11 ธ.ค. 2561 | 19:15 น.
สำหรับนักเทนนิสอาชีพ เมื่อคุณแพ้ช่วงเวลาของความสับสนจะเกิดขึ้นเสมอ หลายสิ่งจะพุ่งตรงเข้าหาคุณพร้อมกับคำถามที่ว่า “อนาคตในวงการเทนนิสของคุณจะเป็นอย่างไรต่อไป เมื่อคุณแพ้แกรนด์สแลม เมื่อคุณอายุใกล้สี่สิบ” คำถามเหล่านี้เกิดขึ้นกับ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ ยอดนักเทนนิสชาวสวิตเซอร์แลนด์
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2016 เฟเดอเรอร์ในวัย 35 ปี ต้องทนทุกข์กับอาการบาดเจ็บหัวเข่าเรื้อรัง ที่ส่งผลต่อฟอร์มการเล่นในสนามที่แย่ลง จนเฟเดอเรอร์ไม่สามารถคว้าแชมป์แกรนด์สแลมได้เลยนับตั้งแต่วิมเบิลดันปี 2012 แถมในช่วงสองสามปีหลังเขาก็ต้องอกหักในรอบชิงรายการแกรนด์สแลมสามครั้งหลังสุดให้กับ โนวัค ยอโควิช (ไล่ตั้งแต่วิมเบิลดัน ปี 2014-2015 และในยูเอสโอเพ่น ปี 2015)
ถึงจะสามารถยืนระยะอยู่ในท็อปสามได้ แต่เฟเดอเรอร์ก็รู้ตัวดีว่า ตัวเองไม่สุดยอดอีกต่อไปแล้ว แม้จะเตรียมตัวหรือดูแลตัวเองดีขนาดไหน สุดท้ายผลลัพธ์ที่ได้ก็มักจะแย่สำหรับเขาทุกที และในเกมรอบรองชนะเลิศวิมเบิลดันปี 2016 เฟเดอเรอร์ ก็ถูกมิลอส ราโอนิช นักหวดชาวแคนาดาเขี่ยตกรอบอย่างเจ็บปวดด้วยสกอร์ 3-2 เซต ในตอนนั้นทุกคนพูดกันเป็นเสียงเดียวว่า “ช่วงเวลาของเฟเดอเรอร์หมดลงแล้ว”
ด้าน เฟเดอเรอร์ ก็ตั้งคำถามกับตัวเองเช่นกันว่า “ผมยังทำมันได้อยู่ไหม ผมยังสามารถคว้าแชมป์เมเจอร์ได้ไหม” ตอนนี้เขาทั้งสับสนและไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอย่างไรต่อดี แต่ลึก ๆ เฟเดอเรอร์ก็มีคำตอบในใจ เขารู้ตัวดีว่ายังสามารถเล่นเทนนิสในระดับสูงต่อไปได้ ถึงแม้ร่างกายของเขาจะเริ่มนับถอยหลังลงทุกที แต่หัวใจของเขาก็ยังมีความกระหายต่อชัยชนะไม่เสื่อมคลาย และเมื่อถึงช่วงเวลาที่ต้องตัดสินใจ เฟเดอเรอร์หันไปปรึกษาคนรอบตัวของเขาโดยเริ่มจากภรรยา เมียร์ก้า และสองโค้ช เซเวริน ลูธี และ อีวาน ลูบิซิซ ซึ่งคำตอบที่เขาได้กลับมากลายเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เขาสู้ต่อ “จริง ๆ แล้วคำตอบจากพวกเขาเป็นอะไรที่เหมือนเดิม พวกเขาคิดว่าถ้าผมมีสุขภาพเต็มร้อย และมีการเตรียมตัวที่ดี มีความกระตือรือร้นที่จะเล่น ทุกสิ่งมันก็สามารถเป็นไปได้เสมอ” เฟเดอเรอร์ให้สัมภาษณ์
