20 ก.ย. 2562 | 19:03 น.
ถ้าพูดถึง The Lion King หลายคนอาจจะนึกถึงเรื่องราวการผจญภัยของซิมบ้ากับวัฏจักรชีวิตของเหล่าสรรพสัตว์ ที่มาพร้อมกับความสนุกและสร้างแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตให้ใครหลายคน ซึ่งนอกจากภาพและการเล่าเรื่องที่ดีแล้ว อีกหนึ่งจิ๊กซอว์สำคัญที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จ ก็คือเรื่องของ “ดนตรีประกอบ”
ย้อนกลับไปในปี 1994 เลโบ เอ็ม (Lebo M), มาร์ก มานซินา (Mark Mancina), เซอร์ทิม ไรซ์ (Tim Rice), เซอร์เอลตัน จอห์น (Elton John) และฮานส์ ซิมเมอร์ (Hans Zimmer) ทั้งหมดถูกวางตัวให้เข้ามาสร้างสรรค์ดนตรีประกอบให้ The Lion King ทั้งห้าคนได้โจทย์เดียวกันจากดิสนีย์คือ ต้องสร้างเพลงบนพื้นฐานที่ว่ามันจะต้องเป็นเพลงที่ถูกจดจำไปตลอดกาล แน่นอนนี่เป็นโจทย์ที่ไม่มีใครตอนนั้นสามารถตอบได้ แต่ด้วยเวลาที่ผ่านไป 25 ปี มันกลายเป็นเครื่องสะท้อนคำตอบของคำถามนั้นออกมาได้เป็นอย่างดี เพราะทุกวันนี้บทเพลงอย่าง ‘Circle of Life’ หรือ ‘Can You Feel the Love Tonight’ ก็ยังเป็นเพลงที่อยู่ในความทรงจำของทุกคนมากว่าสองทศวรรษ
ชื่อของ เลโบ เอ็ม อาจจะไม่ได้รับการพูดถึงมากนักเมื่อเทียบกับ เอลตัน จอห์น หรือ ฮานส์ ซิมเมอร์ (เลโบ เปรียบเหมือนมือขวาของ ฮานส์ ในโปรเจกต์นี้) สำหรับใครที่ยังไม่รู้จักผู้ชายคนนี้ เขาคือเจ้าของเสียงร้องทรงพลังระดับตำนานในช่วงต้นเพลง ‘Circle of Life’ ที่ร้องว่า “Nants ingonyama” ที่ดึงดูดความสนใจจากคนฟังได้อยู่หมัดตั้งแต่ท่อนแรก ซึ่งแน่นอนว่าทุกคนที่เคยดู The Lion King ต้องเคยได้ยินเสียงนี้ผ่านหูมาแล้ว
เมื่อมีละครเวที The Lion King เลโบก็ยังรับหน้าที่เป็นผู้ประพันธ์ดนตรีและคำร้องเพิ่มเติม, โน้ตเพลงสำหรับการร้อง และกำกับการร้องประสานเสียง ซึ่งโอกาสที่ละครเวทีเรื่องดังกล่าวมาเปิดการแสดงในเมืองไทย The People จึงชวนเลโบสนทนาว่า The Lion King เปลี่ยนชีวิตของเขาอย่างไรตลอด 25 ปีที่ผ่านมา
[caption id="attachment_12261" align="aligncenter" width="2375"] Circle of Life - THE LION KING - Photo by Matthew Murphy[/caption]The People: ชีวิตสมัยเด็กของคุณเป็นอย่างไรบ้าง
เลโบ: ผมเกิดในครอบครัวที่ยากจน ที่เมืองโซเวโต แอฟริกาใต้ ในช่วงที่มีการแบ่งแยกสีผิว ผมย้ายมาอยู่ที่อเมริกาตั้งแต่อายุ 16 ปี เรียกได้ว่าผมถูกเนรเทศตั้งแต่อายุ 16 ปีนั่นแหละ หลังจากนั้นผมเลยเติบโตที่อเมริกา
The People: คุณเริ่มสนใจด้านดนตรีตั้งแต่เมื่อไหร่
