19 ก.ย. 2562 | 12:04 น.
- ในฐานะนักแสดง เป้าหมายการทำงานของ 'นน' ชานน สันตินธรกุล คือ การไปฮอลลีวูด
- ถึงจะยังไม่ได้ไปไกลถึงสหรัฐอเมริกา แต่เขาก็เป็นนักแสดงของไทยที่มีผลงานไกลถึงประเทศจีน
- บทสัมภาษณ์นี้ชวนคุยถึงการแสดง ความฝัน และเป้าหมายที่อาจต้องแลกด้วยความสุขระหว่างทางของเขา
“เป้าหมายที่ตั้งไว้ก็คือฮอลลีวูด”
เป็นคำพูดที่เราได้ยินบ่อยครั้งจากปากของ 'นน' ชานน สันตินธรกุล นักแสดงหนุ่มที่ไม่เพียงโด่งดังในประเทศไทย แต่ยังมีผลงานไกลถึงประเทศจีน ถึงกระนั้นเป้าหมายของเขายังไม่สิ้นสุดแค่นี้ กับความฝันการเป็นนักแสดงในวงการฮอลลีวูด อุตสาหกรรมบันเทิงอันดับหนึ่งของโลก
The People ชวนคุยกับเขาในวาระกำลังจะมีผลงานภาพยนตร์เรื่องใหม่ มิสเตอร์ดื้อ กันท่าเหรียญทอง (2562) กับเรื่องราวชีวิตการแสดง ความฝัน และเป้าหมายที่อาจต้องแลกด้วยความสุขระหว่างทาง
The People: ก่อนเข้าวงการ เคยมีความคิดอยากเป็นนักแสดงไหม
ชานน: ไม่มีเลยครับ เป็นศูนย์ ตอนเด็ก ๆ อยากเป็นนักวาดการ์ตูน แล้วถ้าเคยเห็นใน Instagram หรือ Facebook เมื่อก่อนจะเห็นเลยว่า ผมเป็นเด็กที่แบบ...หน้าตาไม่ได้เลย แล้วก็รู้ตัวเองว่าเราไม่ได้นะ เราไม่มั่นใจในตัวเองถึงขนาดที่ว่า เพื่อนแม่เดินมาหาแม่ผม แล้วก็บอกว่า เฮ้ย ลูกสาวน่ารักทั้ง 2 คนเลย แล้วก็เงียบเลย ไม่พูดถึงผม (หัวเราะ) ตอนเด็กคิดเลยนะว่า เฮ้ย เป็นผู้ใหญ่ภาษาอะไรเนี่ย (หัวเราะ) ปกติต้องชมทุกคนกันหมดเลยไม่ใช่เหรอ จุดนั้นมันทำให้รู้ว่าเราหน้าตาไม่ดี แล้วก็เป็นปมเล็ก ๆ ที่พอได้มีโอกาสเริ่มเข้าวงการ เราเลยใส่ใจในตัวเองมากขึ้น
The People: ความมั่นใจในตัวเองเพิ่มขึ้นจากอะไร
ชานน: เพิ่มขึ้นจากการออกกำลังกายเป็นหลักก่อนครับ พอเราเริ่มตัวใหญ่ขึ้น เริ่มมีกล้าม ทัศนคติข้างในมันเปลี่ยนจริง ๆ อยู่ ๆ ก็มีความมั่นใจมากขึ้น กล้าที่จะใส่อะไรมากขึ้น กล้าที่จะพูดมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกเราเชื่อมาตลอดว่า เฮ้ย มันต้องมาจากข้างใน บางทีมันก็มาจากข้างนอก
The People: ความฝันที่บอกว่าอยากเป็นนักวาดการ์ตูน มีแรงบันดาลใจมาจากอะไร
