As It Was - เลียมเหลือทนแล้วนั่น บันทึก (วีร) กรรมเดือดดาลของเลียม กัลลาเกอร์
เราอาจต้องขอบคุณ 'ไอ้เปรตนั่น' ที่หวดค้อนฟาดเป้งเข้าให้กลางกระหม่อมของเด็กชาย เลียม กัลลาเกอร์ ระหว่างที่เขาเดินโต๋เต๋อยู่ในโรงเรียน หลังล้มฟุบลงไปพร้อมอาการเหมือนกะโหลกร้าว เลียมตื่นมาพร้อมกับความรู้สึกแปลกประหลาดไปจากเดิม อยู่ดี ๆ เขาก็รู้สึกว่าเพลงที่ โนล -พี่ชายแท้ ๆ ที่เขาต้องแบ่งห้องนอนด้วยกัน- เปิดทุกคืนนั้นเป็นสิ่งน่าอัศจรรย์เหลือเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพลงของวง The Beatles วงร็อคจากเกาะอังกฤษที่แผ่อิทธิพลไปถึงดินแดนโหดหินอย่างอเมริกา
"กูรู้สึกว่ากูสนใจดนตรีขึ้นมาก ๆ ตั้งแต่โดนค้อนทุบหัว" เขาเปรยกับพี่ชาย และแม้จะงงงวยแกมรำคาญ แต่โนลก็ถือว่าเป็นนิมิตหมายอันดีที่น้องชายฟังเพลงแบบเดียวกันกับเขา เพื่อที่จะพบว่าอีกไม่กี่วันต่อมา เลียมหายไปตั้งวงกับเพื่อนในนาม Oasis และเที่ยวป่าวประกาศให้ทุกคนในบ้านหรือใครก็ได้ที่ยอมฟังว่าเขาจะเป็นนักร้อง
"มึงเนี่ยนะจะเป็นนักร้อง" โนลถาม และรู้ตัวอีกที เขาก็กลายมาเป็นมือกีตาร์และนักแต่งเพลงประจำวง และนั่นคือจุดเริ่มต้นการเดินทางอันยาวนานของ Oasis เช่นเดียวกันกับที่เป็นปฐมบทความร้าวฉานของพี่น้องกัลลาเกอร์ ศึกสายเลือดที่เดือดดาลที่สุดในอุตสาหกรรมดนตรี และอีกเช่นกัน ที่มันกลายเป็นแผลทางใจที่ลึกที่สุดของเลียม นับตั้งแต่วันที่พี่ชายตัดสินใจลาออกจากวงในปี 2009
"ไอ้เลียมแม่งเป็นเหมือนส้อมในโลกที่มีแต่ซุปอะ" โนลนิยามน้องชายเขาไว้เช่นนั้น และนั่นดูจะเป็นคำอธิบายที่ฟังดูเจ็บหัวใจแต่ก็ค่อนข้างเห็นภาพทีเดียว เพราะแม้แต่เลียมก็ยอมรับว่าเขาเป็นคนไม่ได้เรื่อง ในสารคดี Liam Gallagher: As It Was (2019) เขาบอกว่าในวัยเกือบ 50 เขาขับรถไม่เป็น เล่นกีฬาไม่ได้ (ยืนยันได้จากฟุตเตจที่เขาลงนัดกระชับมิตรกับ ดามอน อัลบาร์น แห่งวง Blur และเขาเล่นได้ห่วยแตกเสียจนอัลบาร์นแทบจะดูเป็นนักเตะทีมชาติเลยทีเดียว) ทำอาหารไม่ได้เรื่อง
