“ฉันรู้ว่านายกำลังคิดอะไรอยู่ เขายิงไปหกนัดหรือว่าแค่ห้า บอกตามตรงนะ ฉันก็ตื่นเต้นอยู่เหมือนกัน ฉันจำไม่ได้เหมือนกันว่ะ แต่ว่าปืนนี้คือแมกนั่ม .44 ปืนพกที่ทรงพลังที่สุดในโลก มันสามารถเป่าหัวนายให้กระจุย นายต้องถามตัวเองแล้วล่ะ ว่านายรู้สึกโชคดีไหม ไอ้พังก์?”
ประโยคสุดเท่ของมือปราบปืนโหด Dirty Harry (1971) จากแฟรนไชส์ Dirty Harry ที่นำเสนอเรื่องราวของมือปราบ แฮร์รี คัลลาแฮน นายตำรวจนอกกรอบที่รับแต่งานสกปรก เป็นหนึ่งในคำพูดที่คนจดจำมากที่สุดในวงการภาพยนตร์ เพราะไม่ว่าใครในยุค 70s ก็ต้องชื่นชอบไปกับความเท่สไตล์ Anti-Hero ของเขา ทำให้ คลินต์ อีสต์วูด (Clint Eastwood) รับบทนี้ต่อมาอีก 4 ภาคคือ Magnum Force (1973) The Enforcer (1976) Sudden Impact (1983) The Dead Pool (1988)
ย้อนเวลาขึ้นไปอีกหน่อย อีกหนึ่งภาพจำของ คลินต์ อีสต์วูด คือ การรับบท Man with No Name บุรุษไร้นามแห่ง Dollars Trilogy ที่ประกอบด้วย A Fistful of Dollars (1964), For a Few Dollars More (1965), and The Good, the Bad and the Ugly (1966) ตัวละครคาวบอยไอคอนระดับตำนานที่เท่บาดขาดใจ สไตล์พูดน้อยต่อยหนัก เรียกได้ว่าในยุครุ่นพ่อ (หรือสำหรับเด็กสมัยนี้อาจต้องเรียกว่ารุ่นปู่) บอกชื่อ คลินต์ อีสต์วูด ไปทุกคนก็ต้องรู้จัก
จากนั้นในยุค 90s เขาก็ทำให้ทั้งสาวน้อยสาวใหญ่ต้องเสียน้ำตามาแล้วกับบทบาท โรเบิร์ต คินเคด ชายชู้ (ทางใจ) หนุ่มใหญ่มากเสน่ห์ในเรื่อง The Bridges of Madison County (1995) ที่ฉากสี่แยกวัดใจยังคงเป็นฉากที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นฉากในตำนานจนถึงทุกวันนี้
คลินต์ อีสต์วูด ยังเป็นที่รู้จักในฐานะผู้กำกับฝีมือเยี่ยม เป็นนักดนตรีและยังเป็นผู้นำความคิดทางด้านการเมือง ทำให้เขาเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องในหมู่ชาวฮอลลีวูดในฐานะปูชนียบุคคล แต่นอกเหนือไปกว่านั้นแล้วเขายังเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น Style Icon อีกด้วย
[caption id="attachment_11330" align="alignnone" width="1065"]
Rawhide (1958)[/caption]
ความเป็นชายสไตล์อเมริกัน
ทำไม คลินต์ อีสต์วูด ถึงเป็นตัวแทนภาพลักษณ์ที่ผู้ชายด้วยกันชื่นชอบ จนถูกยกให้เป็น Cultural Icon of Masculinity และไม่สามารถหาคนมาแทนที่ได้ แม้ในวันนี้เขาจะเป็นคุณปู่วัย 89 ปีแล้วก็ตาม
