26 ก.ย. 2562 | 16:39 น.
A River Runs Through It (1992)
และในปี 1990 นั่นเองที่โฆษณาของลีวายส์แจ้งเกิดเขาพร้อม ๆ กับการปรากฏตัวในหนังของริดลีย์ สก็อตต์ ตอกย้ำความสำเร็จด้วยหนังดรามาน้ำดี A River Runs Through It (1992) ที่เขารับบทเป็นพี่น้องกันกับ เคร็ก เชฟเฟอร์ นักแสดงดังของยุคและ True Romance (1993) หนังที่ทารันติโนเขียนบทและได้ โทนี สก็อตต์ -น้องชายแท้ ๆ ของริดลีย์- นั่งแท่นผู้กำกับ พิตต์ที่ปรากฏตัวเพียงไม่กี่ฉากแต่ก็ขโมยซีนสุด ๆ ด้วยใบหน้าหล่อเหลา แววตาขบถกับฉากดูดปุ๊นล่องลอย และตามมาด้วยหนังที่เขาประกบกับนักแสดงชายเบอร์ต้นอีกคนของยุคสมัยอย่าง ทอม ครูซ ใน Interview with the Vampire: The Vampire Chronicles (1994) ที่เสมือนว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาคำนึงถึงชื่อเสียงที่ได้รับและราคาที่เขาต้องจ่าย พิตต์ไม่ได้เป็นแค่ไอ้หนุ่มผมบลอนด์โนเนมอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นนักแสดงที่ดังเป็นพลุแตก กับลุก 'ขายหล่อ' ที่ทำให้เขาหายใจไม่เต็มปอด "จำได้ว่าตอนถ่ายหนังเรื่องนี้ทำผมเป็นบ้าไปพักนึง" เขาเล่า "จนวันหนึ่งผมโทรศัพท์หา เดวิด เก็ฟเฟ็น โปรดิวเซอร์หนังแล้วบอกว่า 'เดวิด ผมทำต่อไปไม่ไหวแล้วว่ะ ผมต้องจ่ายเท่าไหร่ถึงไม่ต้องทนทำมันอีกต่อไปแล้ว' และเขาตอบกลับมาอย่างสุภาพสุด ๆ ว่า 'สี่สิบล้านเหรียญไงพวก' แค่นั้นเลย" (จึงไม่แปลกที่พิตต์จะกัดฟันถ่ายต่อจนจบ) นั่นเพราะไม่มีใครในยุคนั้นกล้าปฏิเสธ -แม้แต่ตัวพิตต์เอง- ว่าเขาเป็นคนหน้าตาดี พิตต์เคยเย้าตัวเองเล่น ๆ ด้วยซ้ำไปว่า "ผมคือคนที่คุณจะเหม็นหน้าเพราะยีนหน้าตาที่ผมได้รับ" เขาว่า และไปพร้อม ๆ กัน มันก็ดูเหมือนจะเป็นปัจจัยที่ทำให้เขาอึดอัดด้วย "เวลาคุณเจอใครสักคน คุณคงไม่ได้มัวแต่ใส่ใจรูปลักษณ์ของเขาอย่างเดียวหรอกใช่ไหม มันก็แค่เป็นแว่บแรกที่เราเห็นตอนเจอกันเท่านั้นแหละ แต่มันก็จะมีคนอีกหลายคนเลยที่คุณไม่ได้สะดุดตาพวกเขาในตอนแรกหรอกครับ แต่พอลองคุยกันแล้วคุณก็สัมผัสได้ว่า คนคนนี้คือสิ่งที่สวยงามที่สุดในโลกเลย" อย่างไรก็ตาม ภายหลังอาการเคว้งคว้าง พิตต์จึงพบว่าตัวเองสับสนอยู่ในโลกของฮอลลีวูดที่ครั้งหนึ่งเขาเคยพยายามตะเกียกตะกายแทบตายเพื่อให้ได้เป็นส่วนหนึ่งของมัน และถึงวันหนึ่ง เมื่อเขาปีนไปถึงยอดเขาแล้ว พิตต์ก็พบว่าตัวเองงุนงงกับก้าวต่อไปของตัวเอง กับภาพลักษณ์ชายหน้าตาดี ขายรูปลักษณ์ดิบเถื่อน "สักประมาณกลางยุค 90 ที่ผมหลงทาง ไม่รู้ตัวเองจะเอายังไงต่อไปกับชีวิต ช่วงเวลานั้นมันวุ่นวายมาก เหมือนทุกที่เต็มไปด้วยเสียงดัง ๆ และความโกลาหล" พิตต์เล่า "ตอนนั้นแหละครับที่ผมได้เจอกับ เดวิด ฟินเชอร์ และเขานี่เองก็กอบกู้ซากผมไว้"Se7en (1995)
