แม็กซ์-ณัฐวุฒิ เจนมานะ เปลี่ยนพลังลบจากโรคซึมเศร้า เป็นพลังบวกด้วย “ดนตรี”
ท่ามกลางโลกที่หมุนเวียนเปลี่ยนผัน ความเจริญก้าวหน้าของโลกที่พัฒนาขึ้น “มนุษย์” กลายเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนให้โลกหมุนไป เราอาจจะเคยได้ยินคำปราศรัยหรือประโยคยอดฮิตจากบรรดาผู้นำหรือนักขับเคลื่อนสังคมที่มักจะพูดว่า “ทุกคนมีส่วนช่วยทำให้โลกนี้ดีขึ้น”
แน่นอนโลกของเราไม่ได้สมบูรณ์แบบ หลายสิ่งต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเรื่องการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนให้ดีขึ้น และหากเรามองย้อนกลับมาดูโลกในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าท่ามกลางโลกที่หมุนไปข้างหน้า คุณภาพชีวิตของคนเรากลับแย่ลง เพราะพลังงานลบที่มาจากมนุษย์ด้วยกัน
ความเครียด ความสับสน หรือความผิดหวัง คือพลังงานด้านลบที่เรากำลังพูดถึง ภาวะเหล่านี้สามารถพัฒนาเป็นโรคที่กัดกินจิตใจผู้คนได้ หรือที่เรามักจะเรียกมันว่า “ภาวะซึมเศร้า” (Depression) ความน่ากลัวของโรคนี้ คือตัวสะท้อนให้เห็นว่า ตัวเราเองสามารถทำร้าย “ตัวเอง” ได้เสมอ
หลายคนอาจคุ้นชื่อของ “แม็กซ์-เจนมานะ” หรือ ณัฐวุฒิ เจนมานะ กันดี ในฐานะเจ้าของเพลงฮิต ‘วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า’ แม็กซ์ ถือเป็นนักร้องรุ่นใหม่ไฟแรงมากความสามารถของวงการดนตรีบ้านเรา ซึ่งหากมองแค่ด้านหน้า เขาอาจจะเป็นนักร้องนักแต่งเพลงที่เล่าเรื่องของตัวเองผ่านเสียงเพลง และชีวิตของเขาดูจะมีความสุขจากการได้เล่นดนตรีที่เขารัก แต่หากย้อนเวลากลับไปประมาณ 5 ปีก่อน แม็กซ์เคยพบกับช่วงเวลายากที่สุดในชีวิตเพราะโรคซึมเศร้ามาแล้ว
“ช่วงนั้นผมอายุ 25 เป็นช่วงเบญจเพส เป็นช่วงที่เด็กต้องเจอความจริง เป็นช่วงเปลี่ยนทางความคิดพอดี จากเด็กไปเป็นผู้ใหญ่ ตอนนั้นผมเจอกับโรคซึมเศร้าแล้วก็เกิดอาการช็อตไปเลย ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นส่งผลโดยรวมกับคนรอบข้างด้วย ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ แฟน เพื่อน ช่วงนั้นไม่เคยคิดว่าเราจะอ่อนแอได้ เพราะว่าตั้งแต่เด็กจนโต เราค่อนข้างจะเป็นคนคิดบวก แต่พอเจอเรื่องนี้ปุ๊บ กลายเป็นว่ามีอีกด้านหนึ่งของเราโผล่ออกมาเลย เป็นด้านที่เราไม่เคยเจอมาก่อน และไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นแบบนั้นได้เลย ตื่นเช้ามาผมยังไม่อยากลุกขึ้น ไม่อยากจะทำอะไร ผมสามารถทำทุกอย่างพังได้ หลุดได้ โดยที่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องเป็นอย่างนั้น เหมือนเป็นการวนเวียนอยู่ในอ่างเดิม ๆ ซึ่งไม่ได้ไปไหนเลย มีแต่ความทรมานและพลังด้านลบ ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างหนักและเหนื่อยมากสำหรับผม”
