ภาพหญิงสาวที่ค่อย ๆ โผล่เรือนกายของตัวเองออกมาจากแอ่งน้ำตกของป่าเขตร้อนในทะเลแคริบเบียน แล้วค่อยเผยผิวสีเข้มแทนที่แลดูกรำแดดนิด ๆ ทว่าก็เปล่งประกายมันวาว ทำให้ทุกสายตาต่างจับจ้องมองเธอ ทั้งสายตาของนักแสดงในมิวสิควิดีโอเพลง ‘Waiting for Tonight’ และสายตาของผู้ชมรายการเพลง MTV ซึ่งในช่วงปี 1999-2000 ต่างก็เหมือนโดนสะกดด้วยมนต์เสน่ห์เฉพาะตัวของสาวลาตินสุดเซ็กซี่คนนี้
หลายคนอาจลืมไปว่าหญิงสาวคนดังกล่าวคือคนเดียวกับนักแสดงที่รับบทนำในภาพยนตร์แนวชีวประวัติ ที่ถือได้ว่าเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของเธออย่าง Selena ซึ่งเป็นชื่อของนักร้องสาวอเมริกันเชื้อสายเม็กซิกันผู้ล่วงลับ หรือจะบทตำรวจสาวสะโพกสุดสะบึมนามว่า คาเรน ซิสโก ผู้สะกดใจอาชญากรหนุ่มใหญ่อย่าง แจ็ก โฟลีย์ (แสดงโดย จอร์จ คลูนีย์) ในภาพยนต์ดังปี 1998 อย่าง Out of Sight หรือจะบทนักสร้างหนังสารคดีสัตว์ผู้หาญกล้า เทอร์รี ฟลอเรส ในภาพยนตร์สุดระทึกต้นตำรับหนังภาคต่องูยักษ์อย่าง Anaconda
หากคุณยังนึกไม่ออกว่าเธอคนนี้คือใคร สิ่งเดียวที่อาจจะพอทำให้คุณร้องอ๋อขึ้นมาได้ก็คือ ชุดสีเขียวสดนกแก้วมาคอร์ ของแฟชันเฮาส์สุดหรูอย่าง Versace ที่แหวกคว้านลึกเห็นเนินอกและผิวสีแทน ซึ่งไม่ต่างอะไรจากภาพในมิวสิควิดีโอที่เธอเล่นเอาไว้ เธอปรากฏกายในชุดดังกล่าวเคียงข้างคนรู้ใจ ณ ขณะนั้น อย่างแรปเปอร์หนุ่มผิวสีพราวเสน่ห์และแบดบอยตัวฉกาจอย่าง พัฟฟ์ แดดดี้ ในงาน Grammy Awards ครั้งที่ 42 ในปี 2000 จนเป็นที่มาของการคิดค้นและเปิดตัว Google Images และเพิ่งมีการเฉลิมฉลองความสำเร็จของชุดที่ว่าไปในแฟชันคอลเล็กชันล่าสุดของ Versace ใน มิลาน แฟชัน วีค ที่เพิ่งผ่านมา
เกริ่นมาเสียยาวขนาดนี้ คุณผู้อ่านคงจะนึกออกกันแล้วว่าผู้หญิงระดับไอคอนที่พูดถึงคนนี้คือใคร…ใช่แล้ว! จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากไอคอนและซูเปอร์สตาร์ลาตินคนดังนามว่า เจนนิเฟอร์ โลเปซ (Jennifer Lopez) หรือ JLo ที่แฟน ๆ ทั่วโลกรู้จักเธอกันเป็นอย่างดีนั่นเอง
ก่อนจะมาเป็น JLo