Se7en (1995) คือการพบเจอกันครั้งแรกระหว่างพิตต์กับฟินเชอร์ ผู้กำกับหนุ่มที่เพิ่งแจ้งเกิดจาก Alien 3 (1992) และคว้าใจพิตต์ได้ด้วยประโยคที่ว่า "นี่มันไม่ใช่หนังที่นายจะได้รับการจดจำหรือถูกพูดถึงหรอก แต่มันจะเป็นหนังที่นายจะภูมิใจกับมันมาก ๆ แน่นอน" และเป็นเช่นนั้น อย่างน้อยสำหรับพิตต์ที่สะบักสะบอมตลอดเรื่องในฐานะนักสืบหนุ่มไฟแรงที่ตามล่าตัวฆาตกรต่อเนื่องกลางกรุงนิวยอร์ค เขาเลือดท่วมระหว่างถ่ายทำฉากล้มฟาดไปกับกระจกรถจนโดนกระจกบาด มิหนำซ้ำยังถูกฟินเชอร์ลากไปถ่ายฉากซ้ำ ๆ จนกว่าจะพอใจ ตามสไตล์เขาที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้กำกับที่มักจะรีเทคอยู่บ่อย ๆ แม้ว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาดก็ตาม และต้องอยู่ในกองถ่ายที่อุดอู้หม่นทึมแทบตลอดเวลาเสียจนพิตต์ออกปากว่า เกวนเน็ต พัลโทรว ที่ร่วมแสดงในเรื่องนั้นเป็นเพียงแสงสว่างเดียวเท่าที่กองถ่ายจะมีได้แล้ว หากแต่ทุกความยากลำบากในตอนนั้นดูจะเป็นสิ่งที่พิตต์โหยหาพอดี เขาหลุดพ้นจากภาพลักษณ์หนุ่มขายหล่อไปสู่นักแสดงขายฝีมือ กับฉากมองดูกล่องกระดาษใบนั้นด้วยแววตาสับสน พิตต์กลายเป็นเพื่อนสนิทกับฟินเชอร์แทบจะในทันทีแม้จะห่างหายจากกันไปทำโปรเจกต์ส่วนตัว พิตต์ไประเบิดฟอร์มอีกครั้งในหนังของเทอร์รี่ กิลเลียมอย่าง Twelve Monkeys (1995) ด้วยบทไม่ขายหล่อเช่นเดิมเพราะมาในลุคคนคลั่งคุ้มดีคุ้มร้ายตลอดทั้งเรื่อง แถมยังชิงสมทบชายเวทีออสการ์ได้เป็นครั้งแรกจากเรื่องนี้ และ Seven Years in Tibet (1997) ที่ทำให้เขาถูกแบนจากประเทศจีนอย่างถาวรด้วยบทบาทสุ่มเสี่ยงในหนัง "แล้วตอนนั้นแหละที่ผมเริ่มรู้สึกว่า ตัวเองกลับมาสับสนอีกครั้ง" พิตต์ว่า "ไม่รู้จะเอายังไงต่อไปกับชีวิต หลงทางเหมือนเคย แล้วผมก็เจอกับฟินเชอร์อีกครั้ง เขาโผล่มาพร้อมโปรเจกต์หนังเรื่อง Fight Club และนี่แหละที่ผมแหกปากบอกเขาว่า กูเอาด้วย นี่แหละที่อยากแสดง" บทไทเลอร์ เดอร์เดนต์ คนทำสบู่ปริศนากลายเป็นภาพจำสำคัญของแบรด พิตต์ในวัย 35 ปี ที่ฟินเชอร์ดึงบุคลิกดิบเถื่อนของเขามาใช้ในหนังได้อย่างทรงพลัง เขาคือต้นแบบคนที่ชายหนุ่มทั่วไปอยากจะเป็นนั่นคือ ห้าว ห่าม และขบถต่อสังคมโลก ถึงนาทีนั้น พิตต์ก็ยืนอยู่ในจุดสูงสุด -กว่าที่เคยยืน- ในอุตสาหกรรมฮอลลีวูด เขาขึ้นปกนิตยสารแทบทุกหัว ติดโผหนุ่มเซ็กซี่ร้อนแรงจากหลายสำนักและหลายปีซ้อน (ภายหลังเขาออกมาให้สัมภาษณ์ว่า "ถามจริง เวลาผมมองตัวเองในกระจกก็เห็นแค่ไอ้ฟันเหลืองยืนเมาขี้ตาตลอดเวลาแหละ") แต่พิตต์ชัดเจนว่าเขาไม่ควรถูกผูกโยงด้วยภาพลักษณ์นี้เพียงอย่างเดียว ระยะต่อมาจึงเป็นช่วงเวลาที่เขาแสดงหนังสารพัดบททั้งหนังรัก หนังแอ็กชั่นไปจนหนังธริลเลอร์คอเมดีแบบ Ocean's Eleven (2001) ที่ประสบความสำเร็จจนมีภาคต่องอกตามมาอีกหลายภาค และซิตคอมอารมณ์ดี Friends