แม็กซ์เป็นคนที่อยู่กับดนตรีมาตั้งแต่เด็ก ๆ เรียกได้ว่าชีวิตของเขาห้อมล้อมด้วยเสียงเพลงตลอดเวลา หลังต้องพบเจอกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก คำถามที่ใครหลายคนอยากรู้คือ เขาก้าวข้ามผ่านมาได้อย่างไร คำตอบที่แม็กซ์ตอบกลับมาก็คือ “ผมเปลี่ยนพลังลบให้เป็นพลังบวกด้วยดนตรี”
“ผมคิดว่าสิ่งที่ทำให้ก้าวข้ามผ่านสิ่งที่เกิดขึ้นมาได้คือการอยู่กับปัจจุบัน ตอนนั้นผมรู้ว่าต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว ถ้ามัวแต่คิดวนเวียนกับเรื่องเดิม ๆ ใช้ชีวิตด้วยพลังงานลบ ชีวิตจะไม่ไปไหนเลย ผมจึงพยายามเปลี่ยนพลังด้านลบเป็นด้านบวกด้วยการทำอะไรที่สร้างสรรค์ พอได้ทำงานที่อยากจะทำแล้วมันไม่บังคับตัวเอง เป็นงานที่ต้องใช้สติ เราจะมีโฟกัส เราจะมีเสาหลักให้เกาะ เพราะผมคิดว่าเวลาเป็นโรคอะไรแบบนี้ เราต้องซื่อสัตย์กับตัวเองก่อนว่า จริง ๆ เราอยากทำอะไร แล้วก็ทำไปเลยโดยไม่ต้องคิด ไม่ต้องใช้เหตุผลอะไร แล้วสิ่งที่ทำตรงหน้านั้นจะเป็นเหตุผลให้เราเอง และจะไม่คิดเรื่องอื่น ๆ อีกต่อไป ผมเลยคิดว่าผมใช้การทำเพลงเป็นการช่วยเหลือและเยียวยาตัวเอง”
ก่อนวันที่จะได้คุยกับแม็กซ์หนึ่งวัน แฮชแท็ก #กำลังใจที่เข้าใจ แคมเปญล่าสุดจาก โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ ได้ถูกปล่อยทางสื่อโซเชียลต่าง ๆ ซึ่งโครงการดังกล่าวเล่าเรื่องราวของ “กำลังใจ" จากคนรอบข้าง ที่แสดงให้เห็นว่าการมีความเข้าใจในผู้ป่วยคือยาวิเศษชนิดหนึ่ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าบางครั้งกำลังใจที่มาจากความเข้าใจ คือสิ่งที่ผู้ป่วยต้องการจากคนที่ห่วงใยเขามากที่สุด การที่มีใครจับมือคุณ หรือรับฟังคุณในวันที่พายุถาโถมหรือปัญหาทั้งปวงพุ่งเข้าใส่ คือพลังใจที่ช่วยให้โลกของพวกเขากลับมาหมุนอีกครั้ง ซึ่งสิ่งนี้เปรียบเสมือนหมัดฮุคขวาของ แม็กซ์ ในวันที่เขามีแรงต่อยสวนกลับไปที่โรคนี้
ยามที่คุณรู้สึกอัดอั้นตันใจ การได้ระบายปัญหาออกมาให้คนอื่นรับรู้ โดยปราศจากเสียงที่คอยตัดสินหรือ ซ้ำเติม เป็นการแสดงออกให้เห็นว่า การที่มีคนรับฟังความคิดเห็นของเรา เป็นการช่วยแบ่งเบาความไม่สบายใจและไม่ทำให้คนที่กำลังทุกข์รู้สึกโดดเดี่ยว นอกจากนี้ยังเป็นการเรียนรู้ซึ่งกันและกันของทั้งสองฝ่ายอีกด้วย