ชานน: การ์ตูนเรื่องแรกที่อ่านคือ โดเรมอน ครับผม (หัวเราะ) ประกอบกับตอน ป. 4 เราชนะการประกวดวาดภาพระดับห้อง เราอ่านการ์ตูนก็วาดการ์ตูน แล้วก็เคยวาดส่งสำนักพิมพ์ด้วย แต่มันก็ไม่ได้มีฟีดแบ็กอะไร (หัวเราะ) ส่งแล้วก็หายไปเลย ตอนนั้นวาดแนวแอ็กชัน แฟนตาซี ตัวละครมีแขนปีศาจสู้กัน
เราเขียนเรื่องราวให้เพื่อนอ่าน อาจเพราะเป็นเด็กเหมือนกัน เพื่อน ๆ ก็ชอบ ถามว่าเมื่อไหร่ตอนใหม่จะออก บางทีผมก็จะเขียนให้เสร็จเป็นเล่มแล้วค่อยให้เพื่อนอ่าน มีหลายเล่มเลย แต่มันเก็บไว้ในกล่อง พอถึงช่วงเวลาย้ายบ้านมันก็เลยหาย ๆ ไปบ้าง
The People: การ์ตูนเรื่องไหนที่มีอิทธิพลกับชีวิตมากที่สุด
ชานน: Eyeshield 21 (ไอ้หนูไต้ฝุ่นมะกันบอล) ครับ เป็นการ์ตูนเกี่ยวกับอเมริกันฟุตบอล ผมอ่านตอนที่ไปอเมริกา แล้วตัวผมมีโอกาสได้เล่นอเมริกันฟุตบอลด้วย โอ้โห... ช่วงนั้นคือบ้ามาก
ผมอยากเป็นนักอเมริกันฟุตบอลเพราะมันไม่มีที่ประเทศไทย อยากทำอะไรที่มันไม่มีในไทย เขาเห็นเราเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนก็เลยให้เล่น แน่นอนทุกคนกล้ามหนามาก วิ่งเร็วมาก แข็งแรงกันมาก ตอนนั้นผมประมาณ ม.4 มีโอกาสได้เล่นกับทีมจริงของโรงเรียน ม.6 ผมเล่นตำแหน่ง รันนิงแบค (running back) วิ่งไปโดนชน (tackle) แค่รอบเดียวกระดูกแขนร้าวเลย กลับไทยพ่องงว่าไปทำอะไรมาวะ เข้าเฝือกอ่อนเลย
เราสนุกกับมันเพราะ หนึ่ง เราได้อ่านการ์ตูน Eyeshield แล้วสองคือมันเป็นกีฬาแรกในชีวิตที่ทำคะแนนได้ พักกลางวันเตะบอลในโรงเรียน ผมไม่เคยเตะบอลเข้าเลย เรียกว่าเพื่อนไม่เคยให้บอลเลยดีกว่า เป็นได้แต่กองหลังที่วิ่งไล่บอล ฉะนั้นการที่เราทำคะแนนได้ในอเมริกันฟุตบอลมันคือแบบ... ดีใจมาก จนอยากเป็นนักอเมริกาฟุตบอลด้วย
The People: อาชีพการแสดงเข้ามาในชีวิตตอนไหน
ชานน: มันเข้ามาแบบงง ๆ เราไม่คิดเลยว่าจะเข้ามาทำงานในวงการนี้เลย เป็นศูนย์มาก ๆ เราไปเดินสยามประมาณ ม.5 แล้วมีพี่เข้ามาขอสัมภาษณ์เกี่ยวกับการแต่งตัวของวัยรุ่นยุคนี้ ให้สัมภาษณ์เสร็จเขาก็ชวนไปถ่ายนิตยสารปกหลัง แล้วเราก็เริ่มรู้จัก เริ่มมีโอกาสไปแคสต์งาน แล้วเรื่องแรกที่ได้งานคือหนังสั้น Patcha is sexy
The People: ทราบมาว่าตอนแรกอยากเรียนด้านจิตวิทยา จริงไหม?