JLo หรือชื่อเต็ม ๆ เจนนิเฟอร์ ลินน์ โลเปซ เป็นแรงบันดาลใจให้ใครต่อใครหลาย ๆ คน รวมทั้งผมด้วย (สมัยเรียนผมตั้งใจเรียนภาษาสเปนและภาษาอังกฤษก็เพราะเธอ) ชีวิตในวงการมายาฮอลลีวูดของเจนนิเฟอร์ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เธอต้องเริ่มจากการรู้จักว่าตัวตนที่แท้จริงของเธอนั้นเป็นใคร และจากนั้นก็ผลักดันตัวเองไปให้สุดแรงเกิด
เจนนิเฟอร์เป็นหญิงสาวอีกคนที่เป็นตัวแทนของคนตัวเล็กตัวน้อยที่มีฝัน และต้องฝ่าฟันอุปสรรคและความท้าทายต่าง ๆ ด้วยตัวเอง เพราะเธอไม่ได้มีต้นทุนในชีวิตมามากนัก ด้วยความจริงที่ว่าเธอเกิดและเติบโตในครอบครัวผู้พยพชาวปัวร์โตริกันในย่าน Bronx ของมหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นย่านที่เธอเรียกจนติดปากว่า ‘The Block’ (เป็นที่มาของชื่อเพลง ‘Jenny from the Block’ ในอัลบั้ม This is me…Then) ย่านนี้เป็นย่านที่คนหาเช้ากินค่ำชาวผิวสีและชาวลาตินอพยพกันมาอยู่อย่างหนาแน่น โดยเฉพาะชาวปัวร์โตริกัน ซึ่งเรียกตัวเองว่า ‘New Yorican’ หรือชาวนิวยอร์กเชื้อสายปัวร์โตริโก
เจนนิเฟอร์ใฝ่ฝันถึงชีวิตที่ดีกว่าเดิม และสิ่งที่เธอเลือกก็คือเส้นทางบันเทิง ในสารคดี JLo: Let’s get real เจนนิเฟอร์เผยว่าเส้นทางที่เธอเลือกเดินนั้น “ทุกคนแข่งขันกันเป็นอย่างมาก คุณต้องโฟกัสให้ดี และไม่อาจจะลังเลหรือเดินกลับหลังได้ แต่ฉันก็รู้ตัวดีว่าฉันไม่มีวันทำอย่างนั้น เพราะนี่คือสิ่งที่ฉันต้องการทำให้ได้” ในที่สุด หญิงสาวก็เริ่มพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าเธอทำได้ทั้งสายการแสดงและการร้องเพลง
ในปี 2001 อัลบั้มเพลงชุดที่สองที่ใช้ชื่อว่า J.Lo ซึ่งสั้นและบ่งบอกว่าเธอคือใครได้ดีกว่าชื่อที่คิดไว้ก่อนหน้านั้นอย่าง A Passionate Journey ส่งให้ซิงเกิลแรกที่มีชื่อว่า ‘Love Don’t Cost a Thing’ ทะยานขึ้นสู่อันดับหนึ่งของ Billboard Chart พร้อมกันนั้นในห้วงเวลาไล่ ๆ กัน ภาพยนตร์ rom-com หรือโรแมนติกคอเมดี ที่ดูง่ายและสนุกตามรสนิยมหนังทำเงินอย่าง The Wedding Planner ก็กวาดรายได้เป็นอันดับหนึ่งในตาราง Box Office เช่นกัน นี่ทำให้เธอกลายเป็นเอ็นเตอร์เทนเนอร์อเมริกันเชื้อสายลาตินหรือฮิสแปนิกคนแรกในประวัติศาสตร์ฮอลลีวูด ที่มีผลงานเข้าตาและได้รับความนิยมจากแฟน ๆ เป็นอันดับหนึ่งพร้อม ๆ กันทั้งสายดนตรีและการแสดง