เลโบ: ดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ทั้งสำหรับพ่อ แม่ และผมตั้งแต่ตอนที่ยังอยู่ที่แอฟริกา ตอนผมเด็ก ๆ ผมใช้ดนตรีเพื่อหนีจากความจริงอันโหดร้ายกับการที่ต้องเติบโตในช่วงที่มีการแบ่งแยกสีผิว มันเป็นสิ่งที่คอยปกป้องผมและเป็นแรงขับเคลื่อนในการใช้ชีวิตไปพร้อม ๆ กัน สำหรับผมดนตรีไม่ใช่สิ่งที่เข้ามาเติมเต็มชีวิต แต่เป็นสิ่งที่อยู่ในชีวิตผมมาตลอด ไม่ใช่ว่าอยู่ดี ๆ ผมก็ตื่นขึ้นมาทำเพลงให้กับ The Lion King เลย แต่ผมอยู่กับดนตรีมามากกว่า 20 ปีก่อนผมจะเริ่มทำงานเสียอีก
The People: คุณจำได้ไหมว่าแรงบันดาลใจทางด้านดนตรีของคุณมาจากอะไร
เลโบ: ผมคิดว่าแรงบันดาลใจของผมมาจากศิลปินหลายคน ผมได้ทำงานร่วมกับศิลปินอย่าง ควินซี โจนส์ (Quincy Jones) ซึ่งถือว่าเป็นฮีโรของผมเลย รวมถึงฮานส์ ซิมเมอร์ ผมไม่เคยรู้จักผลงานของเขามาก่อนจนผมได้เจอเขา ซึ่งเป็นอะไรที่น่าแปลกใจมาก ๆ ผมว่าแรงบันดาลใจในด้านดนตรีของผมคงมาจากสิ่งที่ผมได้เจอและสั่งสมมา
The People: คุณเริ่มทำงานร่วมกับฮานส์ ซิมเมอร์ได้อย่างไร
เลโบ: ผมกับฮานส์ได้ร่วมงานกันในภาพยนตร์เรื่องหนึ่งก่อน หลังจากเรื่องนั้นผมก็ได้ไปทำเพลงให้กับภาพยนตร์อีกหลายเรื่อง จนเรียกได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรีแอฟริกันคนหนึ่งในลอสแอนเจลิส และผมก็ได้มีโอกาสมาร่วมงานกับเขาอีกครั้งในเรื่อง The Lion King
เพราะเราเคยได้ร่วมงานกันมาก่อน พอได้มาเจอกันอีกในเรื่อง The Lion King พวกเราก็ค่อนข้างคุ้นเคยกันและรู้ว่าสไตล์การทำงานของแต่ละคนเป็นอย่างไร การได้ทำงานกับเขาถือว่าค่อนข้างพิเศษสำหรับผม เพราะผมคิดว่าไม่มีใครเคยทำดนตรีแอฟริกัน หรือดนตรีที่ไม่ใช่ดนตรีแบบยุโรปมาก่อน จนในที่สุดถึงเกิดมาเป็นเพลงประกอบ The Lion King ที่ทุกคนรู้จักกันจนทุกวันนี้
The People: คุณจำได้ไหมว่า ความทรงจำแรกที่คุณมีต่อ The Lion King คืออะไร
เลโบ: ความทรงจำแรกมันเริ่มขึ้นตั้งแต่ก่อนที่ผมจะรู้ว่า The Lion King คืออะไรเสียอีก มันเริ่มตั้งแต่ตอนผมแต่งท่อน “Nants ingonyama” (เสียงแรกของเพลง 'Circle of Life') และความรู้สึกตอนที่มองกลับไปว่าผมได้ผ่านอะไรมาบ้าง ตั้งแต่ตอนแรกจนถึงตอนภาพยนตร์ได้ฉาย หรือแม้กระทั่งหลังจากผมได้รับรางวัลแกรมมี่ อวอร์ดส ทำให้ผมรู้สึกว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่พิเศษมาก ๆ
[caption id="attachment_12170" align="aligncenter" width="2048"] เลโบ เอ็ม[/caption]The People: คุณชอบตัวละครใดในเรื่อง The Lion King มากที่สุด
เลโบ: ผมชอบซิมบ้า เพราะเรื่องของซิมบ้าคล้ายกับชีวิตของผม ซิมบ้าต้องเติบโตมาแตกต่างจากคนอื่นเพราะเขาเป็นลูกของราชา ทำให้เขาต้องแบกรับภาระและความรับผิดชอบที่หนักหนาตั้งแต่ยังเด็ก ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้ต้องการ สิ่งที่เขาต้องการคือการเป็นเด็กปกติคนหนึ่ง แต่สุดท้ายแล้ว เขาก็ไม่ได้มีทางเลือก เขาต้องเสียสละเพื่ออนาคตของประเทศและเพื่อคนอื่น ๆ นั่นคือสิ่งที่ทำให้ซิมบ้าเป็นตัวละครที่ไม่เหมือนใครและเป็นตัวละครโปรดของผม
