จัสติน ฟาชานู โศกนาฏกรรม นักฟุตบอลคนแรกผู้ประกาศว่าเป็นเกย์
"คุณต้องเข้าใจว่า นักฟุตบอลเป็นกลุ่มคนที่ใจแคบมาก มันเป็นธรรมชาติของคนในวงการ เมื่อคุณเอาตัวเองไปเป็นเป้า คุณก็เปิดทางให้คนอื่นโจมตี ผมรู้ว่าการที่ผมมาอยู่ตรงนี้ผมจะต้องถูกรุมเผาในกองเพลิง" จัสติน ฟาชานู (The Irish Times)
การแข่งขันฟุตบอลลีกสูงสุดของอังกฤษในฤดูกาล 1980-81 ไม่ใช่ปีที่ดีนักสำหรับ “นกขมิ้น” นอริช เมื่อพวกเขาต้องตกชั้นไปหลังจบฤดูกาลด้วยอันดับ 20 จาก 22 ทีม แม้ว่าจะทำประตูได้มากกว่าทีมอันดับ 9 อย่างลีดส์ถึง 10 ประตู (49 ต่อ 39 ประตู) แต่แนวรับของพวกเขามีผลงานแย่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของลีก
ในขณะที่แนวรุก พวกเขามีกองหน้าวัยรุ่น ร่างใหญ่ แคล่วคล่อง และเปี่ยมด้วยทักษะอย่าง จัสติน ฟาชานู (Justin Fashanu) ผู้ทำประตูแห่งฤดูกาลใส่ลิเวอร์พูล และทำประตูรวมถึง 19 ประตู
เมื่อทีมต้องตกชั้น เขาเป็นที่ต้องการของหลายทีมใหญ่ ก่อนที่จะเป็น น็อตติงแฮมฟอเรสต์ ทีมแชมป์ยุโรปในฤดูกาลก่อนหน้า (1979-80) ที่ซื้อเขาไปด้วยค่าตัวสูงถึง 1 ล้านปอนด์
ฟาชานูจึงกลายเป็นนักเตะผิวดำคนแรกในประวัติศาสตร์ที่มีค่าตัวสูงถึง 1 ล้านปอนด์ และเป็นที่คาดหวังว่าเขาจะประสบความสำเร็จอย่างสูงทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติ แต่มันกลับเป็นจุดเริ่มต้นของความตกต่ำ และโศกนาฏกรรมชีวิตของนักฟุตบอลคนแรก (ในประวัติศาสตร์เช่นกัน) ที่ออกมายอมรับว่า เขาเป็นเกย์
จากข้อมูลของ Britannica ฟาชานูเกิดเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1961 เป็นลูกของนักเรียนกฎหมายชาวไนจีเรียและแม่ที่เป็นพยาบาล เมื่อพ่อกับแม่แยกทางกัน พ่อของเขาเดินทางกลับไนจีเรีย ทิ้งเขาและพี่น้องอีก 3 คนให้อยู่กับแม่ ต่อมาแม่ก็ส่งเขาและ จอห์น ฟาชานู น้องชาย (ซึ่งเป็นกองหน้าระดับตำนานของทีมวิมเบิลดัน) ไปอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ก่อนที่ครอบครัวชนชั้นกลางผิวขาวจากนอร์ฟอล์กจะมารับทั้งคู่ไปเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม โดยแม่แท้ ๆ ของเขายังคงไปเยี่ยมเป็นครั้งคราว
พี่น้องฟาชานูกลายเป็นคนดำคู่เดียวในหมู่บ้านคนขาว ซึ่งสิ่งแวดล้อมในเบื้องต้นไม่ได้เป็นปัญหามากนัก เพราะครอบครัวบุญธรรมต่างเลี้ยงดูพวกเขาอย่างดี แต่เมื่อเริ่มเป็นวัยรุ่นและต้องไปเรียนที่นอริช ที่นั่นเองที่พวกเขาต้องเจอกับปัญหาการเหยียดผิวที่ยังรุนแรงมากในสังคมอังกฤษ
แม้จะได้อยู่ในสังคมคนขาวมีสภาพแวดล้อมที่ดี ซึ่งเป็นสิ่งที่แม่บังเกิดเกล้าไม่สามารถมอบให้ได้ และแม่ของเขาก็เชื่อว่านั่นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เธอจะมอบให้กับลูกชายทั้งสองคนได้ แต่จัสตินก็ตั้งคำถามกับแม่เสมอว่าทำไมเขาและน้องชายจะต้องถูกส่งไปอยู่กับคนอื่น?
