หากบุรุษซึ่งเป็นเหล่าผู้นำ นักปกครอง นักกฎหมาย นามว่า จอห์น อดัมส์, เบนจามิน แฟรงคลิน, อเล็กซานเดอร์ แฮมิลตัน, จอห์น เจย์, โธมัส เจฟเฟอร์สัน, เจมส์ เมดิสัน, จอร์จ วอชิงตัน คือ “The Founding Fathers” ที่มีบทบาทในกระบวนการประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา ซัลลี เฮมิงส์ (Sally Hemings) สตรีที่มีชีวิตในศตวรรษที่ 17-18 ก็อาจถือได้ว่าเป็น “Founding Mother” ได้เช่นกัน
ซัลลีไม่ใช่หญิงสาวที่เกิดในชนชั้นสูง มีชีวิตที่เพียบพร้อม แต่เธอเป็นทาสที่มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกาอยู่ไม่น้อยทีเดียว
เมื่ออเมริกาประกาศอิสรภาพในวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ.1776 นั้น ซัลลีเพิ่งมีอายุได้ 2 ขวบ เธอเกิดมาเป็นทาสในเรือนเบี้ยเพราะมีแม่เป็นทาส ซึ่งแม่ของซัลลีก็มีประวัติน่าสนใจ เธอชื่อ เบตตี เฮมิงส์ เป็นทาสผิวผสมที่เกิดจากแม่ผิวดำและชายผิวขาวที่เป็นกัปตันเรือชาวอังกฤษ จากนั้นนายของเบตตีได้มอบเธอและทาสคนอื่น ๆ ให้เป็นของขวัญแต่งงานของลูกสาวนาย เบตตีจึงมาอยู่ในเรือนของนายหญิงและนายผู้ชายคนใหม่ เมื่อนายหญิงเสียชีวิตไป นายผู้ชายจึงเอาเบตตีเป็นเมียบำเรอ ความสัมพันธ์ครั้งนี้ทำให้ซัลลีเกิดขึ้นมาพร้อมกับพี่น้องผิวผสมอีกหลายคน
ตอนที่ซัลลียังเป็นทารก เธอและพี่น้องก็ได้เปลี่ยนเรือน เมื่อ มาร์ธา ลูกสาวของนายผู้ชาย (ซึ่งก็คือพ่อของซัลลีนั่นล่ะ) แต่งงานกับหนึ่งในผู้ก่อตั้งอเมริกา ซัลลีจึงมาอยู่ในเรือนของ โธมัส เจฟเฟอร์สัน ในฐานะทรัพย์สินของมาร์ธา
มีคนอธิบายรูปลักษณ์ของซัลลีไว้ว่า เป็นผู้หญิงผิวสีน้ำตาลอ่อน ตากลมโต ผมยาวสีดำขลับ ดูแล้วเป็นผู้หญิงที่สวยมาก เมื่อซัลลีอายุ 14 ปี เธอและพี่ชายคือ เจมส์ เฮมิงส์ ถูกย้ายไปอยู่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เพื่อเป็นทาสรับใช้เจฟเฟอร์สัน ซึ่งขณะนั้นเป็นทูตอเมริกาประจำฝรั่งเศสและยังเป็นพ่อม่ายวัย 44 ปี ซัลลีเดินทางไปปารีสพร้อมกับ มาเรีย พอลลี ลูกสาววัย 9 ขวบของเจฟเฟอร์สัน ที่ปารีสนี้เอง ซัลลีได้เรียนภาษาฝรั่งเศส ได้ออกงานสังคมในฐานะพี่เลี้ยงของมาเรีย ส่วนเจมส์ได้เข้าเรียนการทำอาหารฝรั่งเศสชั้นสูง เพื่อมาเป็นพ่อครัวประจำตัวของเจฟเฟอร์สัน นักประวัติศาสตร์รุ่นใหม่ขนานนามเจฟเฟอร์สันว่าเป็น “foodie” คนแรกของอเมริกา ด้วยความรักในอาหารของเขานี่เอง อะไรดี อะไรอร่อย เขาก็มักสรรหามารับประทาน งานเลี้ยงของเจฟเฟอร์สันจึงเต็มไปด้วยอาหารเลิศรสที่ใคร ๆ ก็อยากถูกเชิญไปลิ้มลอง
เจฟเฟอร์สันและซัลลีมีสัมพันธ์กันขณะอยู่ที่ปารีส เธอท้องลูกคนแรกได้ไม่กี่เดือน เจฟเฟอร์สันก็ต้องย้ายกลับอเมริกา เพื่อรับตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศคนแรกของอเมริกา และใช้ชีวิตอยู่ที่ไร่มอนติเซลโลในเวอร์จิเนีย พร้อมกับเป็นเจ้าของทาสกว่า 600 คน ซึ่งรวมถึงซัลลีและลูก ๆ ของเธอด้วย เมื่อ โธมัส เจฟเฟอร์สัน ขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในปี 1801 เขามีลูกกับซัลลีแล้ว 4 คน
ลูก ๆ ของซัลลีกับนายผู้ชายของเธอนั้นแทบดูไม่ออกเลยว่าเป็นคนผิวดำ พวกเขาและเธอมีผิวสีอ่อน ผมสีอ่อน ตาสีน้ำตาลบ้าง สีเขียวบ้าง ความรักและความเมตตาของเจฟเฟอร์สันต่อลูก ๆ ของซัลลี ทำให้พวกเด็ก ๆ ไม่ได้ทำงานหนักในไร่เลย เด็ก ๆ ได้เรียนหนังสือ ได้เรียนดนตรี เพื่อมาเป็นนักดนตรีประจำบ้านเจฟเฟอร์สัน
แล้วระหว่างที่ดำรงตำแหน่ง ไม่เกิดเรื่องอื้อฉาวในความสัมพันธ์นี้หรือ?
