The Weeknd จากเด็กไร้อนาคต สู่โชว์จัดเต็มครั้งแรกในไทย

The Weeknd จากเด็กไร้อนาคต สู่โชว์จัดเต็มครั้งแรกในไทย
“ผมไม่เคยกลัวการตกลงมา (ประสบความสำเร็จ) เพราะผมเคยอยู่ที่พื้นมาก่อน”
The Weeknd นักร้องชื่อดัง เพิ่งจะมีคอนเสิร์ตในบ้านเราเมื่อคืนที่ผ่านมา วันนี้เราจะพาทุกคนไปเปิดชีวิตของชายที่เคยถูกตราหน้าว่าไร้อนาคต สู่วันที่เขาได้โชว์สุดเสียงที่ประเทศไทยครั้งแรก อาเบล แมกโคเนน เทสเฟย์ (Abel Makkonen Tesfaye) คือชื่อจริงของ The Weeknd นักร้อง นักแต่งเพลงชาวแคนาเดียน เขาเกิดและโตในแคนาดา แต่มีเชื้อสายเป็นชาวเอธิโอเปียโดยกำเนิด เพราะครอบครัวอพยพมาจากเอธิโอเปีย ชีวิตในวัยเด็กของชายคนนี้ไม่ค่อยน่ารื่นรมย์มากนัก หลังจากที่ครอบครัวย้ายมาตั้งถิ่นฐานที่สกาโบโรช์ ไม่นาน พ่อของเขาก็ทิ้งครอบครัวไป ตอนนั้นเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสาเหตุที่พ่อทิ้งไปคืออะไร “ตอนผมอายุ 6 ขวบพ่อมีท่าทีแปลกไป ผมรู้ตัวอีกทีตอน 11-12 พ่อก็มีครอบครัวใหม่ มีลูกใหม่แล้ว ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาอยู่ที่ไหน แต่ผมมั่นใจว่าเขาคือคนที่ดี ผมไม่เคยตัดสินเขา เขาไม่ใช่คนที่เลวร้ายอะไร เขาไม่ใช่คนติดเหล้า เขาไม่ใช่คนห่วยแตก แค่เพียงเขาไม่ได้อยู่ตรงนี้แค่นั้น” การที่ขาดหัวหน้าครอบครัวทำให้ช่วงชีวิตในวัยรุ่นของ อเบล เต็มไปด้วยสิ่งอบายมุข ทั้งเหล้าและยา ในขณะนั้นเขาถูกตีตราจากสังคมไปแล้วว่าเป็นพวกขี้ยาไร้อนาคต แต่แล้วดนตรีก็ได้เข้ามาสู่ชีวิตของเขา และทำให้เด็กที่รู้สึกตัวเองไร้ค่าคนหนึ่ง กลายมาเป็นดาวดวงใหม่ของวงการ The Weeknd จากเด็กไร้อนาคต สู่โชว์จัดเต็มครั้งแรกในไทย อเบล เกลียดชื่อของตัวเองมาโดยตลอด เขาจึงตัดสินใจใช้ชื่อในวงการเป็น “The Weeknd” และตัดตัว E ออกเพื่อความเป็นเอกลักษณ์ และหลีกเลี่ยงการโดนฟ้อง เพราะชื่อดันไปเหมือนกับวง The Weekend ในแคนาดา