ชานน: จริงครับ เป็นความคิดเด็ก ๆ อีกแล้ว คิดว่าอยากอ่านใจคนได้ เพราะเราอ่านการ์ตูนเยอะแหละ รู้สึกว่ามันเท่มั้งว่าการที่อ่านใจคนได้ จะทำให้เราสามารถทำอะไรได้เยอะขึ้น ทั้งที่จริงมันไม่ใช่เลย นักจิตวิทยาจริง ๆ แทบจะคล้าย ๆ กับการมานั่งคุยอย่างนี้ มันไม่ใช่ภาพจินตนาการที่เราคิดไว้
The People: แล้วทำไมถึงเปลี่ยนมาเลือกเรียนสายภาพยนตร์
ชานน: เผอิญว่าได้งานการแสดงไง เราเลยรู้สึกว่าเลือกเรียนภาพยนตร์ดีกว่าครับ แต่ถ้าเกิดไม่ได้งานแสดง ทุกวันนี้อาจเป็นนักจิตวิทยาไปแล้วก็ได้ (หัวเราะ)
The People: ในชีวิตการแสดง คุณมีวิธีเข้าถึงบทบาทตัวละครอย่างไร
ชานน: ทำการบ้านครับ เขียน background story ของตัวละครนั้น ๆ เราก็ดู subtext ของบทนั้น ๆ แล้วจะเริ่มทำกิจกรรมบางอย่างที่คิดว่าตัวละครตัวนี้จะทำในเวลาว่าง เช่น ถ้าเป็นตัวละคร “ตี้” เป็นคนตาบอด ผมจะซื้อไม้คนตาบอดมาแล้วลองปิดตาเดิน ซึ่งผมจะไม่ขอความช่วยเหลือใด ๆ ซีนไหนที่เป็นซีนอารมณ์หนัก ๆ ที่เราไม่มั่นใจ าก็จะไปเรียนการแสดงเป็น private class กับครูสอนการแสดงให้ช่วยเรา
ผมยังไม่สามารถกล้าพูดได้ว่าตัวเองเป็น method acting 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะ 100 เปอร์เซ็นต์สำหรับผมคือระดับ แดเนียล เดย์-ลูวิส (Daniel Day-Lewis) ที่แบบ... รับบทเป็นคนป่าก็ต้องเข้าไปใช้ชีวิตในป่า 6 เดือน ผมยังไม่ถึงเบอร์เขาเท่าไหร่ แต่ก็จะพยายาม
The People: บทบาทแบบไหนที่คุณรู้สึกท้าทายแล้วอยากแสดงมาก ๆ
ชานน: ผมชอบแอ็กชันมาก ๆ แต่ยังไม่เคยเล่นแอ็กชันแบบ full stream สักที อยากเล่นอารมณ์แบบ John Wick, Kingsman ที่ต้องซ้อมกัน 5-6 เดือนเพื่อจะถ่ายซีนนั้นซีนเดียว เช่น John Wick: Chapter 3 - Parabellum (2019) ที่มีซีนต่อสู้พร้อมหมาและผู้หญิง มันเป็นช็อตกว้างแล้วเราเห็นเลยว่า หมาวิ่งไปทางนั้น พระเอกกำลังยิงคน แล้วผู้หญิงก็ยิงอีกคนหนึ่ง แล้วมันเป็นช็อตกว้างที่เราเห็นทุกอย่าง ทุกการกระทำ ไม่ใช่มั่ว ๆ มันเป็นสิ่งที่เรียกว่า hand craft มาก ๆ
The People: อะไรเป็นแรงผลักดันที่ทำให้คุณยังอยากเป็นนักแสดงอยู่