สื่อดังอย่าง Esquire นิตยสารไลฟ์สไตล์ของท่านชายเคยทำแบบสอบถามเหล่าผู้อ่านวัย 20-50 ปี ว่าใครคือผู้ชายที่คิดว่าเท่ที่สุดในประเทศอเมริกา ผลปรากฏว่าชื่อของปู่คลินต์นำโด่งมาอันดับหนึ่ง แม้ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผู้ชายที่ถูกยกให้เป็นไอคอนจะเปลี่ยนแปลงแนวทางไปในแต่ละยุคสมัย ทั้งแนวมาโชกล้ามโต, แนวหนุ่มเนิร์ด, หนุ่มตลก ไปจนถึงหนุ่มฮิปสเตอร์ ซึ่งเรื่องนี้ Esquire ได้วิเคราะห์เอาไว้อย่างน่าสนใจคือ คลินต์ อีสต์วูด เป็นตัวแทนความเป็นลูกผู้ชาย ที่ผู้ชายอยากเป็นแต่เป็นไม่ได้ เขาเริ่มต้นชีวิตวัยหนุ่มของเขาด้วยการทำงานหลากหลายอาชีพ สู้ชีวิตมาหมดทุกรูปแบบ ทั้งเป็นไลฟ์การ์ด, คนส่งของ, นักผจญเพลิงป่า ไปจนถึงแคดดี้ประจำสนามกอล์ฟ และเคยเป็นทหารรับใช้ชาติประจำการอยู่ที่ Fort Ord ในช่วงสมัยสงครามเกาหลี และเคยมีประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นเคยรอดชีวิตจากเครื่องบินตกลงไปในทะเล จนต้องเกาะแพยางว่ายน้ำเข้าฝั่งไกลกว่า 3 กิโลเมตร
ชีวิตที่โลดโผนอย่างกับเป็นพระเอกหนังอย่างนี้ ทำให้มีผู้แนะนำให้เขาเข้าวงการจนได้ไปออดิชันที่ Universal Studio ด้วยความสูงถึง 193 เซนติเมตร ใบหน้าที่หล่อเหลา พูดเสียงลอดไรฟันอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาทำให้โดดเด่นเกินกว่าจะรับบทเป็นตัวประกอบ และโอกาสทองของชีวิตก็มาถึงเมื่อเขาได้รับบทเด่นในซีรีส์แนวคอยบอยเรื่อง Rawhide ในปี 1958 ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างงดงาม และทำให้เขากลายเป็นพระเอกหนังแนวคาวบอยอีกหลายสิบเรื่อง
ในยุคนั้นหนุ่ม ๆ มอง คลินต์ อีสต์วูด เป็นไอดอลที่อยากเอาเยี่ยงอย่าง เพราะเขาทำให้ทุกคนเห็นความงามในความไม่สมบูรณ์แบบ เสื้อผ้าการแต่งกายของเขาเป็นแบบอเมริกันแท้ ๆ สวมกางเกงยีนส์ ใส่หมวก เสื้อเดนิม รองเท้าบูต สไตล์ของเขาทำให้หนุ่ม ๆ ทุกคนดูดีได้แบบไม่ต้องพยายาม ไม่ต้องเนี้ยบ ไม่ต้องหรู แต่มีความติดดินลูกทุ่งและดูขบถ นอกจากนี้เขายังใส่เสื้อโปโลกางเกงสแล็คสีดำอยู่นานหลายปี จนทำให้แฟชั่นที่ทุกคนเคยมองว่าดูไม่โก้เก๋ กลายเป็นเสื้อที่ผู้ชายต้องมีติดตู้ทุกบ้าน
ไม่เพียงแต่รูปลักษณ์ภายนอกที่ทำให้หนุ่ม ๆ อยากเป็น คลินต์ อีสต์วูด เท่านั้น แม้เขาไม่ใช่คนที่ดีพร้อมในแง่มุมหนึ่งเขาเป็นคนเจ้าชู้ที่มีผู้หญิงมากมายในชีวิต เคยนอกใจมีชู้ มีแฟนสาวและแต่งงานหลายรอบ รวมไปถึงเคยทำผู้หญิงท้องจนต้องยกลูกให้ผู้อื่นเลี้ยง แต่สิ่งเหล่านี้ในยุคสมัยของเขาเป็นสิ่งที่ได้รับการมองว่าเป็นชายสมชายและใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า และในตอนนี้เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็ได้ทำในสิ่งเขาควรทำมานานก็คือการรับผิดชอบลูก ๆ ทุกคนอย่างเปิดเผย
