02 ต.ค. 2562 | 16:14 น.
ย้อนกลับไปเมื่อ 19 ปีที่แล้ว ในใจกลางมหานครนิวยอร์ก เด็กวัยรุ่นไทยสามคนผู้มีความฝันเหมือนกัน ประกอบด้วย ขัน, เวย์ และเดย์ ได้ก่อตั้งวงดนตรีแนวฮิปฮอป โดยใช้ชื่อว่า “THAITANIUM” ขึ้นมา ซึ่งเวลาผ่านไปเกือบสองทศวรรษ พวกเขากลายเป็นต้นแบบและผู้บุกเบิกวงการเพลงฮิปฮอปในไทย
มองกลับไปตอนนั้นคงไม่มีใครเชื่อว่าพวกเขาจะสามารถประสบความสำเร็จได้ ขนาดตัวทั้งสามเองก็ยังไม่เชื่อเช่นกัน แต่ด้วยความมุ่งมั่นและความตั้งใจในดนตรีที่ตัวเองรัก บวกกับการแรปของทั้งสามที่สะท้อนตัวตนออกมาได้ชัดเจน ทั้งหมดกลายเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้วงมาไกลได้ขนาดนี้ แต่วันที่ 2 ตุลาคม ปี 2562 “เวย์” ปริญญา อินทชัย เพิ่งจะประกาศลาออกจากวง ด้วยเหตุผลว่าชีวิตนั้นเดินทางมาถึงทางแยกที่เขาจำเป็นต้องตัดสินใจ นั่นหมายถึงนี่คือช่วงเวลาที่ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป
“จงทำต่อไป เราจะทำให้ดีขึ้นอย่างไร ผมอยากจะเป็นคนที่เก่งขึ้น” นี่คือประโยคที่ชายคนนี้เคยนั่งพูดคุยกับเรา แน่นอนมันสะท้อนถึงความตั้งใจและความทะเยอทะยานส่วนตัวของเขาที่มีให้กับดนตรี
ปัจจุบัน เวย์ มีผลงานเดี่ยวภายใต้ชื่อ DABOYWAY และกำลังจะมีอัลบั้มเต็มของตัวเองที่ออกกับค่ายใหญ่ระดับโลกอย่าง Def Jam Thailand ซึ่ง The People มีโอกาสนั่งคุยกับชายคนนี้ในหลาย ๆ เรื่อง ทั้งจุดเริ่มต้นของการเป็นแรปเปอร์ ความซื่อสัตย์ในฐานะหัวหน้าครอบครัว ความประทับใจแรกของวง THAITANIUM และความหลงใหลในทีมอเมริกันฟุตบอลอย่าง นิวยอร์ก ไจแอนท์
The: People: ย้อนกลับไปตอนเด็ก ๆ เคยคาดฝันไหมว่าวันนี้จะกลายเป็นแรปเปอร์
เวย์: ไม่เคยคิดว่าจะเป็นแรปเปอร์ แต่ชอบร้องเพลง คือตั้งแต่เด็กจะชอบร้องเพลงในห้องน้ำ เวลาอาบน้ำ เวลาทำงาน หรืออยู่ในบ้าน หรืออะไรก็แล้วแต่ ก็ร้องเพลงตลอด เคยเรียนร้องเพลงตั้งแต่เด็ก แต่จริง ๆ แล้วไม่ได้คิดว่าจะเป็นนักร้อง อยากเป็นนักแสดงมากกว่า
พอได้มาทำ Teen 8 Grade A เอาเป็นว่าทัศนคติไม่ดีเลยตอนนั้น เราเป็นเด็กวัยละอ่อนที่ไม่ได้ชอบการถูกจับมาเป็นกลุ่มเลย แต่ว่าพอย้อนกลับไปมอง ถ้าไม่มีวันนั้น มันก็ไม่มีวันนี้ เพราะว่าตอนนั้นก็เอาข้อมูลจากตอนที่อยู่ตรงนั้นมาใช้ใน THAITANIUM คือไม่ได้ชอบ vibes มันไม่ใช่ตัวเรา ซึ่งพอออกไปอัลบั้มหนึ่ง คนก็น่าจะรู้ว่ามันไม่ใช่ มันก็บอกด้วยตัวมันเอง แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่เอามาใช้ในงานเพลงของ THAITANIUM
The: People: หลังจากมีครอบครัว แนวเพลงก็เริ่มเปลี่ยนไป
