จอห์น เมเยอร์ 'ลาออก' จากโรงเรียนเพราะไม่คิดว่าปริญญาคือกุญแจสู่ความสำเร็จ

จอห์น เมเยอร์ 'ลาออก' จากโรงเรียนเพราะไม่คิดว่าปริญญาคือกุญแจสู่ความสำเร็จ
       ถ้าคุณคิดว่าการเรียนด้านดนตรีจบมาจะการันตีความสำเร็จให้คุณได้... บอกเลยว่าคุณคิดผิดแล้ว เพราะ จอห์น เมเยอร์ ทำให้เราเห็นแล้วว่า ปริญญาไม่ได้การันตีความสำเร็จในวงการดนตรีเลย ย้อนกลับไปเมื่อปี 1997-1998 จอห์น เคลย์ตัน เมเยอร์ เด็กหนุ่มผู้เสพติดกีตาร์เข้าสายเลือด ได้รับทุนการศึกษาในวิทยาลัยดนตรีชื่อดังของบอสตันอย่างเบิร์กลี แต่สุดท้ายเขาเลือกที่จะทิ้งมันไปเพราะอะไรกัน? เมเยอร์ ต่างกับนักเรียนดนตรีคนอื่นทั่วไป เขาไม่เคยชอบที่จะต้องมานั่งซ้อมแต่แบบฝึกหัดทั้งวัน เขาเป็นคนที่ชอบออกไปเล่นข้างนอก และเรียนรู้ดนตรีจากการ “แกะเพลง” ในวัยสิบห้าปีเขานั่งแกะไลน์โซโล่ของสตีวี เรย์ วอห์น ทั้งวันทั้งคืน จนพ่อแม่เขาต้องพาไปพบจิตแพทย์มาแล้ว จอห์น เมเยอร์ 'ลาออก' จากโรงเรียนเพราะไม่คิดว่าปริญญาคือกุญแจสู่ความสำเร็จ

ลาออกจากโรงเรียน

       เมื่อถึงเวลาที่ต้องเข้าไปอยู่ในระบบจริง ๆ เมเยอร์เรียนไปได้ไม่กี่เทอม เขากับเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายกับระบบการสอน เขาเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า “เราทำอะไรอยู่วะเนี่ย” เมเยอร์เล่าเหตุการณ์ในช่วงนั้นกับทางเว็บไซต์ของเบิร์กลีไว้ว่า “ย้อนไปตอนฤดูใบไม้ร่วงปี 97 จนถึงฤดูใบได้ผลิปี 98 ตัวผมในสองเทอมนี้ต่างกันโดยสิ้นเชิง เทอมแรกผมต้องการจะเป็นนักกีตาร์มือหนึ่งให้จงได้ แต่ตอนนั้นผมไม่สามารถเข้ากับคนอื่นหรือสิ่งใด ๆ ที่นั่นได้เลย แต่มันก็อาจจะเป็นเพราะว่าผมมีความคาดหวังมากเกินไป เมื่อผมกลับบ้านในช่วงเบรกคริสต์มาส ผมกลับมาพร้อมกับคำถามในใจมากมาย สุดท้ายผมกลับมาฟังเพลงป๊อปที่ชอบอย่าง เอริกา บาดูว์ หรือ เบน โฟลด์ ไฟว์ มันทำให้ผมคิดว่านี่แหละคือสิ่งที่ผมต้องการ” หลังเบรกคริสต์มาส เมเยอร์กลับมาที่เบิร์กลีพร้อมกับเป้าหมายใหม่ในชีวิต เป้าหมายที่อยากจะออกไปลุยโลกกว้าง สุดท้ายเขาเดินตรงไปที่กิจการนักศึกษาเพื่อลาออก... “พวกเขาอ่านออกเสียงดนตรีแบบ 'd-d-d-f-f-f-f-f ' (หนึ่งในวิธีการอ่านโน้ต) ทั้งวัน มันยังกะสถิติมันดูไม่ใช่ดนตรีเลย ผมจึงตัดสินใจเผาสะพานนั้นผมไม่ขอข้ามมันต่อไป ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำอะไรอยู่ แต่ก็นั่นแหละผมไม่เคยเห็นมีใครจะตั้งคำถามกับเอ็กเซล โรส (นักร้องนำวง Guns N' Roses) ที่เขาใส่กระโปร่งสั้นพับจีบเล่นคอนเสิร์ตเลย ดังนั้นผมหวังว่าคงไม่มีใครมาตั้งคำถามกับสิ่งที่ผมทำที่เบิร์กลี” เมเยอร์ เผยสาเหตุที่ลาออกจากเบิร์กลี        การใช้ชีวิตเป็นนักดนตรีไม่เคยง่ายสำหรับคนที่เกิดมาไม่ร่ำรวย เราอาจจะเคยเห็นภาพที่นักดนตรีเอาของรักของหวงอย่างกีตาร์ หรือแอมป์ ไปจำนำเพื่อแลกเป็นเงินประทังชีวิตมาแล้ว แต่สำหรับเมเยอร์เขารู้ตัวว่าตัวเองมีดีกว่านั้น หลังออกจากเบิร์กลีไม่นาน เมเยอร์ก็มุ่งหน้าจากบอสตันสู่แอตแลนต้าเพื่อพิสูจน์ตัวเอง “ผมไม่ได้ต้องการเสียเวลาไปสองปีเพื่อหาวง เพราะเมื่อคุณรู้ว่า ตัวเองทำสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยตัวคนเดียว คุณจะไม่ต้องใคร”