สู่วงการเพลงเต็มตัว

The Weeknd เข้าสู่วงการดนตรีเต็มตัวจากการทำอัลบั้มมิกซ์เทปที่ชื่อว่า House of Balloons ในปี 2011 ก่อนจะมีสตูดิโออัลบั้มแรกในปี 2013 กับอัลบั้ม Kiss Land ดนตรีของ The Weeknd ถูกเรียกว่าแนวอัลเทอร์เนทีฟอาร์แอนด์บี มันคือดนตรีที่มีส่วนผสมของดนตรีสังเคราะห์แบบฮิปฮอป ผสมกับการร้องในแบบอาร์แอนด์บี และความ aggressive ของเพลงร็อกเล็ก ๆ แน่นอนแรงบันดาลใจในวัยเด็กของเขาอย่าง ไมเคิล แจ็กสัน, พรินซ์ และ อาร์ เคลลี กลายเป็นตัวหล่อหลอมดนตรีในแบบของเขา The Weeknd โด่งดังอย่างมากในช่วงสองสามปีมานี้ การันตีด้วยรางวัลแกรมมีสามตัว โดยเฉพาะอัลบั้มสองสามของเขาอย่าง Beauty Behind the Madness (2015) และ Starboy (2016) โดยมีเพลงอย่าง "Can't Feel My Face”, "Earned It" หรือ “I Feel It Coming” เป็นเพลงฮิตที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จสุด ๆ ทั้งยอดขาย และจำนวนทัวร์ที่มากขึ้น แน่นอนงานนี้ต้องมีชื่อประเทศไทยอยู่ในแผนการทัวร์ของเขาด้วย The Weeknd มีคิวโชว์ที่บ้านเรา เมื่อวันที่ 2 ธันวาคมที่ผ่านมา และนี่ถือเป็นครั้งแรกที่เขาได้โชว์ต่อหน้าแฟนเพลงชาวไทยอีกด้วย เขาเปิดคอนเสิร์ตในครั้งนี้ของเขาด้วยเพลง “Pray for Me” เพลงดังจากภาพยนตร์เรื่อง Black Panther ก่อนจะต่อเนื่องด้วยเพลงฮิต “Starboy” เพลงที่มีเนื้อหาเล่าถึงชีวิตหรูหรา การใช้จ่ายอันฟุ่มเฟือยของเหล่าคนดัง (ชีวิตตัวเองนั่นแหละ) และถือเป็นเพลงที่บ่งบอกความเป็น The Weeknd ได้ดีที่สุดเพลงหนึ่ง นักร้องเจ้าของรางวัลแกรมมี ขนเพลงจากอัลบั้ม Starboy มาเล่นหลายต่อหลายเพลงทั้ง “Party Monster”, “Reminder”, “Six Feet Under”, “Secrets” และ “Sidewalks” รวมถึงดึงเพลงจากเพื่อน ๆ ศิลปินมาโคฟเวอร์ในโชว์อีกด้วยไม่ว่าจะเป็น “Low Life (Future)”, “Might Not (Belly)” และ “Crew Love (Drake)”