เป็นที่รู้กันอยู่กลาย ๆ ว่าความสำเร็จของ Oasis นั้นส่วนหนึ่งแล้วต้องยกความดีความชอบให้กับโนล ซึ่งนอกจากจะแต่งเพลงเองทั้งหมดแล้วยังทำหน้าที่เสมือนหัวหน้าวงกลาย ๆ ขณะที่เลียมคืออีกด้านที่บ้าระห่ำกว่า ตลอดยี่สิบปีของการออกทัวร์ทำเพลง เลียมถูกลากเข้าซังเตบ่อยครั้งจากข้อหาเมาอาละวาด ฉะฝีปากกับกองทัพนักข่าวที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับเขา ตลอดจนทะเลาะวิวาท (ที่เขาเสียฟันหน้าไปสองซี่สมัยไปก่อเรื่องที่เยอรมนี โดยทุกวันนี้ก็จับตัวไม่ได้ว่าใครเป็นคนมือดีเลาะฟันหน้าเลียมออก) แต่หนักที่สุดคือการไม่รับผิดชอบต่อวง ทิ้งให้งานล่มกลางงานเอาก็บ่อย ภาพจำที่ติดตาทุกคนคือสมัยที่เขาไปเล่นคอนเสิร์ตในเมนโร้ด, แมนเชสเตอร์ปี 1996 แล้วเลียมหัวร้อนที่โนลกล่าวหาว่าเขาร้องเพลง Whatever ผิดท่อนจนเดินออกจากเวทีเอาดื้อ ๆ (แถมบอกพี่ชายว่า "มึงก็ร้องเองดิถ้างั้น") ทิ้งให้คนดูเหวอสุดขีดกับการวิวาทผ่านสายตาคนเรือนแสน
แม้เลียมจะเคยออกมาพูดเปรย ๆ ว่า จะมาคาดหวังให้คนอายุเท่านั้นมามีความรับผิดชอบอะไรมากมายนัก แต่อันที่จริง ช่วงขวบปีนั้นคือช่วงเวลาที่เลียมรู้สึก 'เหลือจะทน' กับทุกสภาวะรอบตัวความสำเร็จของอัลบั้ม Definitely Maybe ที่ออกมาในปี 1994 ทำให้เขารู้สึกประสาทเสียกับแรงกดดันจากแฟนเพลงเรือนแสน พอกันกับการทะเลาะวิวาทกับนักข่าวที่ย้ำหัวตะปูอยู่บ่อย ๆ ว่าเขาคือนักร้องกุ๊ย อันเป็นคำที่แม้ว่าเลียมจะไม่เคยปฏิเสธตรง ๆ ว่าไม่พอใจ แต่ดูเหมือนเขาก็ไม่ได้ชื่นชอบมันเท่าไหร่นัก นั่นอาจเพราะเขารู้สึกเสมอว่าสื่อพยายามเล่นประเด็นที่เขากับเพื่อนร่วมวงมาจากชนชั้นแรงงานในแมนเชสเตอร์ (บวกกับเวลานั้น วง Oasis กำลังถูกเปรียบเทียบกับวงบริตป๊อปชนชั้นกลางอย่าง Blur ด้วย)
ตัวเลียมเคยให้สัมภาษณ์ออกโทรทัศน์กึ่งขำขันกึ่งจริงจังว่า "ถามอะไรมาวะ เห็นอย่างนี้กูสอบวุฒิ GCSE (วุฒิการศึกษาในอังกฤษ เทียบได้กับมัธยมปลายในไทย) แล้วนะเว้ย" และ "กูก็อยากไปเรียนวิทยาลัยเหมือนกันแหละ แต่กูไม่มีปัญญาจ่ายไงล่ะวะ เพื่อนกูบางคนนี่แม่งเป็นกรรมกรงก ๆ อยู่เลยพวก!" เลียมจึงเป็นหนึ่งในศิลปินที่ก่อเรื่องฟาดปากกับนักข่าวเป็นประจำ โดยเฉพาะกับเหล่าสื่อที่พยายามหาเรื่องยุ่งกับเรื่องส่วนตัวเขา (ช่วงนั้นเลียมออกเดตกับ แพตตี เคนซิต นักแสดงสาวชื่อดัง ยิ่งทำให้ถูกจับจ้อง) "กูเป็นคนนุ่มนวล อ่อนหวาน น่ารักที่จะตบปาปารัซซีให้คว่ำเพราะแม่งมาขวางทางกูเนี่ยแหละ" เขายืนกราน
