ไรอัน จอห์นสัน จากผู้กำกับอินดี้สู่ผู้สานต่อจักรวาล Star Wars
หากไล่เรียงผลงานของ ไรอัน จอห์นสัน (Rian Johnson) จะพบว่า เขามิได้มีผลงานจำนวนมากนัก แต่ผลงานนั้นกลับเป็นงานคุณภาพในสายอินดี้ ก่อนจู่ ๆ จะโผล่เข้ามากำกับภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์อย่าง Star Wars: Episode VIII - The Last Jedi (2017) จนได้รับความนิยมล้นหลาม ไม่เท่านั้น เขายังถูกวางตัวให้เปิดสงครามดวงดาวครั้งใหม่ในอนาคตอีกด้วย
เขาคือใคร? ทำไมถึงเติบโตเร็วอย่างนี้?
ไรอัน จอห์นสัน ไม่ใช่คนที่มีเส้นใด ๆ เขาเป็นเด็กชายธรรมดาที่เติบโตมาด้วยความรักในการดูหนัง ก่อนจะจบศาสตร์ภาพยนตร์โดยตรงจาก USC School of Cinematic Arts ในปี 1996 เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า ภาพยนตร์ที่เปลี่ยนชีวิตคือ Annie Hall (1977) ของ วูดดี อัลเลน (Woody Allen) เพราะ “หนังทลายกรอบการเล่าเรื่องหลายอย่าง มันทำให้ผมตื้นตันมาก ซึ่งมีหนังไม่กี่เรื่องเท่านั้นที่ทำได้ ผมภาวนาถึงพระเจ้าว่าถ้าได้สร้างหนังสักเรื่อง ผมหวังว่าจะสร้างหนังที่ 20 ปีผ่านไปก็ยังสามารถดูได้อยู่”
ไม่นานจอห์นสันก็เดบิวต์หนังยาวเรื่องแรก Brick (2005) ซึ่งเป็นหนังทุนต่ำเพียง 5 แสนเหรียญสหรัฐฯ เกี่ยวกับเด็กหนุ่มที่ออกตามหาแฟนสาวที่หายตัวไป เขาโชว์ความสามารถทั้งกำกับ เขียนบท และตัดต่อด้วยตนเอง ตามติดมาด้วยเรื่องราวพี่น้องนักต้มตุ๋น The Brothers Bloom (2008) ที่ได้นักแสดงระดับ A-list มาร่วมแสดง ทั้ง เรเชล ไวสซ์ (Rachel Weisz), เอเดรียน โบรดี (Adrien Brody) และ มาร์ก รัฟฟาโล (Mark Ruffalo) ก่อนที่เขาจะแจ้งเกิดเต็มตัวจากภาพยนตร์แอ็คชันสุดล้ำ Looper (2012) เมื่อมือสังหารถูกตัวเองจากอนาคตไล่ล่า
“แม้มันจะเป็นภาพยนตร์ข้ามเวลา แต่ความเจ๋งของมันไม่ได้มาจากการข้ามเวลา ความสนุกของหนังคือความสลับซับซ้อนและความวุ่นวาย สำหรับ Looper ผมอยากพูดถึงเรื่องราวของตัวละครมากกว่าไปนั่งหาคำอธิบายว่าเขาข้ามเวลามาได้อย่างไร”
หนังนำแสดงโดย โจเซฟ กอร์ดอน-เลวิตต์ (Joseph Gordon-Levitt) ที่เคยร่วมงานกันแล้วใน Brick ต่อกร บรูซ วิลลิส (Bruce Willis) ซึ่งทั้งสองตัวจริงหน้าไม่เหมือนกันเท่าไหร่ พวกเขาจึงต้องตกแต่งใบหน้าโจเซฟ และสั่งให้เขาเลียนแบบท่าทางให้คล้ายบรูซ