จอห์น เมเยอร์ 'ลาออก' จากโรงเรียนเพราะไม่คิดว่าปริญญาคือกุญแจสู่ความสำเร็จ

จากบอสตันสู่แอตแลนต้า

       เมื่อถึงแอตแลนต้าเขาได้มีโอกาสแสดงฝีมือในร้านบลูส์คลับมากมาย โดยเริ่มต้นจากการเล่นอะคูสติกคนเดียวในบาร์แห่งหนึ่ง เมเยอร์ ใช้เวลาไม่นานก็สร้างความประทับใจให้กับวงการดนตรีของแอตเแลนต้า และที่นั่นเขาก็เริ่มทำเพลงของตัวเอง และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จในอาชีพ “แอตแลนต้าเปรียบเหมือนบ้านทางด้านดนตรีของผมเสมอ” เมเยอร์เล่าถึงแรงบันดาลใจที่ทำให้เขาเริ่มแต่งเพลงจนกลายเป็นอัลบั้ม “Inside Wants Out” คุณเชื่อหรือไม่ว่าเบื้องหลังทั้งหมดมาจากแฟนเพลงในบาร์ที่ต้องการมาซื้อซีดีของเขา “เมื่อผมเล่นเสร็จ คนก็เดินมาถามผมว่า ‘คุณมีซีดีขายไหม? ผมตอบกลับไปว่าไม่ ผมเห็นเขาหยิบเงินยี่สิบเหรียญกลับลงไปในกระเป๋าทันที หลังเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น ผมรู้ตัวว่ามันถึงเวลาที่ผมจะเดินไปข้างหน้า ทำอัลบั้มดี ๆ สักชุด’” ในปี 2000โอกาสครั้งสำคัญในชีวิตก็พุ่งตรงมาหาเขา ในงานสัมมนาด้านดนตรี เซาท์ บาย เซาท์เวสต์ ที่ออสติน เท็กซัส เพลงอย่าง "Back to You" หรือ "No Such Thing" ไปเข้าหูแมวมองของค่าย อแวร์ เร็คคอร์ส หนึ่งในค่ายย่อยของโคลัมเบียเข้าอย่างจัง เมเยอร์ถูกแจกขนมจีบทันทีซึ่งเขาก็ตอบรับมันอย่างเต็มใจ “ผมรู้สึกโชคดีจริง ๆ ในตอนนั้นที่ผมก้าวเข้าไปในค่ายเพลง มันคือการสร้างโลกใบเล็ก ๆ ใบใหม่ ผมเดินหน้าเข้าไปหาพวกเขาแล้วพูดว่า ผมมาที่นี่เพื่อจะเป็นตัวเอง มันคือสิ่งที่ผมจะทำ คุณอยากจะช่วยผมไหม? ในฐานะศิลปินหน้าใหม่คุณไม่ควรให้ใครมาบอกคุณก่อนหรอกว่าควรจะเริ่มตอนไหน” [caption id="attachment_1553" align="aligncenter" width="282"] จอห์น เมเยอร์ 'ลาออก' จากโรงเรียนเพราะไม่คิดว่าปริญญาคือกุญแจสู่ความสำเร็จ ผลงานชุดแรก “Room for Squares”[/caption] ในฤดูใบไม้ร่วงปีต่อมา เมเยอร์ก็ได้ออกอัลบั้มชุดแรกของตัวเอง “Room for Squares” ที่เขาร่วมกันสร้างสรรค์กับโปรดิวเซอร์อย่าง จอห์น อลาเจีย ผลงานชุดนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก ตัวอัลบั้มมียอดขายมากกว่าหนึ่งล้านก็อปปี้ และส่งให้เขาได้รางวัลนักร้องเพลงป๊อปยอดเยี่ยมบนเวทีรางวัลแกรมมี่ในปีนั้น “ผมได้รับข้อความแสดงความดีใจจากพี่ชายตอนที่ได้ยอดขายอัลบั้มระดับทองคำ และเอลตัน จอห์น ก็โทรหาผมแล้วบอกว่า เพลงคุณติดชาร์ทหนึ่งในยี่สิบแล้ว และเขาก็บอกว่าอัลบั้มคุณอยู่ในระดับแพลตตินั่มแล้ว"