The Weeknd จากเด็กไร้อนาคต สู่โชว์จัดเต็มครั้งแรกในไทย

แม้จะเป็นการเวิลด์ทัวร์จากอัลบั้มชุดใหม่ แต่หนุ่ม The Weeknd ก็ยังไม่ลืมนำผลงานเก่า ๆ อย่าง “House of Balloons/Glass Table Girls” หรือ “Belong to the World” มาเล่นให้แฟนเพลงชาวไทยได้ฟังกัน และก็มาถึงช่วงไฮไลท์ของโชว์ The Weeknd เริ่มเล่นเพลงดัง ๆ ไล่ตั้งแต่ "Can"t Feel My Face”, “In The Night” และ “I Feel It Coming” บวกกับอัลบั้มมิกซ์เทปเปิดตัวของเขาอย่าง “Wicked Games” และ “The Morning” แน่นอนงานนี้ไม่เล่นเพลงนี้ก็คงไม่ได้ “Earned It” เพลงประภาพยนตร์เรื่อง Fifty Shades of Grey ถูกเล่นท่ามกลางเสียงกรี๊ดสนั่นฮอลล์ ก่อน The Weeknd จะเริ่มเครื่องร้อน ขนเพลงมาแบบ non-stop ทั้ง “Or Nah” ผลงานโคฟเวอร์จาก Ty Dolla $ign และสองเพลงจากอัลบั้ม Beauty Behind the Madness ทั้ง “Acquainted” และ “Often” The Weeknd จากเด็กไร้อนาคต สู่โชว์จัดเต็มครั้งแรกในไทย ช่วงต่อไปนี้ ผมขอเรียกว่าช่วงเพลงของ “แฟนเก่า” เพราะพี่แกหยิบสองเพลงจากอัลบั้มใหม่ My Dear Melancholy โดยเริ่มจาก “Wasted Times” เพลงที่มีเนื้อหาประมาณว่า รู้สึกผิดที่เสียเวลาไปคบกับคนที่ไม่ได้ครึ่งหนึ่งของเธอเลย (แต่งให้กับสาวเบลลา ฮาดิด แฟนสาวซูเปอร์โมเดลคนปัจจุบัน) ก่อนต่อด้วยเพลงที่แต่งให้แฟนเก่าอย่าง (เซเลนา โกเมซ) “Call Out My Name” แม้ทั้งสองเพลงจะเป็นผลงานใหม่ แต่การถูกจับมาเล่นต่อกันแบบนี้ ก็ไม่รู้ว่าพี่แกจะแฝงนัยยะสำคัญ หรือต้องการจะสื่ออะไรกันแน่ ด้วยการที่มีเชื้อสายเอธิโอเปียน การร้องของเขาจึงมีส่วนผสมของดนตรีแบบเอธิโอเปียนไม่น้อย ครั้งหนึ่งเขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า “ผมบอกเสมอว่าการร้องของผมไม่เหมือนชาวบ้านเขา ดนตรีของเอธิโอเปียคือดนตรีที่ผมโตมา ท่ามกลางศิลปินอย่าง มาห์มุด อาห์เหม็ด หรือ เอสเธอร์ อวีกี สิ่งเหล่านี้กลายเป็นรากฐานดนตรีในแบบของผม ‘The Hills’ คือเพลงแรกที่คุณจะได้ยินว่าผมใช้ภาษาเอธิโอเปียในเพลง ซึ่งมันคือกุญแจสู่แนวคิดในอัลบั้ม Starboy ด้วย” The Weeknd ปิดคอนเสิร์ตในครั้งนี้ของเขาด้วยเพลง “The Hills” ท่ามกลางเอฟเฟ็กต์ บนเวทีที่ใช้ไฟมาประกอบด้วย เรียกได้ว่าจบแบบสุดฮอตของจริง ๆ The Weeknd จากเด็กไร้อนาคต สู่โชว์จัดเต็มครั้งแรกในไทย ภาพรวมโชว์ครั้งแรกของ The Weeknd ถือว่าทำโชว์มาดี โดยเฉพาะการเรียงเพลงที่ดี dead-air แทบไม่มี ต่อเพลงได้เนียนมาก ๆ ชอบ ! และสิ่งที่น่าสนใจก็คือฟีดแบ็คจากคนดูจากในโชว์ครั้งนี้ สามารถบอกอะไรเราได้หลายอย่าง เราจะเห็นได้ว่าเพลงจากอัลบ้ัมสองชุดแรกเป็นอะไรที่ touch คนดูมาก ๆ แฟน ๆ ต่างสนุกกับเพลงที่มีการใช้เสียงเครื่องดนตรีจริง ๆ มาผสมมากกว่าจะเป็นเพลงที่ใช้กลองไฟฟ้า หรือ Sampling เพียว ๆ ซึ่งโชว์ในครั้งนี้จะเพอร์เฟ็กต์และลงตัวมาก หาก The Weeknd นำฟูลแบนด์มาใช้ในการโชว์ด้วย เพราะครั้งนี้เขาขนมาแค่เพียงพวกเครื่องริทึ่มเซคชั่น อย่าง กีตาร์ เบส กลองเท่านั้นเอง ซึ่งเสียงกีตาร์เพิ่งจะมาโอเคในช่วงหลังด้วยซ้ำ คุณลองคิดดูสิถ้าเขาจัดเต็มและลดเสียงสังเคราะห์มากกว่านี้ มันคงเป็นโชว์ที่มีสนุกกว่านี้อีก ด้านวิชวล แสงสี ถือว่าทำได้ดีมาก ช่วยทำให้เราได้เห็นรีแอคชั่นของคนดู และสนุกไปกับโชว์ด้วย ขอขอบคุณภาพจาก Live Nation BEC-Tero