ลูอิส แฮมิลตัน ขับดุทลายกำแพงสีผิว ซิ่งระห่ำสู่แชมป์โลก 6 สมัย
นักกีฬาอาชีพ ไม่ว่าจะแข่งกีฬาประเภทไหนล้วนใฝ่ฝันว่า สักวันหนึ่งจะขอไปให้ถึงตำแหน่งแชมป์แค่สักครั้งก็เกินพอ แต่สำหรับนักแข่งรถสูตรหนึ่ง (Formular 1 - F1) อย่าง ลูอิส แฮมิลตัน (Lewis Hamilton) เขาไปไกลกว่าที่ใครหลาย ๆ คนฝันมากแล้ว เพราะเขาเพิ่งได้แชมป์สมัยที่ 6 มาหมาด ๆ หลังสิ้นสุดฤดูกาล 2019 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม 2019
และดูท่าความทะเยอะทะยานของเขายังไม่หมดลงง่าย ๆ เชื่อว่าเขาน่าจะคว้าแชมป์เพิ่มอีกหลายสมัย จนลบสถิติ 7 แชมป์ของยอดนักขับระดับตำนาน ไมเคิล ชูมัคเกอร์ (Michael Schumacher) ได้ในอนาคตอันใกล้ แล้วกลายเป็น The Great One เพียงหนึ่งเดียว
จริง ๆ แล้วในฤดูกาลล่าสุด แฮมิลตันซึ่งลงแข่งให้กับทีม Mercedes ได้แชมป์อย่างไม่เป็นทางการไปตั้งแต่จบสนามที่ 19 United States Grand Prix ที่สหรัฐอเมริกา หลังคะแนนสะสมของเขาทิ้งห่างอันดับ 2 อย่าง วัลเทอร์รี บอททาส (Valtteri Bottas) เพื่อนร่วมทีมชนิดต่อให้เขาเก็บแต้มเพิ่มไม่ได้เลย และบอททาสเข้าป้ายอันดับ 1 ในสนามที่เหลือก็ไล่เขาไม่ทัน และในเรซสุดท้าย Abu Dabi Grand Prix เขายังโชว์เหนือเข้าเส้นชัยเป็นคนแรกนำขาดตั้งแต่ต้นจนจบ เป็นการปิดปีอย่างยิ่งใหญ่และงดงาม
การจะเป็นแชมป์ F1 ได้ต้องมีหลายปัจจัยเกิดขึ้นพร้อมกัน ประการแรกต้องเก่งและมีความสามารถจริง ๆ ซึ่งแฮมิลตันมีแน่นอน แต่จะเก่งอย่างเดียวไม่ได้ ยังต้องมีรถที่ดี มีทีมเก่งกาจคอยวางแผนและเกื้อหนุนกัน (โดยเฉพาะทีมพิทเปลี่ยนอะไหล่ระหว่างแข่ง) และต่อให้มีหมดทุกอย่าง หากขาดดวงเข้าไปด้วย โอกาสจะได้ยืนละเลงแชมเปญบนโพเดียมก็คงไม่เกิดขึ้นง่าย ๆ
ตลอดชีวิตการเป็นนักแข่ง F1 ของแฮมิลตันมีทุกอย่างดังที่กล่าวมา ถึงเขาจะทำผิดพลาดอยู่บ้างประปราย แต่ก็ไม่บ่อยเมื่อเทียบกับความผิดพลาดของนักขับคนอื่น แถมเขายังพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่เหมาะเหม็งหลายครั้งราวโชคช่วย สามารถหาจังหวะแซงหน้าคนที่ทำพลาด แล้วขึ้นไปคว้าชัยแทนได้บ่อยครั้ง