เวย์: ในบางเพลง คอนเซ็ปต์มันก็โตขึ้น เรื่องราวที่เล่ามันก็อาจจะเป็นมุมมองที่ต่างจากตอนที่เราอายุ 20-23 แน่ ๆ มันก็คือการเติบโตกับการเป็นศิลปิน
The: People: เคยเป็นผู้ชายเกเรมาก่อน การมีครอบครัวเปลี่ยนคุณอย่างไร
เวย์: ผมคือแรปสตาร์ ที่ทัวร์ ปาร์ตี้ ไลฟ์สไตล์ แต่ว่ามันไม่ใช่สิ่งเดียวที่ผมสนใจ แม้ภาพลักษณ์อาจจะดูไม่ดี แต่ทุกวันนี้ผมก็ยังเป็นผม แต่ว่าตั้งแต่แรก focus ของผมมันคือ เราจะเป็นคนที่ดีขึ้นอย่างไร เราจะโตขึ้นอย่างไร เราจะทำในสิ่งที่ตัวเองรักตลอดไปได้อย่างไร พอเจอคุณนานา (ภรรยา) เธอทำให้ผมเป็นคนที่ทำงานหนักขึ้น อายุเท่ากัน แต่เธอมีทุกอย่าง มีบ้าน มีรถ ดูแลพ่อแม่ คือตอนนั้น ในช่วงนั้น ผมยังไม่คิดว่าผมจะอยู่เมืองไทยแบบถาวร เพราะจะกลับไปใช้ชีวิตที่อเมริกา จนเจอเขา เหมือนเขากระตุ้นให้ผมโตขึ้น ในช่วงนั้นคือแค่ใช้ชีวิตแบบไม่ได้แคร์อะไรเลย ไม่มีใครสามารถบอกอะไรได้ จนถึงวันหนึ่งที่เราโอเค เราไม่สามารถทำแบบนี้ได้ตลอด
The: People: ในฐานะหัวหน้าครอบครัว เรานิยามคำว่าความซื่อสัตย์อย่างไร
เวย์: ความซื่อสัตย์คือทีม ไม่ว่ายังไง ถ้าเราสร้างทีมขึ้นมาแล้ว ทีมนี้จะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต ถึงทีมจะมีช่วงขาลงหรือขาขึ้น หรือจะมีสิ่งที่ดีหรือไม่ดี นี่แหละเราอยู่ด้วยกันเป็นทีมแบบนี้ การสื่อสารทำให้เราเป็นทีม ทำให้เราเป็นหนึ่งเดียว ชายที่มีครอบครัวคุณต้องมีความรับผิดชอบว่า เด็ก ๆ โอเคไหม? ทุกคนโอเคนะ? ที่รักโอเคแล้วนะ? โอเคผมไปสตูดิโอล่ะ ถ้าต้องการอะไรผมอยู่ที่สตูฯ เธอให้อิสรภาพกับผมเพื่อให้ผมทำในสิ่งที่ผมอยากทำ และในฐานะผู้ชายผมต้องเคารพเขาเช่นกัน
The People: ปัจจุบันมีลูกเล็ก แต่ดนตรีที่ทำหรือเสพแอบมีคำหยาบคายและความรุนแรง ลูกได้ฟังเพลงของคุณบ้างไหม แล้วคุณมีวิธีสอนลูกอย่างไร
เวย์: ตอนที่พวกเขาได้ยินผมพูดว่า f.ck, sh.t หรืออะไรก็แล้วแต่ เขาจะแด๊ดดี้ มันเป็นคำไม่ดีเลย ผมก็จะแบบใช่แล้ว มันไม่ดี มันเป็นคำที่ผู้ใหญ่เขาใช้กัน มันอาจจะเป็นคำที่ไม่ดีสำหรับเด็กอายุเท่าลูก แต่บางทีในอนาคต ถ้าลูกคิดว่าลูกจะต้องใช้มัน แค่รู้จักมันก่อนใช้พอ สำหรับเพลงของผม ผมก็ไม่ได้แบบว่ากระซิบ... ผมใช้มันเมื่อจำเป็น หรือผมจะสื่อสารอะไร ถ้าเขาได้ยินแบบแด๊ดดี้พูดว่าโง่ ผมก็จะโอเค...แด๊ดดี้หมายถึงแบบนั้นในเพลงนะ
The: People: ส่วนตัวคุณนิยามดนตรีฮิปฮอปยังไง
เวย์: ถ้าจะพูดให้น้ำเน่าหน่อยมันก็คือชีวิตนะ สำหรับผมดนตรีฮิปฮอปมันคือชีวิต มันเป็นมากกว่าเพลง มันคือไลฟ์สไตล์ แฟชั่น การแต่งตัว การพูด การคิด