ชายผู้เปรียบความรักคือ 'แรงโน้มถ่วง'

      ผลงานของเมเยอร์โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากที่คว้าแกรมมี่ตัวแรกของตัวเองแล้วนั้น เขาก็สร้างลายเซ็นต์ของตัวเองให้ชัดขึ้นไปอีกกับอัลบั้ม “Heavier Things” ผลงานที่มีรสชาติของดนตรีร็อกมากขึ้น และเน้นอะคูสติกน้อยลง อีกเช่นเคยเขาสามารถคว้าแกรมมี่ได้อีกหนึ่งตัวกับเพลง 'Daughters' แต่ถ้าถามว่าผลงานชุดไหนของชายคนนี้ที่คุณควรได้ฟังก่อนตาย คำตอบคงหนีไม่พ้นอัลบั้มชุดที่สามของเขาอย่าง อัลบั้มที่มีส่วนผสมของดนตรีโซลและอาร์แอนด์บีรวมเข้ากับความ Bluesy คูล ๆ ‘Waiting On the World To Change’ ซิงเกิลเปิดตัวได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกันกับเพลง ‘Stop This Train’ และ ‘Gravity’ ที่กลายเป็นเพลงฮิตติดหูแฟนเพลงในช่วงนั้น แม้ ‘Waiting on the World To Change’ จะเป็นเพลงที่ทำให้เขาได้รับรางวัลนักร้องเพลงป๊อปยอดเยี่ยมจากเวทีแกรมมี่ไปครอบครอง แต่เพลงที่เขาชอบมากที่สุดในอัลบั้มนี้คือเพลง ‘Gravity’ เมเยอร์กล่าวในการแสดงคอนเสิร์ตที่ Eddie’s Attic ไว้ว่า “นี่เป็นเพลงที่ผมพยายามเขียนมาโดยตลอด และเป็นเพลงสำคัญที่สุดเท่าที่เคยแต่งออกมา สาบานกับพระเจ้าได้เลยว่าผมจะต้องฟังมันทุกๆ วันไปตลอดชีวิต ความหมายของมันไม่ตายตัว และประกอบด้วยคำจำนวนไม่มาก ผมไม่รู้ว่าทำไมคำจำนวนหนึ่งถึงส่งผลกระทบกับตัวเองได้มากมายขนาดนี้” [caption id="attachment_1554" align="aligncenter" width="278"] จอห์น เมเยอร์ 'ลาออก' จากโรงเรียนเพราะไม่คิดว่าปริญญาคือกุญแจสู่ความสำเร็จ อัลบั้มชุดที่สาม "Continuum"[/caption]

เรื่องจัญไรขอให้บอก...

       ถึงภาพลักษณ์ของเมเยอร์บทเวทีคอนเสิร์ตจะดูเป็นศิลปินสุดโรแมนติกทั้งในด้านของเสียงร้องหน้าตาและการเล่นกีตาร์ แต่สิ่งเหล่านั้นจะหายไปในทันทีที่เขาให้สัมภาษณ์ “จอห์นคนจัญ...” ฉายานี้ไม่ได้มาเพราะโชค เพราะเมเยอร์เป็นคนที่ให้สัมภาษณ์ทุกอย่างแบบเปิดเผย โนสนโนแคร์ จนสื่อชอบนำมาเล่นข่าว โดยเฉพาะเรื่องรสนิยมส่วนตัว หรือการพูดถึงเรื่องส่วนตัวของแฟนเก่าแต่ละคน ซึ่งก็เต็มไปด้วยบุคคลมีชื่อเสียงไม่ว่าจะเป็น เทย์เลอร์ สวิฟต์, เจสสิก้า ซิมป์สัน, เคที เพอร์รี และคนดังอีกมากหน้าหลายตา

“ผมพยายามจะทำตัวน่ารัก ๆ นะ ผมคิดว่าการที่ศิลปินคนอื่นไม่ไนซ์เนี่ย เพราะพวกเขารู้ว่าภาพลักษณ์ของตัวเองถูกเปลี่ยนไปแล้ว ผมชอบความคิดที่ว่า คุณไม่ต้องสร้างภาพหรอก ผมชอบที่จะทำเพลงเล่นกีตาร์ หรือร้องเพลงให้ดีกว่าเดิมก็พอ และเมื่อถึงวันที่ผมออกจากวงการนี้ไป ผมคงเป็นพวกแบบ อ้าวว่าไง สบายดีไหม มันก็คงจะยากที่จะกลายเป็นพวกงี่เง่า”