ชานน: เป้าหมายที่ตั้งไว้ก็คือฮอลลีวูด เพราะเกิดวันไหนที่ผมนอยด์ บางทีก็จะด่าตัวเองว่า เฮ้ย ทำไมกระจอกจังวะ อย่างนี้เหรอที่เวลามึงให้สัมภาษณ์แล้วมึงตอบเขาว่าอยากไปฮอลลีวูด แต่มึงทำได้แค่นี้เหรอ แต่มันจะไม่มีการท้อแบบเฮ้ย เลิกเลยดีรึเปล่าวะ ไม่เคยมี อย่างเช่นซีนดราม่าบางซีนที่ผมทำไม่ได้ ครั้งเดียวในชีวิตเลยที่ผมใช้น้ำตาเทียม แล้วมันแบบ...ข้างในมันพัง พังมาก ๆ ตั้งแต่ครั้งนั้นผมสาบานเลยว่าจะไม่ใช้น้ำตาเทียมอีก เพราะศักดิ์ศรีความเป็นนักแสดงแม่งหมดเลย
The People: เท่าที่สังเกตมาคุณเป็นคนตั้งเป้าหมายสูงมาก ทำไมถึงต้องทำอย่างนั้น
ชานน: เพราะผมรู้สึกว่า ยิ่งตั้งเป้าหมายสูงเท่าไหร่ มันจะยิ่งผลักดันให้เราทำได้เร็วขึ้น ไปได้มากขึ้น จะไม่มาโฟกัสกับปัญหาหยุมหยิม จะไม่มีอีโก้เท่าไหร่ เรื่องไหนที่เรารู้สึกว่า เฮ้ย ต้องไปว่ะ เราจะสามารถกลั้นหายใจแล้วทำได้เลย ตั้งแต่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ บางอย่างที่ไม่ชอบแต่ก็ทำได้ เพื่อให้เราเข้าใกล้เป้าหมาย
ถ้าเห็นภาพชัด ๆ คือการไปเรียนร้องเพลงหรือออกอีเวนต์ร้องเพลง ตอนแรกผมไม่ชอบมาก ๆ เพราะรู้ว่าเราร้องเพลงไม่เพราะ แล้วการเอาตัวเองออกไปร้องเพลงต่อหน้าผู้คน ข้างในมันกลัวมาก (หัวเราะ) แต่เราก็ยังต้องทำ เพราะเราเชื่อว่าการร้องเพลงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เสียงของเรามันมีเสน่ห์ น่าดึงดูด มีน้ำหนักมากขึ้นเวลาเราเอาไปเข้าบทต่อซีน
The People: ไม่คิดอยากใช้วิธีขยับเข้าเป้าหมายทีละนิด ๆ หน่อยเหรอ
ชานน: ไม่ ไม่ได้ (หัวเราะ) ผมรู้สึกว่ายิ่งแก่ ความรับผิดชอบยิ่งมีมากขึ้น ตอนนี้ความรับผิดชอบยังมีไม่เยอะเท่าไหร่ ผมรู้สึกว่าต้องรีบไปให้เร็วที่สุด สมมติว่าวันหนึ่งมีลูก เราจะมาโฟกัสความฝันตัวเองมันก็ไม่ใช่เรื่อง มันต้องโฟกัสที่ชีวิตลูก โฟกัสที่ความฝันของลูกแทน
The People: การได้ทำงานในวงการบันเทิงจีนเป็นอีกก้าวหนึ่งของความฝันด้วยไหม
ชานน: ทุกวันนี้อุตสาหกรรมภาพยนตร์หรือซีรีส์จีนใหญ่เทียบเคียงฮอลลีวูดได้แล้ว การที่ผมมองว่าอยากไปจุดที่ท็อปที่สุดของโลก ถ้าอีก 10 ปีจีนเป็นจุดที่ท็อปที่สุดของโลก จุดหมายก็คือจีนนะ แต่แค่ตอนนี้ ปัจจุบันนี้ ฮอลลีวูดคือท็อปของโลกแค่นั้นเอง