The: People: ส่วนใหญ่เพลงของเวย์จะมีเนื้อหาเป็นเรื่องราวของชีวิต ความคิด และตัวตน เคยคิดจะลองทำเพลงที่สะท้อนเรื่องราวหนัก ๆ ของสังคม เช่น เรื่องการเมืองดูบ้างไหม
เวย์: ผมเองก็มี opinion ส่วนตัวเรื่องการเมืองของไทยเหมือนกัน แต่ว่าผมไม่ได้รู้ลึก เพราะผมอ่านหนังสือไม่ออก การที่จะเข้าใจเรื่องนี้คุณต้องสามารถรับรู้ข้อมูลแบบนั้นได้ ผมก็ไม่ได้ดูทีวีนอกเหนือจากสิ่งที่ภรรยาบอก แต่ถ้าต่างชาติผมสามารถหาข้อมูลหรืออ่านได้ นั่นหมายความว่าเรื่องไหนที่ผมไม่รู้ผมก็จะไม่พูด เพลงไหนที่ผมปล่อยไปแล้ว ผมก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับผลตอบรับ แต่ว่าส่วนตัวผมไม่ได้ต่อต้านคนที่เขาจะมี opinion ในฮิปฮอป ผมคิดว่ามันดีมาก ๆ เพราะว่ามันเป็นช่องทางที่คุณควรจะปล่อยความรู้สึกของคุณออกไป แค่คุณรับผิดชอบกับสิ่งที่พูดออกไปก็พอแค่นั้นเอง
The: People: คุณมองว่าศิลปินไทยมีอิสระในการทำเพลงแรปที่ตรงไปตรงมามากขนาดไหน
เวย์: จริง ๆ ผมไม่รู้ว่ามันสามารถลงลึกได้ขนาดไหน แต่มันก็ต่างจากอเมริกาประมาณหนึ่ง คืออเมริกามีอิสรภาพในการจะพูดอะไรก็ได้ คุณสามารถพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดได้จริง ๆ แต่ในบ้านเรา เรามีความเป็นไทยที่แฝงอยู่ในวัฒนธรรมของเรา ความเกรงใจก็มี แต่ว่าอย่างที่บอก ผมไม่ต่อต้านคนที่เขามีความคิดเป็นของตัวเอง และสามารถโต้เถียงกันได้โดยใช้ความรู้เป็นพื้นฐาน ซึ่งถ้าคุณรู้ว่าตัวเองมีความรู้เรื่องนี้ก็สามารถพูดได้ สามารถปกป้องสิ่งที่ตนคิดได้ มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น ทุกคนควรจะมีอิสระในการได้ปลดปล่อยสิ่งที่ตัวเองคิด แต่ว่าในบ้านเราผมไม่รู้จริง ๆ ว่า freedom of speech มันขนาดไหนในเมืองไทย
The: People: ปัจจุบันวงการฮิปฮอปเติบโตเป็นดนตรี mainstream คุณรู้สึกยังไงหลังจากที่เราเรียกได้ว่าเป็นผู้บุกเบิกมันขึ้นมาคนแรก ๆ
เวย์: ผมว่ามันถึงเวลาที่ควรจะแบบนั้น ผมเปรียบเทียบว่าฮิปฮอปในเมืองไทยเหมือนเป็นเด็กอายุ 20 ที่กำลังเดือด กำลังคะนอง ซึ่งมันควรจะเป็นแบบนั้น ส่วนตัวก็ไม่ได้เซอร์ไพรส์ที่มันเป็นเหมือนที่มันเป็นอยู่ทุกวันนี้ แต่เราจะยังเก็บความ authentic ของมันเอาไว้ให้อยู่ต่อไปได้อย่างไร เรามีสไตล์ของเราที่ชัดเจน นอกเหนือจากซาวนด์ดนตรีที่มัน trending หรืออะไร เราอยากให้มันรักษาคุณภาพของมัน ให้มันไปต่อได้ วงการเพลงฮิปฮอปก็คือทีมทีมหนึ่งเหมือนกัน