มีสิ มีศัตรูทางการเมืองและนักหนังสือพิมพ์พยายามตีข่าวประธานาธิบดีมีความสัมพันธ์กับทาสของตัวเอง แต่เจฟเฟอร์สันก็กลบเรื่องนี้ไว้ใต้พรมได้อย่างน่าอัศจรรย์ สิ่งหนึ่งที่เรื่องนี้ไม่เป็นเรื่อง ก็เพราะสมัยนั้นการที่นายผู้ชายมีความสัมพันธ์กับทาสของตัวเองเป็นเรื่องปกติ ตราบใดที่ไม่ได้แต่งงานกับทาสของตัวเองอย่างเป็นทางการ สำหรับพ่อม่ายที่สัญญากับเมียไว้ก่อนตายว่าจะไม่แต่งงานใหม่ ผู้คนก็ย่อมเข้าใจเจฟเฟอร์สันว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องหาความสำราญทางกายกับทาสในเรือนของตัวเอง
เมื่อหมดวาระในปี 1809 เจฟเฟอร์สันกับซัลลีมีลูกด้วยกัน 6 คน แต่มี 2 คนที่เสียชีวิตตั้งแต่ยังเล็ก เขาให้การศึกษากับลูก ๆ ทุกคน พร้อมรักษาสัญญากับซัลลีว่าจะปลดแอกให้ลูก ๆ ของเธอเป็นไท เมื่อพวกเขามีอายุครบ 21 ปี ลูกสองคนแรกได้ออกจากเรือนไป ซึ่งทางเทคนิคแล้วนับเป็นการแหกเรือน (run away) มีโทษทางกฎหมาย แต่ถ้านายทาสไม่ใส่ใจจะเอาเรื่อง ทาสผู้นั้นก็ถือว่าเป็นไท เจฟเฟอร์สันไม่เคยเอาเรื่อง มิหนำซ้ำยังมอบเงินขวัญถุงให้ไปตั้งตัวเสียอีกน่ะ
ดูเหมือนว่าเจฟเฟอร์สันจะรักใคร่ครอบครัวลับ ๆ ของเขาใช่ไหม? แต่เมื่อปี 1821 เจฟเฟอร์สันได้เขียนอัตชีวประวัติของตัวเอง เขาเขียนทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องของซัลลี เจฟเฟอร์สันเสียชีวิตในปี 1826 ที่ไร่มอนติเซลโล เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ว่าเขาจากไปในวันที่ 4 กรกฎาคม วันครบรอบ 50 ปี ที่อเมริกาประกาศอิสรภาพจากอังกฤษ โดยมีเขาเป็นผู้เขียนคำประกาศอิสรภาพอันลือลั่นนั้น และน่าอัศจรรย์ยิ่งกว่า เพราะวันเดียวกันนี้อเมริกาได้สูญเสีย จอห์น อดัมส์ ประธานาธิบดีคนที่ 2 ผู้ร่วมก่อตั้งอเมริกา เพื่อนรัก เพื่อนแค้น และกลับมาเป็นเพื่อนรักกับเจฟเฟอร์สันอีกครั้งในช่วงบั้นปลายชีวิต ก่อนที่อดัมส์จะเสียชีวิตได้พูดขึ้นมาว่า “Thomas Jefferson survives” โดยไม่รู้ว่าเจฟเฟอร์สันได้เสียชีวิตไปก่อนแล้ว
การเสียชีวิตของเจฟเฟอร์สัน ทำให้ลูกสาวของเขาปลดแอกซัลลีและลูก ๆ ให้เป็นไท ซัลลีใช้ชีวิตอยู่กับลูกชายจนเสียชีวิตด้วยวัย 62 ปี ลูก ๆ ของเธอและอดีตประธานาธิบดีเจฟเฟอร์สันได้เข้าสู่สังคมคนผิวขาว มีสองคนที่เลือกใช้ชีวิตในสังคมคนผิวสีต่อไป บางคนได้แต่งงานกับคหบดี พวกเขามีชีวิตที่ดีจากการศึกษาที่เจฟเฟอร์สันได้ให้ไว้ บางคนเปลี่ยนนามสกุลเป็นเจฟเฟอร์สัน มีลูกหลานเหลนโหลนสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน เป็นนายพล เป็นนักการศึกษา เป็นนักการเมือง เป็นนักดนตรี