แต่กว่าจะมาถึงจุดสูงสุดครั้งนี้ เจนนิเฟอร์ก็รู้รสของการตกเป็นดาวดวงเล็ก ๆ ที่ต้องเป็นแสงประดับให้กับ ‘mega star’ หรือเอ็นเตอร์เทนเนอร์เบอร์ต้น ๆ ของวงการมาแล้วเป็นอย่างดี ที่เธอเต้นเก่งและได้เป็นกรรมการในรายการแหวกฟ้าคว้าดาวสุดฮิตของอเมริกาอย่าง American Idol ทั้งยังเผยท่าทีที่แสดงให้เห็นถึงความเข้าอกเข้าใจผู้เข้าแข่งขัน และได้ใจผู้ชมโทรทัศน์ทางบ้านไป ก็คงจะเป็นเพราะว่าครั้งหนึ่งเจนนิเฟอร์ก็เคยยืนอยู่จุดนั้นมาก่อน
ครั้งหนึ่งเจนนิเฟอร์เคยเป็นแดนเซอร์และนักแสดงประกอบในมิวสิควิดีโอเพลง ‘That’s the Way Love Goes’ ของดีว่าผิวสีอย่าง เจเน็ต แจ็กสัน โดยเจนนิเฟอร์เผยในการสัมภาษณ์หลาย ๆ ครั้งว่า เจเน็ตคือไอดอลของเธอ มากพอ ๆ กับที่เจนนิเฟอร์ยกให้มาดอนน่าเป็นไอดอล ทั้งเจเน็ตและมาดอนน่าล้วนสร้างแรงบันดาลใจและผลักดันให้เจนนิเฟอร์เข้าสู่วงการ จนกลายมาเป็นปรากฏการณ์ของวงการฮอลลีวูดทั้งสายร้องและสายเต้นจวบจนทุกวันนี้
ดีว่าและไอคอนลาติน ในแบบฉบับ JLo
การเดินทางของเจนนิเฟอร์ในเส้นทางมายาฮอลลีวูดนั้นผ่านมาแล้วกว่าสองทศวรรษ นำมาซึ่งภาพลักษณ์ความเป็นซูเปอร์สตาร์หรือดีว่าที่ใครหลาย ๆ คนอยากเดินตามรอย ซึ่งหนึ่งในหลายสิ่งที่แฟน ๆ จดจำสาวลาตินคนนี้ได้ดีก็คือความเป็น ‘ผู้หญิง’ ในตัวเธอ
เจนนิเฟอร์ภูมิใจในตัวตนที่เป็นคนลาติน รวมไปถึงเรือนกายที่ไม่ได้เป็นไปตามบรรทัดฐานความงามของสาวผิวขาวมากนัก เธอมีเรือนกายที่คนขาวหลาย ๆ คนมองว่าเร่าร้อนและยั่วยวน ซึ่งอาจแลดูหมิ่นเหม่และไม่ได้เป็นเรือนกายที่เป็นอารยะและงดงามตามแบบฉบับของประเทศที่มีคนขาวกุมอำนาจนำทางความงามของผู้หญิงอย่างอเมริกานัก
นักร้องและนักแสดงชื่อดังรู้ดีว่านี่เป็นผลของยีนส์ที่ได้รับมาจากการผสมผสานทางชาติพันธุ์ ซึ่งเป็นอัตลักษณ์อย่างหนึ่งที่ปรากฏออกมาเด่นชัดของสาวลาตินส่วนใหญ่ สะโพกสุดสะบึม หุ่นแบบลูกแพร์ที่มีส่วนเว้าส่วนโค้ง ซึ่งเธอก็ไม่ได้ปฏิเสธมันแต่อย่างใด แต่ก็ทำให้ช่วงแรก ๆ ในวงการฮอลลีวูด เจนนิเฟอร์ถูกมองว่าเป็นสาวลาตินที่ขายเฉพาะภาพความเซ็กซี่ ซึ่งในตลาดอเมริกันมีภาพตัวแทนของสาวลาตินแบบนี้อยู่ในหัวอยู่แล้วไม่มากก็น้อย ดูได้จากนักแสดงหญิงลาตินหลาย ๆ คนที่ตบเท้าเข้าสู่ฮอลลีวูดก็ต้องประเดิมด้วยบทเซ็กซี่และสวยแบบเอ็กซอติกกันเป็นส่วนใหญ่ เพราะภาพตัวแทนของสาวลาตินนั้นถูกวางไว้เป็นแบบนี้ (ไม่ว่าจะเป็น ซัลมา ฮาเย็ก ใน Dusk till Dawn หรือ เปเนโลเป ครูซ ใน Woman on Top)