The: People: คุณเคยพูดว่า เวลานึกถึงไทเทเนี่ยม คุณมักจะจำเหตุการณ์ที่เดินไปติดโปสเตอร์อัลบั้ม Thai Riders แล้วพูดว่า “อีก 10 ปีหลังจากนั้น เราจะยังทำกันอยู่ไหม” ส่วนตัวช่วงเวลานั้นสำคัญกับคุณอย่างไร
เวย์: yeah ผมจำได้ ตอนนั้นอยู่ที่นิวยอร์ก และกำลังเดินไปแปะโปสเตอร์ตามร้านอาหารไทย ผมยืนอยู่ที่ตรงหัวมุมของยูเนียนสแควร์แล้วก็หันไปพูดกับเพื่อน ๆ ว่า ‘คิดว่าอีกสิบปีจะเป็นยังไง เราจะยังคงทำแบบนี้กันอยู่ไหม?’ ณ ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดว่ามันจะไปไกลขนาดนี้ แต่รู้ว่าตัวเองตอนนั้นมีความมุ่งมั่น ความมั่นใจที่จะทำต่อไปเรื่อย ๆ ก็ยังไม่รู้ว่าผลตอบรับจะเป็นอย่างไร แต่ว่าตอนนั้นมีพลังที่แบบ จะทำต่อไป จะทำต่อไป จนถึงทุกวันนี้ก็ยังเป็น จงทำต่อไป เราจะทำให้ดีขึ้นอย่างไร ผมอยากจะเป็นคนที่เก่งขึ้น ผมมองแค่อันนั้น
ตั้งแต่เด็กผมจะคิดว่า ผมจะทำอย่างไรให้ตัวเองดีขึ้น จะทำอย่างไรไม่ให้ตัวเองมีชีวิตที่น่าเบื่อ คำถามเหล่านี้มันอยู่ในหัวผมตลอดเวลา ถึงขั้นที่เมื่อปีที่แล้วผมก็คิดว่า Daboyway มันคือยังไง มึงจะไปไหนต่อ เราจะดีขึ้นอย่างไร คำถามมันก็จะมีอยู่เรื่อย ๆ ตัวผมก็พยายามตอบ โอเค นายต้องทำแบบนี้ แบบนั้น ลองผิดลองถูกตลอด แต่ผมจะเป็นคน pushing ตลอดเวลา เหมือนหิวตลอด
The: People: เคยท้อจนอยากจะยอมแพ้ไหม
เวย์: No, not really, cause I’m still here. คือมันมีแบบ นี่ห่วยมาก หรือมันไม่ได้ไปในทางที่เราคิดว่าเราอยากให้มันเป็น มีทุกวัน แต่ว่าก็นึกกับตัวเองว่ามาไกลขนาดนี้แล้วมึงจะหยุดเหรอ มันไม่ใช่ทางเลือกใช่ไหม แค่เดินหน้าต่อไป
The: People: การทำงานกับ Def Jam ซึ่งเป็นค่ายเพลงอินเตอร์ มีวัฒนธรรมหรือการทำเพลงที่แตกต่างจากค่ายเดิมอย่างไรบ้าง ต้องปรับตัวอะไรบ้างไหม
เวย์: แตกต่างมาก ๆ ที่ผมสามารถเปรียบเทียบกับตัวเองได้อย่างเดียวก็คือโครงสร้างขององค์กรที่แตกต่างกับทุกที่ ก่อนหน้านี้ผมก็ทำมาหลายระบบ มีค่าย Thaitanium Entertainment ของตัวเอง เมื่อก่อนตอนเด็ก ๆ ก็เคยอยู่แกรมมี่ ก็คือทุกอย่างที่ทำมาก็พามาถึงทุกวันนี้ ซึ่งเราเปิดตัวเองที่จะเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ เพื่อจะได้ไปอีกก้าวหนึ่ง แต่หลาย ๆ อย่างมันก็เหมือนเดิม แต่มันก็ต่างกันที่ corporate structure มันมีแพลนมีอะไรที่มากขึ้น
The: People: เรามองได้ไหมว่า Def Jam จะเป็นก้าวแรกของฮิปฮอปไทยที่จะไปสู่ระดับโลก