เมื่อเรื่องเล่ากลายเป็นเรื่องจริง: การกลับมาพบกันอีกครั้งของเชื้อสายเจฟเฟอร์สัน-เฮมิงส์
การทดสอบดีเอ็นเอในปี 1998 พบว่าโหลนของเจฟเฟอร์สันและซัลลีมีดีเอ็นเอที่ตรงกัน นั่นคือบทสรุปของเรื่องเล่าปากต่อปากที่มีมากว่า 200 ปี ในปี 1999 ผู้สืบเชื้อสายของทั้งสองเกือบร้อยคนได้มารวมตัวกันที่ไร่มอนติเซลโล จุดกำเนิดเรื่องราวความสัมพันธ์แห่งประวัติศาสตร์อเมริกัน
ในปี 2018 มอนติเซลโล เอสเตท เปิดให้เข้าชมห้องนอนของ ซัลลี เฮมิงส์ และลูก ๆ ของเธอ พร้อมเปิดนิทรรศการที่ชื่อว่า “Sally Hemings Family Tour” ให้เป็นส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์โธมัส เจฟเฟอร์สัน ด้วย นับเป็นครั้งแรกที่ชีวิตของซัลลีได้รับการยอมรับอย่างเปิดเผย เธอผู้เป็นส่วนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์อเมริกัน ในฐานะทาส ลูกสาว ภรรยา แม่ ป้า ยาย ทวด ผู้เตือนใจให้ผู้คนรำลึกถึงอิสรภาพ
เมื่อเร็ว ๆ นี้ สถานีโทรทัศน์ CBS ได้สัมภาษณ์ผู้สืบเชื้อสายของเจฟเฟอร์สัน-เฮมิงส์ ทั้งคู่เป็นตัวแทนของคนผิวขาวและผิวสีอเมริกัน แม้ต่างกันที่รูปลักษณ์ แต่ทั้งหมดล้วนมาจากจุดกำเนิดเดียวกัน
ลูเชียน ทรัสก็อตต์ ผู้เป็นเจฟเฟอร์สันผิวขาวรุ่นที่ 6 ได้ให้สัมภาษณ์ว่า “ทาสคือผู้สร้างมอนติเซลโล สร้างเมืองหลวง สร้างทำเนียบขาว ประเทศนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่มีทาสเหล่านั้น และ ซัลลี เฮมิงส์ คือหนึ่งใน ‘Founding Mother’ ของพวกเราเช่นกัน ตอนที่โธมัส เจฟเฟอร์สัน ร่างคำประกาศอิสรภาพในปี 1776 ใครล่ะที่เป็นคนปลุกเขาขึ้นมาให้ทำสิ่งนั้น ถ้าไม่ใช่เหล่าทาส”
แชนนอน ลาเนียร์ ผู้สืบเชื้อสายมาจากลูกชายคนสุดท้องของซัลลี กล่าวว่า “ถึงแม้คนผิวขาวและผิวสีจะถูกคัดแยกออกจากกันด้วยประวัติศาสตร์เรื่องทาสมาช้านาน แต่การพบกันของเรา ก็ทำให้รู้ว่าคนที่แตกต่างกันก็สามารถกลายเป็นครอบครัวเดียวกันได้ หากเรามองข้ามเรื่องความต่างใด ๆ เราก็จะสร้างโลกที่ทุกคนเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกันได้เช่นกัน”
ทั้งหมดนี้คือมรดกที่ ซัลลี เฮมิงส์ มอบให้คนรุ่นหลังได้รำลึกถึง
เรื่อง: อิสยาภรณ์ แสนโท