แม้ภาพลักษณ์สาวลาตินในสายตาฮอลลีวูดจะเป็นอย่างนั้น แต่เจนนิเฟอร์ก็รู้จักต่อรองกับอำนาจและการจดจ้องมองส่วนนั้นบนเรือนกายของเธอ โดยทำให้ภาพสาวลาตินนั้นเลื่อนไหลไปมาได้อย่างชาญฉลาดผ่านผลงานเพลงและการแสดง หญิงสาวแสดงให้แฟน ๆ ได้ประจักษ์ว่า เธอเป็นได้ทั้งสาวเอ็กซอติกผิวสีน้ำตาลที่เย้ายวน และสาวนิวยอร์กสมัยใหม่ที่ทำงานเป็นมืออาชีพได้ในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยผู้ชายในวงการฮอลลีวูด
เจนนิเฟอร์เป็นทั้ง ‘Jenny from the Block’ และสาวลาตินเชื้อสายปัวร์โตริโกที่ผู้ชายมักผิวปากใส่ เจนนิเฟอร์รู้ว่าเรือนกายของเธอ โดยเฉพาะ ‘สะโพก’ เป็นสินทรัพย์ที่เป็นใบเบิกทางให้เธอเอาไว้ต่อรองให้คนยอมรับในศักยภาพการแสดงได้ เจนนิเฟอร์รู้ว่าชุด ‘the Dress’ สีเขียวลายใบไม้ในป่าดิบชื้น จะขับรัศมีให้เธอโดดเด่นกว่าใคร แม้ว่าชุดนี้จะถูกสไตลิสต์ส่วนตัว ณ ขณะนั้น ห้ามไม่ให้ใส่ เพราะเห็นว่าเคยมีศิลปินคนอื่นรวมถึงดีไซเนอร์เองใส่ออกงานจนช้ำมาแล้ว แต่นักร้องสาวก็ยังยืนยันที่จะใส่ เพราะรู้ว่ามันเป็นชุดที่ใช่สำหรับตัวเอง จุดนี้ทำให้เห็นชัดว่า เจนนิเฟอร์รู้จักใช้เรือนกายที่เอ็กซอติกเป็นต้นทุนทางทางสังคมและวัฒนธรรมได้อย่างชาญฉลาด และสามารถต่อยอดไปสู่ธุรกิจต่าง ๆ ทั้ง เสื้อผ้า น้ำหอม และงานโปรดักชันอื่น ๆ อีกมากมาย ในเศรษฐกิจโลกสมัยนี้ที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน
คงไม่ผิดจากความเป็นจริงนัก ถ้าจะบอกว่าเจนนิเฟอร์คือต้นแบบของ ‘Woman of choice’ หรือผู้หญิงที่มีอำนาจกระทำการต่าง ๆ ด้วยตัวเองได้เป็นอย่างดี ยกตัวอย่างชีวิตส่วนตัว ที่นอกจากเธอเคยเป็นคนรักและภรรยาของ มาร์ก แอนโทนี นักร้องหนุ่มชาวปัวร์โตริกันชื่อดัง ที่แม้จะเลิกรากันแต่ก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ และเป็นคุณแม่ที่น่ารักของลูกแฝดสองคนอย่างแม็กซ์และเอ็มมี เจนนิเฟอร์ยังพิสูจน์ให้เห็นว่าผู้หญิงก็มีอิสระและปลดแอกจากการถูกตีตราด้วยค่านิยมของสังคม