สุ้มเสียงและความตั้งใจในวัยเด็ก สู่ จอห์น เมเยอร์ ลุคคันทรีร็อก

       เมเยอร์ เป็นอีกหนึ่งศิลปินของโคลัมเบีย ที่ทางค่ายให้อิสระเต็มที่ในการทำงาน และแน่นนอนเมื่อคุณปล่อยให้ชายสุดติสท์อย่างเขาได้ทำงานที่ตัวเองอยากทำ 100% เต็ม แน่นอน เมเยอร์ก็จัดเต็มกับแนวเพลงที่เขาอยากทำมานานแล้วอย่าง คันทรีร็อก หรือ โฟล์กร็อกกับอัลบั้ม "Born and Raised" และ "Paradise Valley" งานด้านคอสตูมก็เรียกได้ว่าจัดเต็มที่ (แต่ก็ยังมีเพลงป๊อป ๆ ไว้ให้ค่ายขายบ้างอย่างเพลง 'Paper Doll' หรือ 'Who You Love' ที่ร้องกับสาว เคที เพอร์รี กิ๊กเก่า) แต่เมื่อรู้ซึ่งถึงยอดขายที่เงียบหายจนน่าตกใจ เมเยอร์ ก็กลับเข้าสู้โหมดเอาจริงอีกครั้ง กับอัลบั้มล่าสุดอย่าง “The Search For Everything” ที่เหมือนเป็นการรีเวิร์สกลับไปยัง สุ้มเสียงที่เราคุ้นเคยในอัลบั้ม “Heavier Things" หรือ “Continuum” แม้ภาพลักษณ์จะดูเป็นผู้ชายโพงพาง คาสซาโนว่าตัวพ่อ แต่ในอัลบั้มใหม่ล่าสุดนี้ เขาก็เปิดเผยความรู้สึกต่าง ๆ ลงบนเนื้อเพลงของตนเอง โดยเฉพาะเพลง 'Still Feel Like Your Man' (เนื้อหาอารมณ์ประมาณผู้ชายแสนดีของเธอ) หรือจะเป็นเพลง 'Moving On and Getting Over' ที่ถือเป็นเพลงที่บอกโทน ของอัลบั้มได้ดีที่สุด จอห์น เมเยอร์ 'ลาออก' จากโรงเรียนเพราะไม่คิดว่าปริญญาคือกุญแจสู่ความสำเร็จ

ดนตรี ยิ่งกว่า ยาเสพติด

       เมเยอร์ ได้เคยพูดถึงแรงบันดาลใจในการทำอัลบั้มของตัวเองว่า ดนตรีนั่นดีเสียยิ่งกว่ายาเสพติดเสียอีก “ผมชอบแต่งเพลงก่อนออกไปทานอาหารเย็นนะ มันคือความรู้สึกที่ดีที่สุดในโลก การที่คุณกลับมาพร้อมกับการแต่งท่อนแยกเสร็จ มันดียิ่งกว่ายาเสพติดทุกชนิดเสียอีก การที่คุณสร้างสรรค์อะไรขึ้นมาโดยไม่ต้องใช้ต้นทุนอะไรเลย แล้วมันกลายเป็นเป้าหมายในชีวิตของคุณ มันกลายเป็นสิ่งที่ผมอยากจะตื่นมาเจอมันทุกวัน” เมเยอร์ ถือเป็นหนึ่งในศิลปินที่ประสบความสำเร็จที่สุดในอุตสาหกรรมดนตรีโลก ความสำเร็จของเขากลายเป็นหลักฐานที่พิสูจน์ว่าปริญญาไม่ได้การันตีความสำเร็จเสมอไป แต่เส้นทางนี้วัดผลลัพธ์กันที่ “ความสามารถและความคิดสร้างสรรค์” ช่วงไฮสคูล เมเยอร์ เคยเขียนคติพจน์ของตัวเองลงหนังสือรุ่นของโรงเรียนไว้ว่า วันหนึ่งเขาจะเป็นนักดนตรีให้ได้ พร้อมทั้งยังเผยอีกว่า โลกของเขาไม่ได้อยู่แค่ในห้องเรียนเท่านั้น ซึ่งปัจจุบันเมเยอร์ก็พิสูจน์ให้เราทุกคนเห็นแล้วว่าเขาทำมันได้จริง ๆ

ผมรู้ว่าโรงเรียนไม่ได้ให้อะไรผมมากนัก โลกของผมไม่ได้อยู่ในห้องเรียน ผมรู้เมื่อตอนสิบสามว่าตัวเองอยากจะเป็นอะไร ผมต้องการจะเป็นนักดนตรี และวันหนึ่งผมจะทำให้คุณทุกคนภูมิใจจอห์น เมเยอร์

  ที่มา : https://www.berklee.edu/news/247/john-mayer-converting-information-to-inspiration http://www.mtv.com/news/1457569/john-mayer-music-school-dropout-makes-good/