The People: คุณแต่งเพลงจำนวนมากให้กับ The Lion King คุณรู้สึกอย่างไรกับผลงานของคุณบ้าง
เลโบ: ผมรู้สึกว่าเพลงใหม่ ๆ ในบรอดเวย์ที่ไม่เคยอยู่ในภาพยนตร์มาก่อน ในท้ายที่สุดมักกลายเป็นเพลงที่พิเศษมาก อย่างเช่น ‘Shadowland’, ‘Endless Night’, ‘One by One’ หรือเพลงอื่น ๆ จากอัลบั้ม Rhythm of the Pride Lands ของผม และเป็นเรื่องโชคดีมาก ๆ ที่เพลงที่ผมทำกว่า 25 ปีที่แล้ว ยังสามารถนำมาใช้ในบรอดเวย์ได้จนถึงปัจจุบัน
ส่วนเพลง ‘He Lives in You’ ผมกับมาร์ค มานซินา แต่งขึ้นเพื่อภาพยนตร์โดยเฉพาะ แต่โชคดีของเราที่เพลงนั้นสามารถกลายมาเป็นเพลงที่ได้แสดงในบรอดเวย์โดยราฟิกิ และมูฟาซา และถือเป็นเพลงที่อยู่คู่กับบรอดเวย์เลยทีเดียว นั่นเป็นสิ่งที่พิเศษสำหรับผมมาก การได้เห็นผลงานเติบโตและเป็นที่รู้จักมากขึ้นก็เป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจของผม
The People: คุณคิดว่าอะไรเป็นสิ่งที่ทำให้ดนตรีแอฟริกันน่าสนใจ
เลโบ: ผมคิดว่าคงเป็นความดั้งเดิมที่ไม่เหมือนใคร เพราะว่าปัจจุบันดนตรีที่คนรู้จักกันคือดนตรีของอเมริกา ดังนั้นการนำอะไรที่แตกต่างอย่างสไตล์การร้องเพลงแบบแอฟริกันใส่เข้าไป ทำให้มันกลายเป็นสิ่งที่พิเศษกว่าสิ่งอื่น กลายเป็นที่น่าดึงดูดและเปิดมุมมองใหม่ ๆ ให้กับคนทั่วโลก
The People: คุณรู้สึกอย่างไรกับการที่เมื่อคนคิดถึง The Lion King พวกเขาจะคิดถึงเสียงของคุณ
เลโบ: ตอนนี้ผมชินแล้วแหละ มันไม่ได้เป็นประสบการณ์ใหม่สำหรับผมแล้ว แต่มันก็ยังคงเป็นความรู้สึกที่พิเศษอยู่เสมอ ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโปรเจกต์ล้ำค่าที่เป็นแรงบันดาลใจให้คนทั่วโลก และยังคงอยู่ต่อไปจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน
The People: หลายคนยังไม่รู้ว่าท่อนแรกของเพลง ‘Circle of Life’ พวกคุณได้ท่อนนั้นมาจากเดโม่ที่ไม่ได้มีการซ้อมมาก่อน คุณจำได้ไหมว่าเหตุการณ์ตอนนั้นเป็นอย่างไร
เลโบ: ตอนนั้นผมกำลังจะออกจากสตูดิโอไปทำเดโม่ ผมกับฮานส์เลยได้คุยกันเพียงเล็กน้อย จากนั้นผมก็ลองเปิดไมโครโฟนแล้วร้อง “Nants ingonyama” เทคเดียวเลย แล้วผมก็ไป แต่พอหลังจากวันนั้น ตอนที่ผมต้องมาทำเพลงให้ The Lion King อย่างจริงจัง พวกเราเลยลองทำท่อนนั้นใหม่ แต่ไม่มีอันไหนที่ได้อารมณ์แบบเทคแรกเลย พวกเราเลยตัดสินใจใช้เทคแรกนั่นแหละ ท่อนนั้นจึงกลายเป็นท่อนศักดิ์สิทธิ์ที่ยังอยู่มาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าจะผ่านมา 25 ปีแล้วก็ตาม