ปมชีวิตในวัยเด็กที่ทั้งพ่อและแม่ต่างก็จากเขาไป ทำให้จัสตินมีบุคลิกภาพซับซ้อน เขาพยายามทำตัวสดใส สนุกสนานอยู่เสมอ แต่ภายในเต็มไปด้วยความสับสนและสงสัยในตัวเอง
จัสตินเป็นคนที่มีทักษะทางกีฬาโดดเด่นมาตั้งแต่เด็ก ๆ และค่อนข้างเป็นที่โด่งดังในท้องถิ่น เมื่อสามารถเข้าไปแข่งมวยชิงแชมป์เยาวชนระดับประเทศในรอบสุดท้ายได้ถึงสองครั้ง แต่ที่เขาทำได้ดียิ่งกว่าก็คือการเป็นนักฟุตบอล เมื่อสามารถแทรกขึ้นมาเล่นทีมชุดใหญ่ให้กับนอริชได้ตั้งแต่อายุ 17 ปี และทำประตูรวม 40 ประตูจากการลงเล่น 103 นัด ก่อนที่จะย้ายไปเล่นให้กับสโมสรที่ใหญ่กว่าอย่างน็อตติงแฮมฟอเรสต์ในปี 1981
จัสตินต้องแบกรับความกดดันไม่น้อยกับค่าตัวที่สูงมากในยุคนั้น (ปีต่อมา เควิน คีแกน ปีกระดับตำนาน ย้ายจากเซาแธมป์ตันไปนิวคาสเซิลด้วยค่าตัว 1 แสนปอนด์เท่านั้น) ทั้งยังต้องเจอกับการด่าทออย่างรุนแรงเมื่อเขาทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวัง จาก ไบอัน คลัฟ ผู้จัดการทีม ซึ่งเป็นสไตล์ส่วนตัว และสมัยนั้นวงการฟุตบอลยังยอมรับการปฏิบัติเช่นนั้นอยู่
สถานการณ์ยิ่งแย่ลงเมื่อคลัฟรู้ว่า ฟาชานูไปเที่ยวบาร์เกย์เป็นประจำ ซึ่งมีอยู่แค่แห่งเดียวในเมือง คลัฟจึงหยามเหยียดเขาด้วยคำพูดที่เสียดแทงความรู้สึกคนเป็นเกย์ และสั่งห้ามไม่ให้ฟาชานูร่วมฝึกซ้อมกับเพื่อนร่วมทีม
"จากที่ผมได้พูดคุยเรื่องราวส่วนตัวกับจัสตินหลาย ๆ ครั้ง มันก็ชัดเจนว่า ความรังเกียจคนรักเพศเดียวกันของ ไบรอัน คลัฟ ทั้งการเหยียดและหยามซ้ำแล้วซ้ำเล่า ส่งผลร้ายต่อสุขภาพจิตของเขา ตอนแรก ๆ จัสตินก็พยายามทำเป็นขำ ๆ ไป แต่พอมันกินเวลาเป็นสัปดาห์ เป็นเดือน ๆ ก็ยังไม่จบ มันก็เลยกระทบกับเขาอย่างจัง" ปีเตอร์ แทตเชล (Peter Tatchell) กล่าวกับ BBC Inside Out
ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก จัสตินหันเข้าหาศาสนา แต่นั่นอาจจะไม่ได้ช่วยเขามากเท่าไรนัก
"เช่นเดียวกับคำพูดของคลัฟ ความเชื่อในศาสนาของจัสตินเองก็น่าจะยิ่งทำให้ชีวิตของเขายากขึ้นไปอีก เมื่อการเป็นเกย์แสดงว่าเขาผิดปกติ และศาสนจักรก็บอกว่าคุณจะเป็นเกย์ไม่ได้" โคลิน เยตส์ (Colin Yates) ศิลปินที่ศึกษาชีวิตของจัสตินและถ่ายทอดออกมาเป็นงานศิลปะ บอก (Sky Sports)
ตอนนั้นจัสตินยังคงปฏิเสธว่าเขาไม่ได้เป็นเกย์ (ซึ่งไม่ได้ช่วยอะไรมากนักหลังจากนี้ยังมีคนในวงการฟุตบอลตามล้อเขาเรื่องนี้อยู่เสมอ) และออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่าเขาพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้กลับไปร่วมซ้อมกับทีมได้อีกครั้ง แต่เขาก็ไม่ได้รับโอกาสนั้นอีก เมื่อถูกปล่อยให้เซาแธมป์ตันยืมตัวไปในต้นฤดูกาลต่อมา