เห็นเขาเก่งกาจเกินใครแบบนี้ แต่เส้นทางกว่าจะมาถึงจุดนี้ไม่ง่ายเลย แฮมิลตันเผชิญกับอุปสรรคมามากกว่านักขับคนไหน ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุปสรรคทางชนชั้น เขามาจากครอบครัวชนชั้นแรงงานปากกัดตีนถีบในฮาร์ทฟอร์ดเชอร์ ประเทศอังกฤษ พ่อแม่ของเขาแยกทางกัน บ้านของเขาไม่มีเงินมาก แอนโทนี (Anthony Hamilton) พ่อของเขาต้องทำงานอย่างหนักเพื่อหาเลี้ยงลูกชายในแต่ละวัน การจะหาของขวัญมาให้เขาได้สักชิ้นหนึ่งเลือดตาแทบกระเด็น แต่แล้ววันหนึ่งพ่อเจียดเงินซื้อรถบังคับวิทยุของเล่นให้ตอนอายุเพียง 5-6 ขวบ ผลปรากฏว่ามันกลายของเล่นเปลี่ยนชีวิต และทำให้เขาหลงเสน่ห์ในความเร็วมาตั้งแต่นั้น
แต่การเป็นคนจนที่ชื่นชอบกีฬาราคาแพงอย่างรถแข่ง แน่นอนว่ามาพร้อมกับค่าใช้จ่ายมหาศาล กระนั้นพ่อของเขาก็บ่ยั่น พร้อมจะทำงานหนักถึง 4 งานเพื่อให้ลูกชายได้ไปแข่งรถโกคาร์ท แม้จะมีหลายครั้งที่เขาหาเงินไม่พอให้ลูอิสไปแข่งได้จริง ๆ แถมรถที่เขาได้ขับก็ไม่ใช่รถสภาพดี เท่ และเฉียบเหมือนรถของเด็กบ้านรวยคนอื่น ๆ
ความทุ่มเทของพ่อทำให้ลูอิสยกย่องเขามาตลอดว่าเป็นยอดวีรบุรุษ และมีส่วนสำคัญให้เขาก้าวมาถึงจุดนี้ได้ แม้กระทั่งเมื่อเขาได้แชมป์โลกมาครองหลายสมัย เขาก็ไม่เคยลืมพ่อของเขาเลย และจะให้สัมภาษณ์ถึงทุกครั้งที่มีโอกาส
นอกจากยากจนแล้ว อีกอุปสรรคที่ลูอิสต้องพานพบมาตลอดคือเรื่องสีผิว เขาเป็นคนผิวดำ (พ่อของเขาเป็นคนอังกฤษผิวดำ แต่แม่เป็นคนผิวขาว) สีผิวที่แตกต่างทำให้หลายครั้งเขาถูกเหยียดหยาม ล้อเลียน และไม่ได้รับการปฏิบัติที่ดีเท่าไหร่เมื่อเทียบกับนักเแข่งผิวขาวคนอื่น ๆ
ถึงคำพูดและการกระทำแย่ ๆ ก็กลายมาเป็นแรงฮึดให้เขาฝ่าฟันทุกอย่างแล้วเอาคืนในสนามแข่ง รถอาจจะสู้ไม่ได้ แต่เขามีความบ้าเลือด บ้าดีเดือดไม่เป็นสองรองใคร และมันทำให้เขากลายเป็นแชมป์ไล่ตั้งแต่สนามเล็ก ๆ ไต่เต้าไปแข่งรายการใหญ่อีกมากมาย
เขายังเคยก่อวีรกรรมสุดห้าวด้วยการไปแนะนำตัวกับ รอน เดนนิส (Ron Dennis) บอสใหญ่ของทีม F1 อย่าง McLaren ว่าอยากแข่งให้กับทีมนี้มาก ซึ่งในเวลาต่อมาเขาก็ได้เซ็นสัญญาเป็นนักขับรุ่นเยาว์ของ McLaren จริง ๆ ก่อนจะเดบิวต์เข้าสู่วงการ F1 อย่างเป็นทางการในปี 2007 โดยเริ่มจากการเป็นนักขับมือ 2 ของทีมรองจาก เฟอร์นันโด อลองโซ (Fernando Alonso) นักขับแชมป์โลก 2 สมัยที่เพิ่งย้ายมาจากทีม Renault ในตอนนั้น
และแฮมิลตันก็ฉายแสงความเป็นมนุษย์ต่างดาวตั้งแต่ปีแรกในลีก เขาเกือบคว้าแชมป์ F1 ได้ตั้งแต่ยังเป็น rookie แม้จะลงเอยด้วยอันดับที่ 2 ได้คะแนนรวมเป็นรอง คิมี ไรโคเนน (Kimi Räikkönen) จากทีม Ferrari เพียงแต้มเดียว แต่วินาทีนั้นคนทั่วโลกต่างคาดการณ์ว่าอีกไม่นาน เขาจะขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดอย่างแน่นอน