[caption id="attachment_12283" align="aligncenter" width="2910"] เลโบ เอ็ม และฮานส์ ซิมเมอร์[/caption]The People: ผู้คนได้ยินเสียงคุณในท่อน “Nants ingonyama” มามากกว่า 25 ปี คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง
เลโบ: มันเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อมาก แต่ผมเริ่มคุ้นเคยกับตรงนั้นเพราะว่าผมได้ทำงานกับบรอดเวย์อยู่ตลอด ผมได้เห็น The Lion King ไปแสดงทั่วโลก มันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นและน่าชื่นใจมาก ๆ ผมได้เห็นการเต้น การแสดงในสถานที่ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ได้เห็นปฏิกิริยาของคนดูจากทุกมุมโลกว่าพวกเขารู้สึกอย่างไร และผมก็ตั้งตารอที่จะได้เห็นปฏิกิริยาจากผู้ชมชาวไทยว่าพวกเขารู้สึกอย่างไรกับ The Lion King ในครั้งนี้
The People: คุณเคยเปรียบเทียบ The Lion King กับเรื่องการแบ่งแยกสีผิว คุณมีความเห็นกับเรื่องนี้อย่างไรบ้าง
เลโบ: ผมคิดว่าตัวละครสการ์ ในเรื่อง The Lion King เป็นสิ่งที่สื่อถึงการกดขี่ เพราะสิ่งที่เขาทำคือมายึด Pride Rock แล้วก็ทำลายมัน สำหรับผมนั่นคือการที่ชาวยุโรปมาล่าอาณานิคม และตั้งกฏเกณฑ์แบ่งแยกสีผิวในแอฟริกาเพื่อกดขี่ชนพื้นเมือง และตอนที่สการ์สูญเสียอำนาจ คือการที่คนอื่น ๆ อย่างซิมบ้าและราฟิกิ ได้กลับมาเริ่มต้นใช้ชีวิตใหม่ สำหรับผมคงเป็นประมาณนั้น
The People: ความทรงจำที่ดีที่สุดเกี่ยวกับ The Lion King คืออะไร
เลโบ: มีเยอะมาก เพราะว่าผมร่วมแสดงด้วย แต่งเพลงด้วย เป็นส่วนหนึ่งของโปรดักชั่นในบรอดเวย์ด้วย ทุกอย่างล้วนพิเศษสำหรับผมหมด และการได้สร้างเพลงที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกอย่าง ‘Circle of Life’ ก็เป็นหนึ่งในความทรงจำที่ผมไม่เคยลืมเลย
The People: คุณเคยคิดไหมว่า The Lion King จะประสบความสำเร็จขนาดนี้
เลโบ: ไม่เลย ผมไม่คิดว่ามีใครเคยคิดอย่างนั้นด้วย แม้แต่ตอนที่เราเริ่มทำบรอดเวย์ ยังไม่มีใครกล้าพูดเลยว่าเรากำลังทำสิ่งที่จะดัง แต่พอทำไปเรื่อย ๆ ผมเริ่มรู้สึกได้ว่ามันมีความมหัศจรรย์บางอย่างซ่อนอยู่ และตอนที่ The Lion King จะเริ่มทำเป็นภาพยนตร์ ผมก็รู้สึกได้ว่านี่คือสิ่งพิเศษและสุดท้ายมันก็กลายเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ในที่สุด
The People: ภาพยนตร์เรื่องนี้เปลี่ยนชีวิตคุณในแง่ไหนบ้าง
เลโบ: อย่างแรกเลยคือ ผมมีงานทำ ผมว่านั่นก็เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดี (หัวเราะ) และผมคิดว่าที่ภาพยนตร์ประสบความสำเร็จขนาดนี้ได้ก็เพราะบรอดเวย์ด้วยนะ เพราะว่าตั้งแต่หลังจากภาพยนตร์ The Lion King ในปี 1994 การที่ทุกคนยังไม่ลืมความสำเร็จของ Lion King ก็เพราะยังมีบรอดเวย์ The Lion King อยู่เรื่อย ๆ นั่นเอง