สังคมในสภาพแวดล้อมที่มีแต่คนท็อป ๆ มันน่าดึงดูดมาก ๆ เลย น่ารู้จัก มันน่าเอาตัวเองกระโจนเข้าไปมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของชื่อเสียง โอกาส รายได้ มันก็จะท็อปตามสภาพแวดล้อมนั้น ๆ
The People: คุณไม่กลัวว่าการพุ่งไปหาเป้าหมายอย่างเดียว จะทำให้ขาดความสุขระหว่างทางหรือความสัมพันธ์รอบข้างเหรอ
ชานน: จริง ๆ เป็นปัญหาหนึ่งของผมเหมือนกัน แต่ผมก็ตระหนักรู้ว่าผมมีปัญหานี้ เช่น ความสัมพันธ์แบบเพื่อน ผมเป็นคนที่มีเพื่อนค่อนข้างน้อยมาก เรียกได้ว่านับหัวได้เลยกับคนที่คุยกันบ่อย ๆ หรือสนิทกันจริง ๆ เพราะเรารู้สึกว่ามันต้องใช้เวลาในการสานสัมพันธ์กับคนคนหนึ่ง มันไม่ใช่แค่มานั่งคุย 1 ชั่วโมงแล้วเราจะสนิทกันเลย อาจต้องเป็นปี แต่ผมไม่กล้าที่จะเสียสละเวลาตรงนั้นไป
ความเชื่อส่วนตัวรู้สึกว่า ถ้าไปถึงจุดนั้นเมื่อไหร่ เพื่อนหรือคนรู้จักที่ผมจะได้ไปเจอ ถึงตอนนั้น... ไม่รู้นะอาจจะผิดก็ได้ ค่อยมีเพื่อนก็ยังไม่สาย แต่ฝันนั้นน่ะ ไอ้เป้าหมายนั้นมันรอเราไม่ได้ รออายุเราไม่ได้
The People: การตั้งเป้าหมายใหญ่จะเสี่ยงกับการเจ็บแรงไหม
ชานน: มันเป็นเป้าหมายระยะยาวครับ นั่นแปลว่าคุณต้องคำนวณแล้วว่ามันต้องใช้เวลา ไม่ใช่บอกว่า อ๋อ... ฉันจะเป็นนักแสดงฮอลลีวูดให้ได้ภายในวันพรุ่งนี้ ในขณะที่คุณไม่มีทรัพยากรที่จะทำให้เป็นจริงได้
The People: เคยตั้งเป้าหมายแล้วไม่สำเร็จไหม
ชานน: มีครับ อย่างเช่นอเมริกันฟุตบอล และนักวาดการ์ตูน เราวางแผนไม่ดีพอก็ล่ม ฝีมือไม่ถึงก็ล่ม เพราะฉะนั้นสิ่งพวกนี้ต้องใช้เวลา เราต้องวางแผนให้ตรงตามเป้าหมายด้วย แต่ตอนนั้นเราอยู่กับอาชีพนักแสดง เริ่มอยู่กับมัน เริ่มใช้มัน เริ่มได้เห็นพัฒนาการของสิ่งที่เราตั้งใจจะทำ ความรักในสิ่ง ๆ นั้นมันจะมาเอง ทุกวันนี้ผมกล้าพูดเลยว่า ผมรักในอาชีพนักแสดงมากกว่า 2 สิ่งแรกอีก
The People: อุตสาหกรรมบันเทิงในจีนต่างกับไทยขนาดไหน