Let There Be Light คือผลงานสตูดิโออีพีแรกของในชีวิตของแม็กซ์ ที่มีส่วนผสมของดนตรีหลากหลายชนิด จากศิลปินที่เขาชื่นชอบ ทั้ง John Mayer, Damien Rice หรือ Coldplay ซึ่งในอัลบั้มนี้มีผลงานที่คุ้นหูแฟน ๆ หลายเพลง เช่น ‘ไวน์’, ‘วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า’ หรือ ’ปีศาจ’ ซึ่งหากมองลึกลงไปในเนื้อหาของเพลงในอัลบั้มนี้ คุณจะค้นพบว่า นี่คือไดอารี่ส่วนตัวของแม็กซ์ ที่บันทึกจากช่วงเวลาที่เขาป่วย ซึ่งในอีกมุมหนึ่ง คือการส่งต่อกำลังใจให้ผู้คนในฐานะนักสร้างสรรค์และพื้นที่ระบายตัวเองของแม็กซ์
“อัลบั้มที่แล้ว ผมเขียนเพลงเอาไว้ช่วยเหลือและเยียวยาตัวเอง อัลบั้มต่อไปผมก็อยากจะทำอะไรที่ให้กำลังใจคนอื่นมากขึ้นกว่าเดิม ผมคิดว่าอะไรที่ทำให้ผมรู้สึกดี ผมอยากจะแชร์ ผมก็ทำ อะไรที่เป็นบทเรียนให้ผม แล้วผมอยากจะเขียนเตือนตัวเอง อยากจะเตือนคนอื่น และเป็นกำลังใจให้เขา อย่าไปจมอยู่กับเรื่องเดิม ๆ นั่นคือความหมายของอัลบั้ม คืออยากให้เขาได้อะไรเหมือนที่เราอยากได้ให้ตัวเองในตอนนั้น ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นแรงที่ดีในการทำงาน ถือว่าผมโชคดีที่ผมเลือกอาชีพนี้ เพราะมีอะไรก็ได้ระบายออกมาผ่านเสียงเพลง”
ในวันที่มรสุมพัดผ่านไป นี่คือวันที่แม็กซ์ย้อนกลับไปมองถึงอดีตที่ทุกข์ทนและพูดกับเราว่า ช่วงเวลาเหล่านั้นคือประสบการณ์ชีวิตที่ช่วยสอนให้เขาโตขึ้น วันนี้เขากล้าพูดกับตัวเองได้แล้วว่า เขาก้าวข้ามผ่านเรื่องที่ยากที่สุดในชีวิตได้ โดยทั้งหมดเริ่มต้นจากตัวเองและกำลังใจจากคนรอบข้าง
“โรคนี้สอนผมว่า ‘กูยังไม่ตายนี่หว่า มันก็แค่พายุที่ล้มเราไม่ได้’ พอมองกลับไป ทุกอย่างจะมีเหตุผลของมันหมดเลย แล้วเราก็จะรู้สึกภูมิใจในตัวเองว่าต่อไปถ้าเกิดเจอเรื่องอย่างนี้อีก ‘ขอให้มาหนักกว่านี้สิ ถึงจะเอากูลงได้’ ซึ่งชีวิตคนเราต้องเจอเรื่องอย่างนี้เรื่อย ๆ อยู่แล้ว มันเป็นบททดสอบ และเป็นสิ่งที่ต้องผ่านไป ถ้าผ่านไปไม่ได้คุณก็ต้องตกอยู่อย่างนั้น ทางเลือกเดียวคือคุณต้องผ่านมันไปให้ได้ ไม่มีทางเลือกอื่น”
ปัจจุบัน แม็กซ์ มีความสุขกับเส้นทางที่เขาเลือกในฐานะศิลปินที่คอยส่งต่อกำลังใจให้ผู้คนผ่านเสียงเพลงของเขา ในวันที่โลกทั้งใบเคยเป็นสีเทา วันนี้ดนตรีเปลี่ยนชีวิตเขาอีกครั้ง ด้วยสุ้มเสียงแห่งความรัก ความหวัง และกำลังใจ
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ #กำลังใจที่เข้าใจ กับโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ โดยการส่งต่อกำลังใจถึงคนรอบข้างด้วยความเข้าใจ ผ่านทางเว็บไซต์ http://bit.ly/336T49I