วงมาก จนไม่ให้ไปเรียนต่างประเทศไกล ๆ
หลังเรียนจบที่ปีนัง ประเทศมาเลเซีย รพีพรรณได้ไปเรียนต่อหลักสูตรบัญชีชั้นสูงที่สแตมฟอร์ด คอลเลจ ประเทศสิงคโปร์ ต่อมาหลังจากเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จแล้ว เธอยังเรียนจบหลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเรียนหลายหลักสูตรจาก Harvard Business School
ชีวิตก้าวแรกในโลกของผู้ใหญ่ เริ่มทำงานครั้งแรกด้วยการเป็นเลขานุการให้บริษัทต่างชาติ ซึ่ง “กร ทัพพะรังสี” หลานชายของ “น้าชาติ” เป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทในขณะนั้น และยังไม่ได้ลงเล่นการเมือง ต่อมา “หรีด” ได้มีประสบการณ์ทำงานอื่น ๆ อาทิ ที่ บริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซี.พี.) บริษัทเงินทุนแหลมทอง ไปจนถึงทำงานกับนักการเมือง และทำธุรกิจส่วนตัวควบคู่กันไป
“หรีด-รพีพรรณ” เข้าสู่วงการอาหารในราวปี 2543 ด้วยแนวคิดต้องการทำอาหารไทยให้โตไปในตลาดโลก ประกอบกับส่วนตัวเป็นคนหลงใหลและมีความสุขกับการทำอาหาร เธอเริ่มตั้งแต่เป็นคอลัมนิสต์เขียนเรื่องอาหารในหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ จนได้มาทำรายการทีวีสอนทำอาหาร และออกหนังสือเกี่ยวกับอาหารมาหลายเล่ม เรื่อยมาถึงทำรายการแนะนำร้านอาหารรสเด็ด จนมีป้ายรับประกันที่คุ้นตาอย่าง “อร่อยเลิศกับคุณหรีด” ตั้งตามร้านอาหารให้เห็นกันชินตา
ด้วยบุคลิกคาแรกเตอร์ที่เป็นคนพูดตรง เสียงใหญ่น่าเกรงขาม แต่คุยสนุก และส่วนหนึ่งที่มี “น้าชาติ” อดีตนายกฯ และอดีตเอกอัครราชทูตหลายประเทศ เป็นติวเตอร์แนะนำวิธีทำงาน การเข้าสังคมระดับนักการทูต และแนวคิดการดำเนินชีวิต เธอจึงสวมหมวกทั้งนักธุรกิจและล็อบบี้ยิสต์ เป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทธุรกิจต่างประเทศที่สนใจมาลงทุนในประเทศไทยในระดับ “คอนเนคชัน” ที่ไม่ธรรมดา
ครั้งหนึ่ง “หรีด-รพีพรรณ” เคยเล่าไว้ว่า..
"น้าชาติ เป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งพ่อก็ได้ เพราะเป็นคนสอนตั้งแต่มารยาท การกินข้าวบนโต๊ะอาหาร สมัยก่อนหยิบอะไรเป็น ด้วยท่านเป็นนักการทูต ท่านก็สอนว่า ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตามจำคำพูดผมไว้ ฝรั่งมาใช้คุณก็ให้ใช้ไป แต่คุณต้องคิดว่ามันเอาเงินมาลงทุนแล้ว มันเอาของเรากลับไปได้ไหม ถ้ามันเอาของเรากลับไปได้ คุณอย่าไปยุ่งกับมัน ท่านจึงแนะนำให้หรีดเป็นที่ปรึกษาฝรั่งเยอะ ๆ ยังไงคนไทยก็ต้องเรียนรู้ แล้วมันยังต้องเอาลูกเมียมากินอยู่ที่นี่ มาลงทุนที่นี่ นี่เป็นคำสอนของน้าชาติ คำสอนเรื่องทูตก็สอน ที่ว่าให้ทูตเป็นเพื่อน เพราะทูตคือลำโพงที่ดีที่สุด"
ในบทบาทของ “หรีด-รพีพรรณ” ผู้มีคอนเนคชันทางธุรกิจและการเมืองที่ไม่ธรรมดา แม้ไม่ได้เป็นนักการเมือง แต่รู้จักและสนิทสนมกับแกนนำทุกพรรคการเมือง สะท้อนผ่านตัวตนที่เธอเคยบอกไว้ช่วงเรียนหลักสูตรสถาบันวิทยาการตลาดทุน หรือ วตท.รุ่น 9 ซึ่งมีเพื่อนร่วมรุ่นเป็นคนดังทั้งแวดวงการเมือง ธุรกิจ และตุลาการ ไว้ว่า Know How ไม่สำคัญ เท่า Know Who ถ้ารู้จักคน เข้าให้ถูกทาง จะทำงานอะไรก็ลื่น
“ถึงไม่เป็นล็อบบี้ยิสต์ ยังไงเราก็ต้องรักษาคอนเนคชัน หรีดทำรายการทีวีถ้าไม่รู้จักคน จะขายสปอนเซอร์ได้ยังไง หรีดนั่งเป็นกรรมการที่บริษัทสามารถฯ ก็ต้องช่วยติดต่องาน ไม่ว่าอาชีพไหนก็ต้องมีคอนเนคชัน”
คอนเนคชันขนาดนี้ ทำไมเธอจึงไม่เล่นการเมือง?