และเวลาดังกล่าวก็มาเร็วกว่าที่ใครคาดคิด ในปีถัดมาเขาสามารถพิชิตยอดเขาสุดหฤโหดจนได้ แถมเป็นการคว้าแชมป์ที่น่าจดจำด้วยในโค้งสุดท้ายของสนามสุดท้าย Brazilian Grand Prix เมื่อเป็นการตัดสินแชมป์ระหว่างแฮมิลตันกับ ฟิลิปเป มาสซา (Filippe Massa) นักขับจาก Ferrari ซึ่งเกิดความพลิกผันหลายตลบ
ในช่วงท้ายของเรซนั้นแฮมิลตันขับไม่ดีเท่าไหร่ อยู่ที่ลำดับ 7 ส่วนมาสซาชิงขับเข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 1 ไปก่อน หากทุกอย่างไม่ผิดพลาด หากแฮมิลตันไม่ได้เข้าเส้นชัยใน 5 อันดับแรก มาสซาจะได้แชมป์ไปครองอย่างเป็นทางการ และทุกอย่างก็เกือบจะออกมาเป็นเช่นนั้นแล้ว
แต่เนื่องจากวันแข่งมีฝนตกลงมาจนพื้นสนามเปียก ปรากฏว่า ทิโม กล็อค (Timo Glock) นักขับจากทีม Toyota ที่ประคองอยู่อันดับ 4 กลับขับพลาดเสียเองจนหล่นไปอันดับ 6 และเป็นแฮมิลตันที่หาช่องแซงขึ้นมาและเข้าเส้นชัยในลำดับที่ 5 จนได้ ส่งผลให้คะแนนโดยรวมดีดขึ้นมาเป็นที่ 1 ฉกถ้วยแชมป์จากมาสซามาครองแบบที่คนดูทั่วโลกไม่เชื่อสายตา การตัดสินแชมป์ของ F1 ในปีนั้นถูกยกย่องได้ว่าดุเดือดที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ แม้สำหรับแฮมิลตันแล้ว ปีนั้นจะเป็นปีสุดหฤโหดและไม่มีความสุขเลยเนื่องจากความเครียดที่สั่งสมมาตลอดทั้งฤดูกาล
หลังได้แชมป์สมัยแรก ถึงแฮมิลตันจะยังเป็นนักซิ่งตีนผีอันดับต้น ๆ ของโลก แต่น่าเสียดายที่เขาไปไม่ถึงแชมป์โลกอีกเลยใต้ชายคา McLaren โดยมักจะจบที่อันดับ 4-5 เสมอซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ยอดนักสู้อย่างเขาพอใจ ในปี 2013 เขาจึงย้ายไปร่วมทีม Mercedes แทน และช่วงเวลาที่เขาอยู่กับทีม 7 ปีจนถึงปัจจุบัน Mercedes สามารถดึงเอาความเก่งกาจของเขามาใช้ได้อย่างเต็มศักยภาพ จนสามารถคว้าแชมป์มาครองเพิ่มอีก 5 สมัย
ความสำเร็จของแฮมิลตัน มาจากสไตล์การขับที่ดุเดือดและดุดัน แซงได้เป็นแซงแบบเดียวกับไอดอลในวัยเด็กของเขาอย่าง อายร์ตัน เซนนา (Ayrton Senna) อดีตแชมป์โลกชาวบราซิลผู้ล่วงลับ เขาคือ The Fast and the Furious ขับระห่ำไปบี้นรก อย่าให้ใครเปิดช่องให้เด็ดขาด ต่อให้มีช่องนิดเดียว เขาก็จะหาทางมุดจนได้ แม้ช่วงหลัง ๆ ความบ้าเลือดของเขาจะลดมาพอสมควร แต่ความกระหายในชัยชนะ กระหายการเป็นแชมป์ไม่ได้ลดลงไปเลย