"ผมไม่ใช่อันธพาลอะไร" เขาให้สัมภาษณ์อย่างสงบ "แค่อยากจะทำงานของตัวเองเท่านั้นแหละ แต่นักข่าวชอบเขียนพาดหัวเหมือนผมเป็นคนบ้าอยากหาเรื่องชกกับชาวบ้านทั้งวัน ไม่นะ ไม่ใช่เลย"
อย่างไรก็ดี Oasis ยังประสบความสำเร็จในอีกหลาย ๆ อัลบั้มต่อมา พวกเขาออกทัวร์ทั่วโลก นั่นหมายความว่าต้องกอดคออยู่ด้วยกันแทบตลอดเวลา ทั้งในรถตู้ บนเวที และบางทีอาจจะร่วมห้อง แต่พฤติกรรมเรื้อนเนื้อเรื้อนยาของเลียมก็ยิ่งทำให้โนลความดันแทบขึ้น เขาหายตัวไปจากวงก็บ่อยแค่เพราะทนน้องชายไม่ไหว (“เคยต้องนั่งเครื่องบินติดกับไอ้เลียม 15 ชั่วโมง ไปญี่ปุ่นหรืออะไรเนี่ย แม่งโคตรหายนะเลย” โนลบอก) และเลียมเองก็ดูเหมือนไม่แยแส เขาลากสังขารที่น่าจะปนเปื้อนโคเคนมากกว่าน้ำเปล่าขึ้นเวทีแล้วร้องผิด ๆ ถูก ๆ หลายครั้งหลายหน ชื่อเสียงของวงสั่นคลอน ความสัมพันธ์ของพวกเขาย่ำแย่จนระเบิดออกมาในปี 2009 เมื่อพวกเขาไปเล่นคอนเสิร์ตที่ฝรั่งเศส โนลคว้ากีตาร์ตัวที่เลียมรักที่สุดฟาดพื้น เลียม -ซึ่งโกรธมากแต่ทำตัวไม่ถูก- เลยหันไปคว้ากีตาร์ของโนลแล้วทุ่มลงกับพื้นอีกเช่นกัน
"กูชอบโนลตอนที่มันไม่อยู่ในวงมากกว่า เป็นมนุษย์ที่ชื่อโนล เป็นพี่ชาย" เลียมบอก "กูล่ะร้ากรักมัน พร้อมจะทำทุกอย่างให้มัน แต่พอเป็นงานเป็นการขึ้นมาเมื่อไหร่นี่แม่งจะกลายเป็นไอ้หัวขวดที่สุดในจักรวาลไปเลย"
โนลไม่ขึ้นเวทีกับ Oasis อีกเลยหลังจากนั้น และอันที่จริง เขาแยกตัวออกจากวงในวันนั้นเอง นับเป็นจุดจบที่แสนปวดใจทั้งกับสมาชิกวงคนอื่น ๆ กับแฟนเพลง และโดยเฉพาะกับเลียม ที่ในสารคดี Liam Gallagher: As It Was (2019) เขาออกมายอมรับกลาย ๆ ว่า เขาคือสาเหตุสำคัญที่ทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลง และกลายเป็นเลียมที่สุขุมขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ราวกับเขาระเบิดความกราดเกรี้ยวและห่ามระห่ำทั้งหมดไปกับช่วงวัยหนุ่มไปแล้ว
แฟน ๆ ของวงได้แต่หวังว่า เลียมในวันที่โตขึ้น นิ่งขึ้น จะสามารถทำให้โนลใจอ่อนจนกลับมาฟอร์ม Oasis ขึ้นใหม่อีกครั้งในสักวันข้างหน้า