กับนักบุญแดนใต้ ฟาชานูกลับมาทำงานได้ดีอีกครั้ง แต่ทีมไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อตัวเขาเป็นการถาวร ฟอเรสต์จึงขายเขาให้กับน็อตส์เคาตี ด้วยราคาเพียง 150,000 ปอนด์ หรือไม่ถึง 1 ใน 4 ของค่าตัวเดิมที่ทีมเจ้าป่าจ่ายให้กับนอริช ระหว่างนี้เขาทำผลงานได้ค่อนข้างดี ด้วยสถิติ 1 ประตูต่อ 3 นัด ก่อนมาได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่าจนไม่อาจเล่นได้ดีเหมือนเก่า และถูกปล่อยไปอยู่กับไบรตันแอนด์โฮฟอัลเบียนในปี 1985 แต่เพียงปีเดียวเขาก็ถูกยกเลิกสัญญา
แม้จะได้รับคำแนะนำให้เลิกเล่นฟุตบอลเนื่องจากอาการบาดเจ็บ แต่ฟาชานูก็ยังไม่ยอมแพ้ เขาเดินทางไปยังสหรัฐฯ เพื่อหาทางรักษาเข่าให้หายขาด จนทำให้เงินสะสมที่มีมาค่อย ๆ หมดไป เขาต้องเล่นให้กับทีมเล็ก ๆ ในอเมริกาเหนือ พร้อมกับหาทางกลับมาเล่นในอังกฤษอีกครั้ง
เขาได้โอกาสเซ็นสัญญากับทีมในลีกระดับสูงบ้างแต่ก็ไม่ค่อยได้มีโอกาสลงเล่น (ส่วนใหญ่ไม่ถึง 10 นัด) จึงต้องเปลี่ยนสโมสรไปเรื่อย ทำให้ชื่อเสียงในฐานะนักฟุตบอลค่อย ๆ ถูกพูดถึงน้อยลง รายได้ก็น้อยลงเพราะไม่ได้เล่นกับทีมใหญ่ ๆ อีกแล้ว เขาจึงพยายามเป็นข่าวเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับตัวเอง
จนกระทั่งในปี 1990 ฟาชานูออกมาประกาศตัวว่าเขาเป็นเกย์ ทั้งยังมีความสัมพันธ์ทางเพศกับนักการเมืองรายหนึ่งที่มีครอบครัวแล้วด้วย
นั่นเป็นจุดแตกหักระหว่างเขากับ “จอห์น” น้องชาย
จอห์นต้องอยู่ใต้ร่มเงาของจัสตินมาโดยตลอด เขาไปไหนมาไหนก็ถูกทักว่าเป็น “น้องชายจัสติน” มากกว่าที่จะเป็น “จอห์น ฟาชานู” เพราะเขาด้อยกว่าในเชิงพรสวรรค์ แต่จอห์นก็ค่อย ๆ เติบโตในฐานะนักกีฬา ไม่เหมือนพี่ชายที่ล้ำหน้ามีชื่อเสียงระดับประเทศตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น ขณะที่จอห์นแทบไม่ได้รับโอกาสลงเล่นเลยสมัยที่ยังอยู่นอริชด้วยกัน
ทำให้จอห์นที่ยังเป็นวัยรุ่นเลือดร้อนอดอิจฉาพี่ชายของเขาไม่ได้
แต่เมื่อจอห์นได้ย้ายมาอยู่ “จอมโหด” วิมเบิลดัน (1986-94) เขาก็ดังเป็นพลุแตกกับสไตล์การเล่นที่ดุดันและสามารถทำประตูได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ (เกินกว่า 100 ประตู) และกลายเป็นที่ยอมรับมากกว่าพี่ชายในฐานะนักฟุตบอล จนครั้งหนึ่งเขาเคยพูดว่า ตอนนี้พี่ชายของเขาคงรู้แล้วว่า การถูกเรียกว่า “พี่ชายของจอห์น” จะทำให้เขารู้สึกอย่างไร
เมื่อตอนที่จัสตินจะประกาศว่าเขาเป็นเกย์ จัสตินได้คุยกับจอห์น และจอห์นก็คัดค้านอย่างสุดตัว ถึงกับเสนอเงิน 75,000 ปอนด์ เพื่อให้จัสตินปิดปาก เพราะเข้าใจว่า พี่ชายของเขาแค่ต้องการขายข่าวให้กับหนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ แต่จัสตินนอกจากจะรับเงินของน้องชายไปแล้ว ก็ยังเลือกที่จะประกาศสถานะทางเพศของเขาต่อสาธารณะอยู่ดี ทำให้จอห์นตัดสัมพันธ์กับจัสติน นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา
จัสตินใช้เวลาในช่วงท้าย ๆ ของการเป็นนักฟุตบอลส่วนใหญ่กับทีมในลีกล่าง ๆ และพยายามขายข่าวฉาว (ซึ่งกลายเป็นแหล่งรายได้สำคัญ) เรื่องความสัมพันธ์กับคนนู้นคนนี้เป็นระยะ ๆ รวมถึงนักการเมือง ก่อนที่มันจะย้อนกลับมาทำร้ายเขาเอง เมื่อสตีเฟน มิลิแกน (Stephen Miligan) นักการเมืองจากพรรคอนุรักษนิยม เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ปี 1994 ในสภาพกึ่งเปลือยและมีท่อร้อยสายไฟพันรอบคอ ทำให้เขาถูกเจ้าหน้าที่เรียกไปสอบปากคำ
จัสตินต้องออกมาปฏิเสธและยอมรับว่า เขาเพียงสร้างเรื่องการมีสัมพันธ์กับนักการเมืองเพื่อขายข่าวเต้าให้กับหนังสือพิมพ์แท็บลอยด์เท่านั้น (Evening Standard)
เขาถูกยกเลิกสัญญาเนื่องมาจากข่าวฉาว จึงต้องไปหากินในอเมริกาเหนืออีกรอบ โดยเล่นให้กับทีมเล็ก ๆ ในแคนาดา แต่ก็อยู่ได้ไม่นานเมื่อเจ้าของทีมรับไม่ได้กับการที่เขาเป็นเกย์และยังชอบไปทำความสนิทสนมกับเด็กผู้ชาย จัสตินจึงย้ายไปเป็นโค้ชให้กับทีมเยาวชนในแมรีแลนด์ สหรัฐอเมริกา ก่อนที่จะถูกกล่าวหาว่า เขาข่มขืนเด็กผู้ชายวัย 17 ปี
ด้วยความกังวลว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมในการดำเนินคดี (เนื่องจากเขาเป็นคนดำ และเป็นเกย์) ทำให้จัสตินตัดสินใจหนีคดีเดินทางกลับมายังอังกฤษก่อนที่จะมีหมายจับ และเมื่อทางการแมรีแลนด์ออกหมายจับในวันที่ 1 พฤษภาคม 1998 หนึ่งวันต่อมา จัสตินก็ฆ่าตัวตายในโรงรถแห่งหนึ่งในลอนดอน
จอห์นน้องชายที่เคยตัดสัมพันธ์กับพี่ชายด้วยความโกรธที่ทำให้ภาพลักษณ์ความเป็นชายของเขาได้รับผลกระทบไปด้วย ออกมายอมรับในภายหลังว่า จัสตินน่าจะโทรมาหาเขาก่อนที่จะฆ่าตัวตาย แต่เขาฟังไม่ได้ศัพท์และไม่อยากเสวนาด้วยจึงวางสายไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เขาเสียใจเป็นอย่างมากและยอมรับว่า ความเกลียดชังเกย์ของเขาในตอนนั้นเป็นเพราะการขาดความเข้าใจในสิ่งที่พี่ชายเป็นและต้องเผชิญ
"ผมขอพูดอีกครั้งว่า มันเป็นเพราะการขาดการศึกษา ผมพูดชัด ๆ เลยว่า ตอนนั้นผมทำตัวเป็นปีศาจกับจัสติน ผมจ่ายเงินเขา 75,000 ปอนด์ เพื่อให้เขาไม่พูดว่าเขาเป็นเกย์" จอห์นกล่าวในรายการ Good Morning Britain เมื่อต้นปี 2018 จอห์นยังบอกในรายการด้วยว่า ถึงปัจจุบันเขาก็ยังถูกแฟนบอลในสนามเข้ามาล้อเขาเรื่องที่พี่ชายของเขาเป็นเกย์ พร้อมเรียกร้องให้สมาคมฟุตบอลสร้างบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมที่เป็นมิตรกับนักฟุตบอลที่เป็นเกย์มากกว่านี้