Bird Box: หากมองเป็นตาย แล้วเราจะเผชิญกับด้านมืดอย่างไร?
***เปิดเผยเนื้อหาของภาพยนตร์***
เวลาคุณดำดิ่งไปกับด้านมืดของชีวิต คุณจะเลือกรับมือกับมันอย่างไร?
เลือกที่จะหนี? หรือเลือกที่จะเผชิญหน้ากับมัน?
แล้วหากคุณเลือกเผชิญหน้ากับด้านมืดล่ะก็...
คุณจะโอบกอดมันด้วยชีวิต หรือเทิดทูบูชามันกันแน่?
จู่ๆ วันหนึ่งผู้คนก็มองเห็นอะไรบางอย่างบนท้องฟ้า เพียงแค่มอง “มัน” คุณจะกลายเป็นคนจิตวิปลาส ฆ่าตัวตายอย่างไม่มีเหตุผลทันที หนทางเดียวที่จะเอาตัวรอดได้ก็คือ “อย่ามองมัน” มาร์โลรี กับเด็กชาย/หญิง 2 คน จึงต้องเดินทางเอาตัวรอดไปยังแหล่งหลบภัยแห่งสุดท้าย โดยห้ามเปิดตาแม้แต่วินาทีเดียว
หนังเล่าเรื่องตัดสลับระหว่าง 5 ปีที่เริ่มเหตุการณ์ กับช่วงเวลาหลบหนีหาแหล่งหลบภัย แรกเริ่มมาร์โลรีเป็นเพียงหญิงสาวตั้งครรถ์ที่อยู่กับน้องสาว เธอรับรู้ถึงหายนะของโลกเมื่อน้องสาวเหลือบมองไปเห็น “มัน” จนต้องจบชีวิตลงอย่างรวดเร็ว มาร์โลรีที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ จึงได้รับการช่วยเหลือเข้าบ้านหลังหนึ่ง
ในบ้านหลังนั้นเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคนแก่ หนุ่มสาว ตำรวจ หรือโจร พวกเขาเอาตัวรอดด้วยการปิดประตูหน้าต่างทั้งหมด อยู่ภายในบ้านแคบๆ ไร้แสงอาทิตย์ คอยหลบ “มัน” ที่อยู่ข้างนอก แต่พอเวลาผ่านไปอาหารเริ่มร่อยหรอ พวกเขาจึงจำเป็นต้องออกเดินทางหาเสบียงเลี้ยงชีพ เราจะเห็นความคิดสร้างสรรค์ในการเอาตัวรอด และเอาใจช่วยพวกเขาไปพร้อมกัน
ระหว่างทาง เราจะรู้ว่ามีบางคนที่มอง “มัน” แล้วไม่ฆ่าตัวตาย แต่กลับมองปีศาจร้ายเป็นสิ่งสวยงาม แม้ภายนอกคนเหล่านั้นจะดูเหมือนคนธรรมดา แต่ภายในหาใช่มนุษย์ปกติ พวกเขากลายเป็นคนจิตใจอํามหิตโหดเหี้ยม ซ้ำร้ายยังบังคับให้คนอื่นมอง “มัน” โดยไม่สนใจว่าเขาจะฆ่าตัวตายหรือไม่
ถึงแม้จะไม่มีใครมองเห็น “มัน” ตรงๆ แต่เรารับรู้ได้ถึงลม เงา หรือเสียงเวลาที่มันคืบคลานเข้ามา รวมถึง นก ที่จะกระพือปีกบอกให้มาร์โลรีระวังตัว ครั้นถึงเวลาเดินทางหลบหนี เธอจึงจับนกลงกล่องเพื่อเป็นสัญญาณเตือนภัย อันเป็นที่มาของชื่อ Bird Box ของหนัง
จะว่าไปสภาวะที่มนุษย์ต้องทนอยู่ในบ้านแคบๆ ไม่ต่างอะไรนกที่ถูกขังอยู่ในกล่องกรง น่าเสียดายที่วันหนึ่งมีคนเสพติดความเลวร้ายหลุดรอดเข้ามาในกรงนั้น และทำลายความสงบของบ้านหลังนั้นจนย่อยยับ มาร์โลรีจึงต้องหลบหนีออกมาอีกครั้ง
5 ปีถัดมา มาร์โลรี ยังคงอยู่รอดในโลกโหดร้าย เธอกลายเป็นหญิงแกร่งพร้อมเด็กชาย/หญิงสองคน กลุ่มคนเสพติด “มัน” ยังคงออกล่าหาเหยื่อตามปกติ เธอและเด็กๆ จึงต้องเดินทางหลบหนีอย่างระแวดระวัง เบาะแสสุดท้ายคือแหล่งหลบภัยบริเวณปลายแม่น้ำ เธอจึงต้องแล่นเรือฝ่ากระแสน้ำทั้งๆ ที่สวมผ้าปิดตาอยู่ และเมื่อเธอเดินทางมาถึงที่หลบภัย ท้ายที่สุดเธอก็รู้ว่าการอยู่ในกรงแคบๆ มืดๆ มันไม่ใช่เรื่องน่าอภิรมย์เท่าไหร่ มนุษย์เองก็ไม่ต่างจากนกที่ต้องการโบยบิยอย่างอิสระ และนั่นก็คือความสวยงามที่แท้จริงของโลกใบนี้
ประเด็น “มัน” ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมมนุษย์มีความน่าสนใจอย่างหนึ่ง เราอาจเทียบเคียงเงามืดนั้นไม่ต่างจาก “ด้านมืดในจิตใจมนุษย์” ไม่ว่าจะเป็นความโหดเหี้ยม ความเศร้า หรือแม้กระทั่งความวิกลจริต ซึ่งล้วนแล้วเป็นปมที่ทำให้มนุษย์เราจมดิ่งทางอารมณ์ลงไปง่ายๆ เห็นได้จากหนึ่งในตัวละครที่มอง “มัน” แต่กลับเรียกว่า “แม่” ก่อนเธอจะจบชีวิตตัวเองเหมือนคนอื่นๆ สะท้อนได้ว่าเธออาจมีปมเรื่องแม่เข้ามาเกี่ยวข้อง ขณะที่ตัวละครอื่นๆ มักร้องไห้ก่อนจะฆ่าตัวตายเสมอ
หาก “มัน” คือความเลวร้ายที่มนุษย์ต้องเผชิญ เราจึงเห็นคนสองประเภทที่ได้รับผลกระทบจากมัน – คนที่หนีมันไม่พ้นจนต้องจบชีวิตลง กับคนที่เสพติดและมองว่ามันสวยงาม
ฉะนั้นแล้ว เวลาคุณดำดิ่งไปกับด้านมืดของชีวิต คุณจะเลือกรับมือกับมันอย่างไร?
เลือกที่จะหนี? หรือเลือกที่จะเผชิญหน้ากับมัน?
แล้วหากคุณเลือกเผชิญหน้ากับด้านมืดล่ะก็...
คุณจะโอบกอดมันด้วยชีวิต หรือเทิดทูนบูชามันกันแน่?