[caption id="attachment_11329" align="alignnone" width="1600"]
Dirty Harry (1971)[/caption]
ถ้ามัวแต่ PC ก็หมดสนุก
เสน่ห์อย่างหนึ่งของ คลินต์ อีสต์วูด คือผลงานและตัวละครของเขามีความเสียดสีสังคมอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งถ้าเป็นในยุคนี้ตัวละครอย่าง Dirty Harry คงโดนด่าว่าเชิดชูความเป็นชาย เกลียดเกย์ เกลียดคนดำ เกลียดชาวต่างด้าว แต่ต้องอย่าลืมว่า Dirty Harry เกลียดทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน และสิ่งที่เขาเกลียดมากที่สุดคือคนที่ทำตัวผิดกฎหมายและไร้ศีลธรรม ความเสียดสีแบบ No PC แบบ คลินต์ อีสต์วูด เป็นเพราะเขาโด่งดังในยุค 60s -70s ในยุคที่ภาพยนตร์ฮอลลีวูดยังเป็นยุคของคนผิวขาว ไม่มีการเรียกร้องความหลากหลายบนจอภาพยนตร์ และไม่มีใครมานั่งจับผิดว่าห้ามพูดจาเหยียดเชื้อชาติอื่น พวกเขายังสามารถล้อเลียน และยังคงเรียกคนผิวสีว่านิโกร โดยที่ไม่มีกระแส PC (Political Correctness ความถูกต้องทางการเมือง) หรือการพยายามไม่สร้างความเหยียดหยามในสื่อต่าง ๆ มาเป็นกรอบห้ามในการนำเสนอผลงาน
จนปัจจุบันนี้ ปู่คลินต์ยังมีความเชื่อว่าการ PC มากเกินไปจะทำลายวงการบันเทิง เพราะมันจะน่าเบื่อมากถ้ามัวแต่เซ็นสิทีฟ กลัวว่าจะเป็นการเหยียดไปซะทุกอย่าง คลินต์ อีสต์วูด ให้สัมภาษณ์ในปี 2018 ว่า
“มันน่าเบื่อนะถ้าเป็นอย่างนั้น ไม่มีใครสนุกหรอกถ้ามัวแต่ PC ผมเติบโตมาในย่านที่เต็มไปด้วยคนหลากหลายเชื้อชาติ ผมเกิดมาในช่วงยุคเศรษฐกิจตกต่ำ (ช่วงยุค 30s) แล้วต้องย้ายบ้านบ่อยมาก ผมได้รู้จักคนเยอะแยะมากมายและผมมีความสุขในความแตกต่าง และผมคิดว่าถ้าทุกคนมีความสุขในความแตกต่างของกันและกัน ทุกคนก็ควรจะสามารถเล่นสนุกกับมันได้ เราเคยล้อเลียนกันได้ เราด่ากันได้ แล้วเราหัวเราะ เราเจ็บแสบไปกับมัน มันไม่ใช่สิ่งที่แย่ไปซะทุกอย่างหรอกนะ ถ้าเราไม่เก็บมาคิดให้ซีเรียสจนเกินไป ในยุคนั้น ผมคิดว่าเรามีเรื่องเครียดพอแล้วทั้งเศรษฐกิจและกำลังจะมีสงครามโลกครั้งที่สอง มันเลยทำให้ผู้คนไม่ได้เก็บมาเป็นอารมณ์แล้วเล่นมุกตลกเสียดสีไปกับมัน”
[caption id="attachment_11331" align="alignnone" width="1366"]
The Bridges of Madison County (1995)[/caption]
“ไหลตามน้ำ” เคล็ดลับการอยู่ในวงการ