เวย์: แรกเริ่มเดิมที Def Jam Thailand อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นมาเพื่อที่จะผลักดันศิลปินไทยให้ไปดังเมืองนอก แต่ Def Jam Thailand อยากจะทำให้มันไปไกลที่สุดก่อน ให้มันยังมีคุณภาพ เพราะว่าแต่ก่อน ตอนที่ผมเริ่มขึ้นมา ตอนแรก ๆ ไม่มีใครช่วยผม ไม่มีใครช่วยเรา ไม่มีใครช่วยให้ไทเทเนี่ยมเกิดขึ้น ทุกอย่างต้องเรียนรู้กันเอง แต่ตอนนี้ด้วยการที่ทำงานมานาน มีประสบการณ์ที่สามารถจะหาแรปเปอร์รุ่นใหม่ได้ ถ้าคุณมีไอเดีย คุณอยากจะมีแพลนอย่างนี้ เราจะช่วยคุณ ตอนนี้ดาวดวงใหม่ ๆ ในวงการก็ผุดขึ้นมาใหม่ตั้งหลายคน ทุกคนล้วนแต่มีพรสวรรค์ มีความสามารถสูง เป็นตัวของตัวเอง ตอนนี้มีหลักฐานให้เราได้เห็นทุกวัน
The: People: หลายคนยังไม่รู้ว่าคุณเป็นแฟนฟุตบอลตัวยงของทีม นิวยอร์ก ไจแอนท์ ด้วย
เวย์: ใช่แล้ว นี่คือทีมของผม “big blue (ฉายาของทีม)” ผมจะเป็นแฟนทีมนี้จนวันตายเลย ผมเชียร์ตามคุณพ่อมาตั้งแต่เด็ก อาจจะด้วยการที่ผมอยู่ในนิวยอร์ก และพ่อผมรักทีมนี้มานาน ทุกอย่างมันก็เลยลงล็อกกับทีมนี้ ส่วนสาเหตุที่ไม่เชียร์ Jets (อริร่วมเมือง) เพราะทีมนั้นแพ้ตลอด
ถ้าพูดถึงทีมตอนนี้ เชคอน บาร์คลีย์ คือสุดยอดมาก แต่ผมผิดหวังที่เสีย โอเดลล์ เบ็คแฮม จูเนียร์ ไป ส่วนถ้าพูดถึงควอเตอร์แบ็กผมว่าให้โอกาส อีไล แมนนิ่ง อีกสักปีก็ได้ จริง ๆ อีไลเก่งนะ แต่เขาเพียงต้องการแนวป้องกันที่ดีหน่อย คือ offensive line ต้องป้องกันเขาให้ดีกว่านี้ ถ้าเขาไม่ถูกเร่งหรือถูก knock down ผมว่าเขาโอเคเลย ส่วนควอเตอร์แบ็กคนใหม่อย่าง แดเนียล โจนส์ ผมว่าก็ต้องรอดูกันต่อไป แต่ผมก็หวังว่าปีนี้เราจะดีขึ้นกว่าปีที่แล้วนะ
The: People: อยู่ในวงการมา 20 ปี คิดว่าทุกวันนี้จุดที่เรายืนอยู่ มันคือวันอะไรของเรา
เวย์: วันนี้คือวันที่เราภูมิใจแล้วดีใจ แล้วก็ขอบคุณที่เราได้ทำในสิ่งที่เรารัก เราชอบ และวันนี้ก็ยังได้ทำอยู่
The: People: ฝากถึงเด็กที่อยากจะเป็นแรปเปอร์ หรือกำลังเดินอยู่ในเส้นทางนี้
เวย์: พยายามเป็นคนที่เปิดรับตลอดเวลา อย่าเป็นน้ำเต็มแก้ว มันไม่ง่าย แต่ว่าอย่าหยุดทำ ทำไปเรื่อย ๆ อะไรก็แล้วแต่ จะเป็นแรปเปอร์ จะเป็นนักตีกลอง จะเป็นช่างภาพ แค่คุณจงทำมันต่อไป การทำมันคือการฝึกเข้าไปในตัว สิ่งที่คุณจะได้จากมันคือตัวคุณที่ดีขึ้นกว่าเดิม ส่วนอะไรที่มันจะเข้ามา คุณแค่เข้าใจว่ามันยาก บางทีผมเองก็ท้อ แต่แค่ทำต่อไปอะไรมันก็จะทำให้ดีขึ้นมาเอง เดี๋ยวมันก็จะมีคำตอบว่าเราทำไปเพื่ออะไร
The: People: สุดท้ายช่วยฝากผลงานหน่อย
เวย์: ฝากซิงเกิ้ลใหม่ล่าสุดของผม ชื่อว่า ‘วันอะไร’ เป็นซิงเกิลไทย ซึ่งสามารถดูมิวสิควิดuโอได้ใน YouTube ฟังได้ใน digital platform แล้วก็เพลงต่อไปชื่อว่า ‘GANG SH!T’ แล้วก็เร็ว ๆ นี้ อัลบั้มเต็มรูปแบบของ DABOYWAY