ชานน: ใหญ่จนแบบเทียบกันไม่ติด ประเทศเขาใหญ่มาก มณฑลหนึ่งก็เท่ากับประเทศเราแล้ว มีประชากรหลายพันล้านคน เรียกได้ว่าถ้าไม่ได้เล่นซีรีส์ที่ดีจริง ๆ ก็ต้องเอาปริมาณเข้าสู้อย่างเดียว ซึ่งตอนนี้ผมไม่ได้เอาปริมาณเข้าสู้ เพราะฉะนั้นเราก็เลยต้องเน้นคุณภาพเป็นหลัก เพราะเราเป็นนักแสดงต่างประเทศด้วย อาจมีอุปสรรคเรื่องภาษาบ้าง
ส่วนคอนเทนต์ในประเทศจีนหลากหลายกว่าแน่นอนครับ แต่สุดท้ายแล้วที่ popular มากที่สุดก็จะคล้าย ๆ ไทยนะ จะเป็นแนวรักกุ๊งกิ๊ง แบบผู้ชายเพอร์เฟ็กต์กับผู้หญิงแบบสาวข้างบ้าน มีโมเมนต์น่ารักเยอะ ๆ แต่ถามว่าหลากหลายไหม หนังจะหลากหลายมากกว่า เขามีทั้งหนังและซีรีส์การเมือง เรื่องอาชีพนักดับเพลิง เรื่องของกีฬาที่เป็นกีฬาจริง ๆ ไม่ใช่พูดถึงความสัมพันธ์ของตัวละคร แต่ส่วนใหญ่ที่ได้รับความนิยมก็แนวรักโรแมนติกคอเมดีครับ
The People: การใช้ชีวิตอยู่ประเทศจีนคนเดียว นอกจากภาษาแล้ว คุณต้องปรับตัวอย่างไรบ้างไม่ให้รู้สึกเหงา
ชานน: (หัวเราะ) โชคดีที่มีล่ามครับ ถามว่าเหงาไหมเหรอ.... ความที่เราเป็นคนรักสันโดษมั้งก็เลยไม่รู้สึกเหงาขนาดนั้น เราไม่เร่งรีบเรื่องความสัมพันธ์ ไม่รู้สึกว่าต้องรีบสนิทกับใคร เพราะชีวิตส่วนใหญ่ที่จีนจะหมดเวลาไปกับการท่องบท เพราะแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะพูดบทภาษาจีนให้ได้ทุกซีน ฉะนั้นพักกองเมื่อไหร่ ผมก็จะท่องบท กลับถึงโรงแรมเมื่อไหร่ ผมก็จะท่องบท นอนตื่นมามีเวลานิดหนึ่งก็จะท่องบท ไปกองถ่ายได้พักอีก ก็จะท่องบท ชีวิตจะค่อนข้างเข้มงวดกับตัวเองมาก ๆ เลยรู้สึกว่ายุ่งตลอดเวลา
The People: ทำไมคุณดูเข้มงวดกับการทำงานขนาดนั้น
ชานน: เพราะรู้สึกว่ารีแล็กซ์ไปมันก็ไม่ได้อะไร ถ้ายังไม่เป็นภาษาจีนแล้วต้องทำยังไง ก็ต้องขยันหรือเปล่า มันต้องผ่านการท่องซ้ำ ๆ มันไม่ได้มีเวทมนตร์อะไรหรอก
The People: ความรักสันโดษช่วยหล่อหลอมอะไรในตัวคุณบ้าง
ชานน: ช่วยในแง่การโฟกัส ช่วยในแง่การรู้จักตัวเอง แล้วก็ช่วยในแง่ของการแบ่งเวลาแบบแม่นสุด ๆ ถ้าผมไม่ได้เป็นคนรักสันโดษ ผมจะไม่สามารถท่องภาษาจีนได้ทั้งวันแน่นอน ถ้าผมจะท่องบทให้จำได้เข้าเนื้อ ผมต้องท่อง 400 รอบ สมมติไฟล์บท 1 นาที เท่ากับว่าเราท่อง 400 นาที ถ้าเราต้องท่องให้ได้ภายใน 4 วัน นั่นเท่ากับว่าต้องใช้วันละ 100 นาที หรือเท่ากับ 1 ชั่วโมง 40 นาที