รพีพรรณ ให้สัมภาษณ์ไว้กับมติชนออนไลน์เมื่อปี 2554 ถึงเหตุผลว่าทำไมเธอถึงไม่ลงเล่นการเมือง ทั้งที่เคยอยากเป็นนักการเมือง
“เคยบอกกับน้าชาติว่า หรีดอยากเล่นการเมือง หรีดอยากไปอยู่สภาเวลาน้าไปประชุมสภา แต่ที่ไม่ได้เล่น เพราะน้าชาติถาม 3 คำถาม คำถามที่หนึ่ง คุณกล้าฉีกเงินกับเผาเงินไหม หรีดบอกไม่กล้า คำถามที่สอง ถ้ามีคนด่าคุณยกโคตรในสภา คุณเดินออกนอกสภาแล้วคุณลืมมันได้ไหม หรีดบอกไม่ได้ หรีดจะด่ากลับ คำถามที่สาม คุณพร้อมแล้วหรือว่าเอาชีวิตส่วนตัวของคุณมาอยู่ตรงนี้ หรีดไม่พร้อมสักเรื่อง ท่านบอกคุณเล่นการเมืองไม่ได้ เพราะติดทั้ง 3 เรื่อง”
ข่าวการปิดตัวของอาณาจักรเฮลโล คิตตี้ ที่ “หรีด-รพีพรรณ” เคยเป็นโต้โผสำคัญ อาจดูเป็นข่าวดังในแวดวงข่าวธุรกิจและการตลาด ด้วยความที่ธุรกิจนี้มีเส้นเวลาความนิยมในหมู่พฤติกรรมผู้บริโภคสั้น ถูกเชื่อมโยงไปถึงความวิตกกังวลสู่ภาวะเศรษฐกิจที่กำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่นี่อาจไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับคนชื่อ “หรีด-รพีพรรณ” ที่มีติวเตอร์ระดับนักการเมืองในตำนานเป็นครูผู้บ่มเพาะวิชาชีวิต เพราะเธอเคยบอกว่า
“เวลาที่คุณตัดสินใจทำอะไรก็ตาม ขอให้มุ่งหน้าตั้งใจแล้วทำให้สุดแรง แล้วถ้าเรารู้ว่ามันไม่สำเร็จก็เปลี่ยนซะ เพราะนั่นอาจหมายความว่าคุณยังหาตัวเองไม่เจออยู่ก็ได้ แรก ๆ หรีดก็เป็น กว่าจะค้นพบตัวเองว่าอะไรคือสิ่งที่ใช่ที่สุด เมื่อก่อนทำธุรกิจมาสารพัดไม่มีอันไหนที่น่าจะโคจรมาเจอกับเรื่องอาหารได้ แต่พอวันหนึ่งหรีดไม่รู้จะทำอะไรดีเลยทำอาหาร เมื่อได้มาทำจริงมันกลับใช่”
ที่มา
รายงานพิเศษในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจวันที่ 24 พฤศจิกายน 2552 เรื่อง “Leader Society ... ห้องเรียนนี้มีแต่เฟิร์สคลาส”
http://thaifranchisedownload.com/dl/group7320120910145426.pdf
https://www.thairath.co.th/lifestyle/woman/298059
https://www.youtube.com/watch?time_continue=53&v=AG9dDR-jeaw
เรื่อง: มิสนอราห์
ภาพ: Instagram @khunreed