ที่เขาไปโผล่รับเชิญร่วมจอกับคู่รักในชีวิตจริง ณ ตอนนั้นอย่างเจนนิเฟอร์ อนิสตัน และนั่นคือก่อนหน้าการมาถึงของ Mr. & Mrs. Smith (2005) ที่เขาประกบคู่กับนักแสดงสาวเบอร์ใหญ่ของโลกอย่างแองเจลินา โจลี มันได้กลายเป็นหนังที่หลายคนจับตาตั้งแต่ประกาศสร้าง เพราะนี่คือการเจอหน้ากันครั้งแรกของสองนักแสดงชายหญิงที่ต่างเป็น 'ตัวท็อป' ของฮอลลีวูดทั้งคู่ และยิ่งไปกว่านั้น ภายหลังหนังออกฉาย พิตต์ประกาศเลิกกับอนิสตันและคบหากับโจลีอย่างเปิดเผย คู่รักโจลี-พิตต์กลายเป็นคู่รักที่อยู่ทุกพาดหัวของทุกสื่อในทันที และเป็นเช่นนั้นอยู่นานหลายปีจนทั้งคู่เลิกราอย่างเป็นทางการในปี 2016 ที่โจลีและพิตต์ล้วนต้องเผชิญหน้ากับกองทัพปาปารัซซีและสื่อมวลชนที่รุมขย้ำชีวิตส่วนตัวทั้งสองในทุกมิติ พิตต์หวนกลับไปติดสุราอย่างรุนแรงอีกครั้ง ขณะที่โจลีเงียบหายไปใช้ชีวิตอยู่กับลูก ๆ กลับมาที่งานแสดง เป็นที่แน่ชัดว่าเขามุ่งมั่นจะรับงานที่หลากหลายทั้งเท่ระเบิดจาก The Assassination of Jesse James by the Coward Robert Ford (2007) และบทคนบ๊อง ๆ ในหนังบวม ๆ ของพี่น้องโคเอน Burn After Reading (2008) หวนกลับมาร่วมงานกับฟินเชอร์อีกหนใน The Curious Case of Benjamin Button (2008) ที่ส่งเขาชิงออสการ์สาขานำชายยอดเยี่ยม มาจนถึงบทนายทหารอิตาเลียนเก๊ ๆ ในหนังทะลุโลกของทารันติโนจาก Inglourious Basterds (2009) ช่วงนั้นดูเหมือนจะเป็นช่วงที่พิตต์สนุกสนานกับการแสดง เขาสวมร่างสารพัดทั้งเป็นคุณพ่อในหนังแสนจะเป็นบทกวีอย่าง The Tree of Life (2011) ของเทอร์เรนซ์ มาลิค (ว่ากันว่าเขาปล่อยให้พิตต์แสดงฉากเค้นอารมณ์สุดขีด แต่หันไปถ่ายผีเสื้อที่บินมาเกาะนิ้วเจสสิก้า เชสแทน-นักแสดงร่วมในเรื่องแทน) กับ Moneyball (2011) ที่ส่งเขาชิงนำชายอีกครั้งกับการรับบทแสนจะธรรมดาของผู้จัดการทีมเบสบอล ที่กระชากคนดูไปสู่ห้วงแตกหักทางอารมณ์ได้อย่างทรงพลังในฉากท้ายเรื่อง และเขาปิดท้ายปีด้วยการไปพากย์เสียงให้หนังแอนิเมชันมุ้งมิ้งอย่าง Happy Feet Two (2011) กับปี 2019 นี้ พิตต์กลับมาทวงบัลลังก์ (ซึ่งอันที่จริง เขาอาจไม่เคยเสียตำแหน่งนี้ไปให้ใครด้วยซ้ำ) เบอร์ต้น ๆ ของฮอลลีวูดอีกครั้ง ด้วยการอยู่ในหนังฟอร์มยักษ์ของเรื่อง คือ Once Upon a Time... in Hollywood และ Ad Astra ซึ่งก็อีกเช่นเคย ตัวละครที่พิตต์รับบทนั้นแตกต่างจากอีกเรื่องอย่างสุดขั้ว เขาคือสตันต์แมนที่สาวหมัดใส่หน้าคนทั้งโลกในหนังของทารันติโน ไม่อ่อนไหวกับอะไรง่าย ๆ และเข้มแข็งอยู่เสมอ ไปพร้อม ๆ กับที่เป็นนักบินอวกาศแสนโดดเดี่ยวเปราะบางในหนังลำดับล่าสุดของเจมส์ เกรย์ ทั้งหมดนี้ คงพอสะท้อนได้ว่า พิตต์นั้นออกเดินมาไกลแสนไกลจากการเป็นชายหนุ่มผมบลอนด์ทั่ว ๆ ไปในฮอลลีวูด สู่นักแสดงมากฝีมือที่พร้อมพิสูจน์ตัวเองทุกบทบาทเรื่อยมานั่นเอง