บางปีที่เขาได้แชมป์ไปตั้งแต่ยังไม่จบฤดูกาลดี (เช่นปีนี้) แต่สนามแข่งที่เหลือหลังจากนั้น เขาก็ไม่ได้ขับกินลมชมวิวไปเรื่อย ทว่ายังมุ่งมั่นกับการเอาชนะสนามที่เหลือให้สมกับสปิริตนักกีฬาในตัว และให้สมกับที่คนดูทั่วโลกยอมจ่ายเงินราคาแพงเพื่อถ่อมาดูเขาเหยียบมิดไมล์
อีกหนึ่งในเคล็ดลับความสำเร็จของแฮมิลตันนอกจากจะอยู่ที่สไตล์การขับและความมุ่งมั่นแล้ว เขาบอกว่าเขายังเผื่อเวลาไว้เอนจอยกับเรื่องอื่น ๆ ในชีวิตด้วย ไม่ได้คิดแต่จะเอาชนะอย่างเดียวจนตัดขาดทุกอย่างรอบตัว โดยเขาได้แนวคิดดังกล่าวมาจากหนังสือเรื่อง The Alchemist (1988) ของ เปาลู กูเวลยู (Paulo Coelho)
ปัจจุบันแฮมิลตันถือเป็นนักขับที่ได้ค่าตัวเยอะมากที่สุด ชีวิตความเป็นอยู่ของเขาแตกต่างจากในอดีตลิบลับ เงินอาจเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเขาก็จริง แต่มันไม่ใช่อันดับ 1 เพราะยังไงก็ไม่มีอะไรที่เขารักมากกว่าการแข่งรถในสนามอีกแล้ว เขาชอบความท้าทาย และจะยิ่งชอบมากหากได้เผชิญกับนักขับรุ่นใหม่ ๆ ที่สรรหากลเม็ดทุกอย่างมาล้มเขา และตราบใดที่เขายังรู้สึกสนุกและมีไฟกับการแข่งแบบนี้ เขาก็จะยังไม่แขวนพวงมาลัยง่าย ๆ แน่นอน แม้ว่าเขาจะอายุ 34 ปีแล้ว และค่อย ๆ เข้าใกล้โค้งสุดท้ายของอาชีพเข้าไปทุกขณะ
แต่กว่าจะถึงวันนั้นจริง ๆ ขอให้แฟน ๆ จงดื่มด่ำกับความเร็วของเขากันให้เต็มอิ่ม เชื่อได้เลยว่าอย่างน้อยในช่วง 2-3 ปีถัดจากนี้ ชื่อเสียง เกียรติยศ และถ้วยรางวัลต่าง ๆ ที่จากเดิมก็มากโขอยู่แล้วจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม และคงอีกนานหลายปีกว่าหาใครมาเทียบชั้น ลูอิส แฮมิลตัน ผู้นี้ได้
นักเขียนรับเชิญ: ปารณพัฒน์ แอนุ้ย
ที่มา:
https://www.theguardian.com/sport/2019/jun/07/lewis-hamilton-diversity-f1
https://www.theguardian.com/sport/2019/oct/25/f1-lewis-hamilton-scarred-for-life-childhood-racist-abuse
https://www.mirror.co.uk/sport/formula-1/lewis-hamilton-explains-wont-pursuit-20956407
https://www.mirror.co.uk/sport/formula-1/lewis-hamilton-opens-up-career-20928271
https://www.youtube.com/watch?v=03eJmbZ1eZc
https://www.youtube.com/watch?v=XHSeGou-pCI