เพียงหนังออกฉายก็กวาดคำชมไปทั่วโลก ด้วยวิสัยทัศน์อันชาญฉลาดทำให้เขาพลิกชีวิตจากผู้กำกับอินดี้กลายเป็นผู้กำกับเนื้อหอมที่ใคร ๆ ก็อยากทำงานด้วยทันที หนึ่งในนั้นคือสตูดิโอลูคัสฟิล์ม ผู้สร้างภาพยนตร์แฟรนไชส์ Star Wars
จากผู้กำกับโนเนม จอห์นสันกระโดดเข้ากำกับแฟรนไชส์ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่ทั่วโลกจับตามอง ช่วงแรกมีคำปรามาสมากมายว่าเขาอาจไม่เหมาะสมในการกำกับ The Last Jedi ต่อจาก The Force Awakens (2015) ที่ เจ.เจ. แอบรัมส์ (J.J. Abrams) ปูทางไว้อย่างอลังการ
แต่ผิดคาด หนังได้กระแสตอบรับดีมาก ถึงแม้จะมีแฟนคลับเดนตายบอกว่าเขาทำลายความขลังของแฟรนไชส์นี้ด้วยอารมณ์ขัน หนำซ้ำยังปิดฉากตัวละครสำคัญอย่าง “ลุค สกายวอล์กเกอร์” อีกด้วย ซึ่งเขาให้เหตุผลนี้ว่า “ผมไม่อยากทำให้ดูคาดเดาได้หรือชัดเจนจนเกินไป เพราะผมชอบที่จะให้ทุกคนได้ตีความกันไปเอง แน่นอนนี่คือเรื่องใหญ่ เพราะลุคคือตัวละครสำคัญ ฉะนั้นฉากสั่งลาของเขาจะต้องเป็นตำนาน ผมคิดว่าตอนนี้แหละเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการบอกลาตัวละครตัวนี้จากไตรภาคนี้”
ในทางกลับกัน สตูดิโอชื่นชอบการทำงานของเขามาก ๆ ถึงกับประกาศให้เป็นผู้เขียนบทและนั่งแท่นสานต่อไตรภาค Star Wars ในอนาคต โดยจะโฟกัสไปที่เรื่องราวของตระกูล “สกายวอล์กเกอร์” จนมีคนเปรียบเทียบว่า หรือเขาจะเป็น จอร์จ ลูคัส (George Lucas) คนต่อไป?
“น่าสนุกนะ มันเป็นงานท้าทายที่จะได้ลงลึกไปในตำนานบทนี้ สิ่งที่ผมจะเล่าคือก้าวต่อไปของตัวละครระดับตำนาน แล้วผมต้องคิดว่าอะไรคือหัวใจสำคัญของ Star Wars และมันจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร” เขากล่าว "ความเป็นไปได้ของ Star Wars ไม่มีที่สิ้นสุดครับ มันคือโลกที่ผมรักและอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่อายุ 4 ขวบ ตอนนี้ผมมีพื้นที่ว่างเพื่อเตรียมเล่าเรื่องราวใหม่อันแสนพิเศษนี้แล้ว"
จากผู้สานตำนานสงครามดวงดาว ปี 2019 ไรอัน จอห์นสัน หวนกลับสู่แนวทางภาพยนตร์ในสเกลเล็กอีกครั้ง (อย่างน้อยก็เล็กกว่า Star Wars หลายเท่า) กับภาพยนตร์ปริศนาฆาตกรรม Knives Out (2019) ที่กวาดคำชมมาแล้วทุกเทศกาล เขาให้สัมภาษณ์ว่าการกลับมาทำหนังทุนจำกัดมิได้ส่งผลอะไรกับการทำงาน เพราะพื้นฐานการทำงานหนังทุกเรื่องเหมือนกันหมด เพียงแต่ไม่ต้องแบกความกดดันแบบการทำหนังสตูดิโอใหญ่เท่านั้น