The People: แบ่งละเอียดอย่างนี้เลยเหรอ
ชานน: ใช่ครับ และเพราะแบ่งเวลาได้ขนาดนี้เลยสามารถเอาเวลาที่เหลือไปทำอย่างอื่นได้อย่างสบายใจ พอไม่ได้ถ่ายซีรีส์ที่จีน พอได้กลับมาไทย ก็จะมีเวลาพักผ่อน ดูหนัง หาร้านอาหารอร่อย ๆ กิน
The People: The People: ล่าสุดคุณแสดงนำในภาพยนตร์ มิสเตอร์ดื้อ กันท่าเหรียญทอง แล้วตอนเด็ก ๆ คุณเป็นเด็กดื้อไหม
ชานน: ไม่ค่อยดื้อ เรียกว่าซนดีกว่า (ชี้ที่หาง) เนี่ย... หลักฐานของความซน เราชอบทำอะไรที่พิเรนทร์ ๆ แล้วก็ไม่จำด้วย วิ่งขึ้นบันไดแล้วไม่ระวังก็หกล้มคางแตก สวมโรลเลอร์เบลดที่มีล้อกดออกมา แต่แทนที่จะกดออกมา 2 ล้อ ดันปลดออกมาล้อเดียว ก็เลยไถลล้ม คางแตก เดินตามรั้วปูนก็สะดุดคางแตก เป็นอย่างนี้ประมาณ 6 รอบ คางเลยเยินมาถึงตอนนี้
แถมยังเคยหัวแตก 2 ครั้งครับ ครั้งแรกอยู่ตอน ป.2 เราอยากรีบกลับบ้านก็วิ่งลงมาแล้วไปชนรุ่นพี่ ตัวเรากระเด็นโขกกับสระหินอ่อน เราเบลอเลยแบบเห็นภาพแฟนตาซี เห็นยูนิคอร์น (หัวเราะ) แล้วครั้งที่สองเตะบอลตรงหอธรรมในโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนฯ ก็สะดุดจนหัวไปขูดกับผนังปูน หัวแตกอีก เลยคิดว่าซนมากกว่า
The People: แต่ทราบมาว่าในบรรดาพี่น้องทั้ง 3 คน คุณเป็นคนที่ไม่เชื่อฟังพ่อแม่มากที่สุด?
ชานน: ใช่ฮะ (หัวเราะ) เราเถียงแหละ เถียง ๆ แต่สุดท้ายก็ทำตามอยู่ดี เพราะพ่อแม่ค่อนข้างเด็ดขาดมาก แต่ถามว่าดื้อที่สุดในบ้านไหม ใช่ เพราะคนอื่นเป็นลูกสาวครับ
The People: ดื้อที่สุดกับวีรกรรมอะไรบ้าง
ชานน: เคยหนีออกจากบ้านไปเที่ยวผับ เพราะพ่อไม่ให้ไปเที่ยวผับ ความที่ยังเป็นเด็กมัธยมฯ เห็นเพื่อนไปเที่ยวกับสาวแล้วดูเท่ เราก็อยากไปบ้าง วันนั้นวางแผนเตรียมกางเกงวอร์ม เสื้อออกกำลังกายกับรองเท้าวิ่ง พอพ่อแม่หลับหมดก็ออกไปเที่ยว ค้างบ้านเพื่อน กลับมาประมาณ 6 โมงเช้าก็เปลี่ยนเป็นเสื้อวอร์ม แล้วเราก็บอกพ่อแม่ว่าออกไปวิ่งที่สวนลุมฯ มา เขาก็ไม่เชื่อนะ แต่ก็ไม่ว่าอะไร นั่นเป็นครั้งเดียว แต่ผมก็ไม่กล้าทำอีกเลย (หัวเราะ)