เธอกล้าที่จะเป็น ‘นักรัก’ ในวัยต่าง ๆ ของการเป็นผู้หญิง ทั้งออกเดทกับผู้ชายที่เด็กกว่าอย่าง แคสเปอร์ สมาร์ท หรือ คริสต์ บราวด์ อดีตแดนเซอร์คู่ใจ หรือจะหนุ่มหล่อเจ้าเสน่ห์อย่าง เบน แอฟเฟล็ก และ โอฆานิ โนอา หนุ่มลาตินเชื้อสายคิวบา และตอนนี้ในวัย 50 กะรัต เธอก็ยังเดินหน้าลัคกี้อินเลิฟต่อไป พร้อม ๆ กับลักกี้อินเกม ด้วยการควงคู่สวีทหวานกับหนุ่มใหญ่อย่าง ‘A-Rod’ หรือ อเล็กซ์ โรดริเกซ อดีตนักเบสบอลทีมชาติอเมริกันเชื้อสายโดมินิกัน ที่ทั้งคู่ก็มาพร้อมกับลูกติดจนต้องรับบทพ่อและแม่และคนรักไปพร้อม ๆ กัน ทว่าก็ดูเหมือนทั้งคู่จะทำได้ดีทั้งสองอย่าง
2019 ปีทองของ JLo
ดูเหมือนว่าปีนี้อะไรต่อมิอะไรจะเป็นใจให้เจนนิเฟอร์ ผู้ซึ่งยังคงโยกย้ายและขับร้องเพลง ‘On the Floor’ บนเวทีแห่งวงการมายาฮอลลีวูดมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน จะเดินทางสู่อีกช่วงที่ดีที่สุดในสายงานต่าง ๆ ของเธออีกครั้ง เมื่อผลงานการแสดงในภาพยนตร์เรื่องล่าสุดอย่าง Hustlers เป็นที่กล่าวถึงของนักวิจารณ์ภาพยนตร์ในเชิงบวก และว่ากันว่าเป็นการแสดงที่ดีที่สุดบทหนึ่งของเจนนิเฟอร์ นับตั้งแต่ Selena ที่ออกฉายในปี 1997
ไม่เท่านั้น ชื่อของเจนนิเฟอร์ยังได้รับการประกาศให้เป็นศิลปินที่จะแสดงระหว่างการพักครึ่งการแข่งขันอเมริกันฟุตบอลอย่าง Super Bowl ซึ่งจะเป็นการแสดงแบบสด ๆ บนเวทีที่ไมอามี่ เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของคนลาตินในโลกสมัยใหม่ ร่วมกับนักร้องหญิงลาตินชาวโคลอมเบียที่โด่งดังอีกคนอย่าง ชากีรา
งานนี้ถ้าใครนึกไม่ออกว่าภาพความยิ่งใหญ่และความสนุกสนานจะเป็นอย่างไร อาจลองดูบรรยากาศในมิวสิควิดีโอ ‘Let’s get loud’ ในอัลบั้ม On the 6 ซึ่งเป็นภาพการแสดงคอนเสิร์ตกลางแจ้งที่ได้รับการถ่ายทอดออกมาเป็นมิวสิควิดีโอได้อย่างออกรส ทำให้วัยรุ่นตอนปลายอย่างผมและเพื่อน ๆ ยุคมิลเลนเนียลได้รู้จักกับคำในภาษาสเปนที่ว่า ‘el ritmo latino’ หรือท่วงทำนองลาติน อันเป็นปฐมบทของการประกาศให้ฮอลลีวูดรู้ว่าชื่อ เจนนิเฟอร์ ลินน์ โลเปซ เป็นผู้หญิงลาตินที่มิใช่เป็นเพียงแค่ ‘the object of gaze’ หรือวัตถุที่ใคร ๆ ต่างจ้องมอง
แต่เธอสามารถเปล่งประกาย และปล่อยพลังให้ทุกคนเห็นว่าเธอเป็นได้มากกว่านั้น จนโลกบันเทิงต้องจารึกไว้ใน ‘Hall of Fame’!