ในตอนนั้นเฟเดอเรอร์แทบไม่เหลือแรงจูงใจหรือสถิติใด ๆ ให้ทำลายแล้ว เลิกไปซะยังไงก็เป็นตำนานอยู่ดี แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจกลับมาพร้อมกับสภาพร่างกายที่สมบูรณ์ขึ้น รวม ๆ แล้วเฟเดอเรอร์พักไปเป็นเวลากว่าหกเดือนเต็ม ซึ่งนานที่สุดนับตั้งแต่เขาเทิร์นโปรในปี 1998 ด้านปิแอร์ ปากานินี่ โค้ชฟิตเนสชาวสวิตเซอร์แลนด์ ที่ทำงานกับเฟเดอเรอร์มาตั้งแต่แรก ๆ คือผู้อยู่เบื้องหลังการคัมแบ็คของเจ้าเฟดเอ็กซ์ แต่ปากานินี่ ก็ให้เครดิตกลับไปที่เฟเดอเรอร์เช่นกันว่าท้ังหมดอยู่ที่ “วินัย” “เขามีความรับผิดชอบที่ดีเสมอเกี่ยวกับการดูแลตัวเอง ไม่จำเป็นต้องมีคนไปคอยบอกว่าเขาควรจะเข้ายิมตอนไหน เพราะเขารู้หน้าที่ของตัวเองเสมอ”
ในตอนนั้นถ้ามีคนเดินมาบอกคุณว่าเฟเดอเรอร์ จะกลับมาได้แชมป์ในทันที คุณคงหัวเราะเยาะกลับไป รวมถึงถ้าถามเฟเดอเรอร์เอง ตัวเขาก็คงคิดไม่เช่นกัน แต่ใครจะไปเชื่อล่ะว่านักเทนนิสในวัย 36 ที่หัวเข่าพังมาก่อนหน้านี้ จะสามารถคว่ำคู่ปรับตลอดกาลอย่าง ราฟาเอล นาดาล และคว้าแชมป์ออสเตรเลียนโอเพ่นได้
“ก่อนหน้านี้ผมคงขำถ้ามีใครมาบอกผมว่า ผมจะคว้าสองแชมป์เมเจอร์ในปีเดียวได้ ผมว่าพวกคุณเองก็คงขำเช่นกัน” เฟเดอเรอร์ให้สัมภาษณ์หลังคว่ำนาดาล “การกลับของเขาทำให้เราเห็นว่าเขารักเทนนิสมากแค่ไหน เขาไม่มีเหตุผลที่จะต้องกลับมาเลย เขาชนะทุกการแข่งขันและแกรนด์สแลมก็ได้หลายครั้งซ้ำ ๆ แต่ความรักในกีฬาคือพื้นฐานที่ทำให้เขาผ่านบททดสอบทางด้านร่างกายและจิตใจ จนกลายเป็นเขาตอนนี้” บอริส เบ็คเกอร์ ตำนานนักหวดหนึ่งในบุคคลต้นแบบของเฟเดอเรอร์พูดถึงการกลับมาอันยิ่งใหญ่ของเจ้าเฟดเอ็กซ์
เทนนิสเป็นเกมที่หนักและต้องอาศัยจังหวะฝีมือมากกว่าพละกำลัง การเล่นโดยใช้สมองจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขายืนระยะได้อยู่ถึงทุกวันนี้ ด้านแพทริค มูราโตกลู โค้ชคู่ใจของ เซเรนา วิลเลียมส์ ก็เคยออกมายกย่องเฟเดอเรอร์ เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “เมื่อก่อนนักเทนนิสจะคิดว่าถ้าคุณหยุดเล่นไม่กี่เดือน คุณไม่มีทางกลับมาเหมือนเดิมได้ นักกีฬาเหล่านั้นจึงฝืนเล่นต่อจนบาดเจ็บหนัก แต่สำหรับเฟเดอเรอร์เขาไม่คิดเช่นนั้น เขารู้ตัวว่าร่างกายตัวเองไม่เหมือนเดิม เขาเลือกที่จะไม่เล่นเหมือนคนอายุ 20-25 อีกต่อไป เขาเล่นฉลาดขึ้น ไม่ได้ใช้ร่างกายมากเหมือนที่นาดาล หรือยอโควิชใช้” หลังคว้าแกรนด์สแลมที่ 18 ของตัวเองได้ เฟเดอเรอร์ตัดสินใจถอนตัวจากเฟรนช์ โอเพ่น เพื่อเตรียมความพร้อมในวิมเบิลดัน และสุดท้ายเขาก็สร้างเซอร์ไพรส์ได้อีกครั้ง โดยการปราบ มาริน ซิลิช คว้าวิมเบิลดันสมัยที่ 8 ได้สำเร็จ นับตั้งแต่ที่เคยได้ล่าสุดเมื่อปี 2012