The People: การได้ทำ The Lion King ครั้งนี้ มีผลอย่างไรกับชีวิตคุณในปีนี้บ้าง
เลโบ: ผมคิดว่าสิ่งที่ผมได้รับก็คงไม่ต่างจากคนอื่นเท่าไหร่หรอก เสียงตอบรับที่ผมได้ก็ค่อนข้างเป็นทางบวก อาจจะต่างจากคนอื่นเล็กน้อยตรงที่ว่าผมได้บินมาประเทศไทย ท่องเที่ยวรอบโลก และได้เจอคนหลากหลายจากเรื่องนี้
The People: ในฐานะของนักร้องนักแต่งเพลง คุณคิดว่าทำไม The Lion King ถึงยังมีความเกี่ยวข้องและยังไม่หายไปจากสังคมปัจจุบัน
เลโบ: การทำ The Lion King ภาคใหม่อยู่เรื่อย ๆ ก็มีส่วน แต่ผมคิดว่านั่นไม่ใช่ทั้งหมด ถึงจะไม่มีภาพยนตร์ใหม่ในปีนี้ ผมก็ยังคิดว่าเนื้อเรื่องของ The Lion King มีความโดดเด่นจนแทบไม่ต้องรีเมคเลยด้วยซ้ำไป ที่ The Lion King ภาคใหม่ ๆ เป็นที่น่าจดจำสำหรับคนดู เพราะมันไม่ได้เปลี่ยนแก่นสำคัญของเรื่อง The Lion King มีโครงเรื่องที่ดีอยู่แล้ว ทำให้เข้าถึงผู้ชมไม่ว่าจะเป็นยุคไหน
The People: คุณรู้สึกอย่างไรกับการได้มาประเทศไทย
เลโบ: นี่เป็นครั้งแรกของผมเลยที่ได้มาประเทศไทย แต่นี่เพิ่งเป็นวันที่ 2 ของผม ผมเพิ่งได้ออกไปแค่ทานข้าว ยังไม่ทันได้รู้จักประเทศไทยมากนัก ผมอยากจะได้มีโอกาสออกไปเที่ยวและรู้จักประเทศไทยให้มากกว่านี้ แต่ผมคิดว่าผมอาจจะไม่มีเวลามากพอ เพราะผมต้องบินกลับหลังจากรอบปฐมทัศน์เลย แต่ผมอยากกลับมาประเทศไทยอีก
The People: ปัจจุบันคนเปลี่ยนจากการฟังเพลงจากซีดีมาสตรีมเพลงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ คุณรู้สึกอย่างไรกับการเปลี่ยนแปลงนี้ คิดว่าการมีบริการสตรีมเพลงเป็นเรื่องดีไหม
เลโบ: ผมว่าการมีบริการสตรีมมิ่งไม่ใช่เรื่องที่แย่นะ แต่ผมโตมากับการที่เราต้องออกจากบ้านขึ้นรถไปที่ร้านเพื่อซื้อสิ่งที่คุณต้องการ และนั่นทำให้ทุกอย่างมันมีความพิเศษและมีความหมายมากกว่าการที่คุณแค่เลือกเพลงจากโทรศัพท์มือถือ ผมว่ามันน่าเศร้าสำหรับคนรุ่นลูกรุ่นหลานผมและคนรุ่นต่อ ๆ ไปในอนาคตที่จะไม่ได้มีโอกาสรู้เลยว่าการได้ไปยืนเลือกแผ่นเสียงในร้านเป็นอย่างไร แต่ผมว่าเพราะพวกคุณไม่รู้ว่ามันแตกต่างกันอย่างไร ทำให้คุณไม่รู้สึกว่ามีอะไรขาดหายไปจากชีวิต
The People: คุณมีอะไรอยากจะบอกแฟน ๆ ชาวไทยไหม
เลโบ: แน่นอน! ผมคาดว่าเกือบทุกคนน่าจะได้ดูภาพยนตร์ The Lion King ไปแล้ว แต่สิ่งที่ผมอยากจะบอกคือนี่จะเป็นครั้งแรกหลังจากที่ภาพยนตร์ภาคใหม่ได้ฉายในเดือนกรกฎาคม ที่พวกคุณจะได้สัมผัสเรื่องราวของ The Lion King ในรูปแบบของละครเวทีที่ให้ความรู้สึกแตกต่างออกไป และคุณจะไม่อยากพลาดประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นนี้ ผมตั้งตารอที่จะได้เจอทุกคนครับ