The People: ในภาพยนตร์ “ดื้อ” หวง “น้า” แล้วชีวิตจริงคุณหวงอะไรมากที่สุด
ชานน: หวงลูกอเมริกันฟุตบอล เพราะผมทำทัชดาวน์ได้ครั้งแรกในชีวิต เป็นครั้งแรกที่ทำคะแนนในกีฬาได้ แล้วโค้ชให้ลูกนั้นกลับบ้านมา แต่... มันดันหายไปแล้ว! เพื่อนมันยืมไปเล่นแล้วมันก็กลับมาบอกหน้าด้าน ๆ เลยว่า “กูทำบอลมึงหายว่ะ” โกรธ โกรธมาก แต่ผมไม่ได้ต่อยมันนะ ผมไม่คุยกับไอ้เพื่อนคนนั้นอีกเลย อย่างน้อยช่วยแสดงความรับผิดชอบไปซื้อลูกอเมริกันฟุตบอลอันใหม่มาให้ก็ได้
ไม่เคยมีอะไรที่หวงกว่านั้นแล้วครับ ตอนนั้นบ้ามากที่บอกว่าอยากเป็นนักอเมริกันฟุตบอล บ้าถึงขนาดไปไหนจะพกไอ้ลูกนั้นไปด้วย (หัวเราะ) ไม่มีเหตุผลนะ ไปกินข้าวกับเพื่อน ไปดูหนังกับคนคุย ไปฟิตเนส พกไปเรื่อย พกไปทุกที่จริง ๆ มีคนถามว่าพกมาทำไม ผมบอกไม่มีอะไร พกความฝันไว้ ผมตอบอย่างนี้ (หัวเราะ) มองย้อนกลับไปตลกชิบเป๋ง
The People: บุคลิกคุณเป็นคนจริงจัง แต่ต้องมาแสดงภาพยนตร์ตลก คุณมีวิธีปรับคาแรคเตอร์ตัวเองอย่างไร
ชานน: โชคดีที่เคยมีโอกาสได้แสดง บางรักซอย 9/1 มาก่อน ทำให้เรามีพื้นฐานด้านคอเมดีบ้าง มันต้องออกจาก comfort zone ในระดับหนึ่ง แน่นอนว่าคนนอกมองเข้ามา เฮ้ย ไม่เห็นยากเลย แต่ตัวคนข้างในครับ โห... วันแรกที่ก้าวเล็ก ๆ ออกมา เรารู้สึกว่าโล่งสุด ๆ แล้วมันจะดีขึ้นเรื่อย ๆ
The People: ความสนุกในการทำงาน มิสเตอร์ดื้อ กันท่าเหรียญทอง คืออะไร
ชานน: สนุกตอนที่ได้ improvise มุกกับทุกคน ได้เตี๊ยมมุกเพื่อไปเสนอกับผู้กำกับพี่เค (ไชยณรงค์ แต้มพงษ์) หรือว่าพี่ยอร์ช (ฤกษ์ชัย พวงเพ็ชร์) โดยเฉพาะเวลาที่ได้มานั่ง discuss เรื่องมุกกับพี่โจ๊ก โซคูล (กรภพ จันทร์เจริญ) สนุกมากเลย เพราะว่าพี่โจ๊กเป็นคนที่ครีเอทีฟมาก เวลาเราอยู่กับพี่โจ๊กจะไม่มีเดดแอร์เกิดขึ้น เราสบายใจมาก ๆ
The People: ฝากภาพยนตร์เรื่อง มิสเตอร์ดื้อ กันท่าเหรียญทอง หน่อย
ชานน: มิสเตอร์ดื้อ กันท่าเหรียญทอง นอกจากทุกคนจะได้ความสนุกแล้ว ก็จะได้ความอบอุ่นสไตล์ครอบครัวด้วย ผมขอ invent ศัพท์ใหม่เลยว่ามันคือ Famedy ก็คือ family กับ comedy นะครับ ทุกคนก็จะได้ความรู้สึกนี้แน่นอนครับ