หลายคนอาจจะมองเขาว่าคือตัวพ่อในการแสดง เป็นอเมริกันฮีโร เป็นพระเอกที่อยู่มาแล้วทุกยุคทุกสมัย ส่วนผลงานกำกับของเขาก็มักมีที่จะนำเสนอและเชิดชูความเป็นวีรบุรุษในแง่มุมต่าง ๆ และวัยที่มากขึ้นก็ไม่ทำให้เขาหยุดทำงาน ล่าสุดเขาเพิ่งมีผลงานกำกับหนังใหม่ Richard Jewell ที่เล่าเรื่องราวจากชีวิตจริงของ ริชาร์ด จีเวลล์ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่พัวพันกับคดีวางระเบิดมหกรรมกีฬาโอลิมปิกที่แอตแลนต้าในปี 1996 ที่เพิ่งเปิดกล้องไปเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เคล็ดลับที่เขาอยู่ได้นานขนาดนี้ก็เพราะเขา “ไหลตามน้ำ” คลินต์ อีสต์วูด เผยว่าที่เขายังอยู่ในวงการ ยังสร้างสรรค์ผลงานอยู่ เพราะว่าโลกนี้ยังมีเรื่องราวใหม่ ๆ อีกมากมายที่อยากเล่า และตราบใดที่ผู้ชมยังอยากให้เขาเล่าเรื่องอยู่ เขาก็จะทำ
“ผมไม่มีแพลนอะไร ผมอาจจะโม้ก็ได้นะว่าผมมีวิสัยทัศน์อะไรแบบนั้น แต่ส่วนใหญ่แล้วมันก็มักจะเกิดขึ้นง่าย ๆ อย่างเช่นมีคนโทรมาบอกว่ามีเรื่อง American Sniper (2014) นะ หรือมีเรื่อง Sully (2016) นะ ส่วนใหญ่แล้วมันจะมาก็มาเองเหมือนว่าเป็นเรื่องของโชคชะตา ผมเป็นพวกไหลไปตามน้ำมากกว่า คือก็มีแผนบ้างนะ แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วผมจะเปิดโอกาสแล้วแต่ว่าจะมีอะไรเข้ามามากกว่า”
[caption id="attachment_11333" align="alignnone" width="1024"]
สก็อต อีสต์วูด และ คลินต์ อีสต์วูด[/caption]
มรดกตกทอด
นอกเหนือจากผลงานทั้งการแสดงและการกำกับแล้ว สิ่งที่เป็นมรดกให้กับวงการฮอลลีวูดของปู่คลินต์ ก็คือเหล่าลูก ๆ ที่มีชื่อเสียงในวงการ 4 คนจากทั้งหมด 8 คน ได้แก่ ไคล์ อีสต์วูด (Kyle Eastwood - ศิลปินเพลงแจ๊ส) อลิสัน อีสต์วูด (Alison Eastwood - นักแสดงที่เพิ่งมีผลงานกับพ่อขอเธอในเรื่อง The Mule) สก็อต อีสต์วูด (Scott Eastwood) และ ฟรานเชสกา อีสต์วูด (Francesca Eastwood) ซึ่งต่างก็เป็นนักแสดงที่มีผลงานในวงการ โดยเฉพาะสก็อตที่เข้าวงการเป็นนักแสดงดำเนินตามรอยเท้าพ่อ และรับช่วงต่อความหล่อมาอย่างลูกไม้ไม่ไกลต้น จนมีการเทียบว่าสก็อตหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก อีสต์วูดผู้พ่อได้ตอบคำถามว่าเขารู้สึกอย่างไรกับชีวิตที่ผ่านมาและการทำงานของสก็อตที่หลายคนมองว่ากำลังเติบโตในวงการเช่นเดียวกันว่า
“ผมไม่ได้มองย้อนกลับไปมองอดีตของตัวเองหรอก เขาเป็นคนอื่นไปแล้ว ผมเป็นพวกมองไปข้างหน้ามากกว่าจะมองไปข้างหลัง ส่วนลูกชายของผม เขากำลังไปได้ดี เขามีผลงานหลายเรื่องและผมก็ได้แต่หวังว่าเขาจะมีโชคและได้สนุกกับการทำงานเหมือนอย่างที่ผมเคยได้รับตอนที่ผมอายุเท่าเขา และยังคงได้รับโอกาสต่อไปเหมือนอย่างที่ผมได้รับในตอนนี้”
เรื่องโดย: เพจผู้ชายคนนั้นจากหนังเรื่องนี้
อ้างอิง
บทสัมภาษณ์จาก Kjersti Flaa
youtube
esquire