“ผมค่อนข้างโล่งอกอยู่เหมือนกัน” เขาอธิบาย “อาจจะฟังดูแปลก อันที่จริงผมมีอิสระเยอะมากตอนทำ The Last Jedi ซึ่งต้องขอบคุณทีมงานลูคัสฟิล์มและดิสนีย์ด้วย ผมไม่มีความรู้สึกแบบว่า ‘ฉันเป็นอิสระแล้ว’ หรืออะไรแบบนั้นเลย ที่แตกต่างอาจจะมีตรงที่ผมสนุกกับการเขียนบทสนทนาในหนังเรื่องนี้มากกว่า ยิ่งตัวละครแต่ละตัวมีบุคลิกที่ชัดเจนทำให้หนังยิ่งสนุก แถมทีมนักแสดงเรื่องนี้มีแต่ตัวท็อป ผมเขียนอะไรไปพวกเขาก็พูดได้เข้าปากหมด”
Knives Out ว่าด้วยเรื่องราวเมื่อคุณปู่นักเขียนชื่อดังเสียชีวิตลงอย่างเป็นปริศนา นักสืบมือดีจึงต้องเข้ามาคลี่คลายคดี และแน่นอนว่าทุกคนในบ้านกลายเป็นผู้ต้องสงสัย จะว่าไปแล้วหนังแนวปริศนาฆาตกรรมในระยะหลังมานี้มีการสร้างเพียงไม่กี่เรื่อง ทั้งยังดูเป็นหนังโบราณเสียด้วย สำหรับ ไรอัน จอห์นสัน เขาจึงทำการบ้านอย่างหนักแล้วก็พบว่า หนังประเภทนี้จะต้องมีอารมณ์ขันและความจริงจังของเรื่องราวที่สมดุล ถึงจะดึงดูดผู้ชมได้มากพอ
“ความสนุกเป็นสิ่งที่มาอันดับแรก และผมไม่ได้อยากแค่คารวะผลงานของ อกาธา คริสตี (Agatha Christie) เท่านั้น หนังเรื่องนี้ไม่ได้ทำมาล้อเลียนหรือตั้งใจให้เป็นหนังตลก ความสมดุลคือหัวใจสำคัญ เนื้อเรื่องต้องไม่เวอร์จนเกินไป และมันไม่ได้เกี่ยวกับการตามหาฆาตกรอย่างเดียว ยังมีเรื่องราวตัวละครที่น่าสนใจให้เอาใจช่วยด้วย”
เพราะนิยายของ อกาธา คริสตี ตัวละครมักแทนคนในสังคมอังกฤษ Knives Out จึงบิดมาเป็นการวิพากษ์วิจารณ์สังคมอเมริกันยุคปัจจุบัน ซึ่งผู้กำกับหยิบยืมบางส่วนมาจากชีวิตจริงของตัวเอง
“ผมใกล้ชิดกับครอบครัวมาก พวกเขาเป็นคนดีไม่เหมือนครอบครัวในเรื่อง แต่การโตมาในครอบครัวใหญ่ทำให้คุ้นเคยกับความซับซ้อนในครอบครัว บางครั้งก็ไม่ได้สวยงามอย่างที่เห็น มันเหมาะมากกับการใช้เป็นฉากหลังในการเล่าเรื่องดรามาและตลกครั้งนี้”
และหลังสิ้นสุดภาพยนตร์เรื่องนี้ ไรอัน จอห์นสัน ก็จะทำงานสานต่อแฟรนไชส์ Star Wars ต่อไป
ข้อมูลจาก
https://www.hollywoodreporter.com/heat-vision/looper-rian-johnson-joseph-gordon-levitt-bruce-willis-368902
https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=1556722781077278&id=775650219184542 http://www.wirelessbangkok.com/archives/12529
https://www.imdb.com/name/nm0426059/bio?ref_=nm_ov_bio_sm
https://www.pe.com/2017/12/13/heres-what-got-star-wars-the-last-jedi-director-rian-johnson-all-choked-up/