ในปี 2017 ทั้งเฟเดอเรอร์และนาดาล ขับเคี่ยวกันอย่างสนุก ผลัดกันคว้าแชมป์แกรนด์สแลมไปมา บวกกับโนวัค ยอโควิช และแอนดี้ เมอร์รีย์ ก็ฟอร์มรูดตกลงมา จนสุดท้ายในออสเตรเลียน โอเพ่น ต้นปี 2018 นักหวดจากบาเซิลก็สามารถคว้าแชมป์ได้อีกครั้ง และเป็นแกรนด์สแลมสมัยที่ 20 ของเขาอีกด้วย “มันเป็นเส้นทางที่ไกลมาก และก็เป็นทางที่น่าตื่นเต้นเสมอ แม้มันจะมีช่วงเวลาที่ขรุขระบ้าง” เฟเดอเรอร์ให้สัมภาษณ์หลังคว้าแชมป์ที่สนามร็อด เลเวอร์ อารีนา ในเมลเบิร์น
เฟเดอเรอร์ กับคู่ปรับตลอดกาล ราฟาเอล นาดาล
“ผมไม่อายที่จะอยู่บนเวทีใหญ่” เฟเดอเรอร์ยังยืนยันความรู้สึกเดิมที่มี นับตั้งแต่วันแรกที่เขาตีเทนนิส “มันยังคงเป็นสิ่งที่ดีสำหรับผมเสมอ ไม่ว่าจะตีที่คอร์ทไหนก็ตาม” ทัศนคติของเฟเดอเรอร์ที่มีต่อเทนนิส ไม่ได้ถูกปลูกฝังโดยการยัดเยียดจากครอบครัว หรือโค้ชคนใด เขาไม่ได้ถูกสร้างเพื่อเป็นเครื่องจักรเทนนิสในการโกยเงินรางวัล ทั้งหมดเขาเริ่มต้นจากความรักที่มี “ผมไม่ใช่เด็กจำพวกนั้น (ถูกพ่อแม่บังคับ) จริง ๆ ผมเคยเป็นแค่เด็กธรรมดา ๆ ที่โตขึ้นมาในบาเซิล และหวังว่าจะได้ออกเดินทางรอบโลกโดยการได้ตีเทนนิสเป็นอาชีพ ผมเคยฝัน เคยเชื่อ และ เคยหวังจริง ๆ ว่าตัวเองจะทำสิ่งนี้ให้กลายเป็นเรื่องจริงได้”
ในปี 2018 นิตยสาร TIME ประกาศรายชื่อเฟเดอเรอร์ อยู่ใน 100 ผู้ทรงอิทธิพลประจำปีด้วย ซึ่งนอกจากจะสร้างแรงบันดาลใจในสนามแล้ว นอกสนามเขายังสร้างกิจกรรมการกุศลภายใต้ชื่อมูลนิธิ โรเจอร์เฟเดอเรอร์ ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสด้านการศึกษา และส่งเสริมด้านการเล่นกีฬาอีกด้วย ไม่ว่าคุณจะตีลูกกลับมายากแค่ไหน หรือมีคะแนนนำเท่าไหร่ สุดท้ายเฟเดอเรอร์ก็จะทุ่มสุดตัวเพื่อโกงความตายกลับมาชนะคุณได้เสมอ นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในเกมของเขา ปัจจุบันเฟเดอเรอร์ยังคงสนุกกับเทนนิสและยังไม่มีท่าทีว่าจะเลิกเมื่อไหร่ ตอนนี้คงไม่ต้องถามว่าใครคือสุดยอดนักเทนนิสตลอดกาล แต่คำถามที่ควรถามมากกว่าคือจะมีใครทำลายสถิติที่ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ ทำได้หรือไม่
“เมื่อคุณได้ทำสิ่งที่คุณรักที่สุด คุณจะไม่มีวันยอมแพ้กับสิ่งนั้น สำหรับผมสิ่งนั้นคือเทนนิส” โรเจอร์ เฟเดอเรอร์