read
interview
11 ธ.ค. 2562 | 17:31 น.
วง MEAN ลาออกจากงานประจำ มาเดิมพันกับดนตรี เพื่อสร้างนิยามความสุขให้ทุกคน
Play
Loading...
ความหมาย และนิยามความสุขของวง MEAN คืออะไร ทำไมเพลงของทั้งสี่หนุ่ม พัด
ปาล์ม
กัน และ โปเต้ ถึงเต็มไปด้วยเพลงเหงาเศร้า ไม่ค่อยสมหวังในความรัก ตรงข้ามกับภาพชายหนุ่มบุคลิกดีมีเสน่ห์ที่พวกเราพบเห็นกัน
รวมไปถึงความเปลี่ยนแปลงตลอดการเดินทาง จากจุดเริ่มต้นที่ตัดสินใจทุบหม้อข้าว ลาออกจากงานประจำที่มั่นคง เพื่อเดิมพันกับ
‘ดนตรี’
ความฝันซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาทั้งสี่คนต่างหลงรัก จนกระทั่งได้พาพวกเขาขึ้นมายืนเล่นดนตรีบนเวที Fluffy Sheep Stage ท่ามกลางผู้ชมกว่า 25,000 คน ในมหกรรมเทศกาลเพลงรักยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปีอย่าง
'
Season of Love Song
'
ครั้งที่ 10
'A Decade of Happiness'
ที่เวโนโต้ สวนผึ้ง จ.ราชบุรี
ติดตามเรื่องราวของสี่หนุ่มวง MEAN ผ่านบทสัมภาษณ์หลังเวที Season of Love Song ครั้งที่ 10 ที่เชื่อว่าเมื่อได้อ่านจะทำให้พวกเรารู้จักตัวตน และเข้าใจนิยามความหมายของ MEAN ได้มากกว่าที่เคย ที่สำคัญอาจจะทำให้ใครหลายคนหลงรักพวกเขายิ่งขึ้น
The People: ทำไมถึงชื่อวง MEAN
ปาล์ม:
คำว่า MEAN แปลว่าความหมาย แล้วยังแปลได้อีกหลายอย่าง เหมือนกับชีวิตคนหนึ่งที่สามารถมีได้หลายหลายมุมมองมาก MEAN แปลสุดได้ว่า ความตั้งใจก็ได้ หรือว่าใจร้ายก็ได้ แต่สุดท้าย MEAN ก็ยังแปลว่าค่ากลางด้วย ซึ่งค่ากลางในทางพุทธคือมัชฌิมา เป็นทางสายกลาง ที่จะมีหลักว่า การตั้งสายพิณถ้าหากขึงตึงเกินไปก็จะขาด แต่ถ้าตั้งหย่อนเกินไปก็จะไม่ได้ยินเสียง เสียงที่พอดีที่สุดคือการตั้งสายให้พอดี
กัน:
จริง ๆ แล้วอันนั้นมาทีหลัง ตอนแรกพวกเราแค่อยากได้ชื่อที่มีความหมาย (หัวเราะ) ก็เลยได้ชื่อ MEAN นี่แหละที่แปลว่าความหมาย แต่ MEAN ของเราจะแปลว่าอะไรก็แล้วแต่ คนฟังที่ได้ฟังเพลงเราก็จะรู้ว่าความหมายของ MEAN ของแต่ละคนว่าเป็นอย่างไร
The People: ก่อนมาเป็น MEAN แต่ละคนทำอะไรกันมาบ้าง
พัด:
ผมเรียนนิติศาสตร์ จบกฎหมาย ตอนนั้นเรียนเนติบัณฑิตด้วย แล้วก็ทำงานด้านดนตรีมาด้วย เป็นครูสอนกีตาร์ เล่น backup ให้กับศิลปิน ทำเพลงเบื้องหลังด้วย ส่วนปาล์มทำเพลงประกอบโฆษณา โปเต้เป็นนักเขียนที่นิตยสารด้วย กันเล่นอยู่ร้านประจำ แต่ทุกคนก็ยอมสละตรงนั้นมาเพื่อที่จะมาทำตรงนี้
โปเต้:
จริง ๆ พวกเรารู้จักกันมาตั้งแต่สมัยอยู่ในชมรมดนตรี TU Folksong ตอนเรียนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ด้วยกัน ตอนนั้นที่อยู่ในชมรมเหมือนได้มีโอกาสเล่นดนตรีกัน แต่พอเรียนจบมาได้ทำงานกัน คนที่เล่นดนตรีก็เริ่มเหลือน้อยลง สุดท้ายเขาก็ไปมีชีวิตที่ดีกัน
กัน:
คือเราเคยทำงานด้วยกันมาก่อน มีงานที่พอเราไปจับกลุ่มกันแล้วเรารู้สึกว่าราบรื่นดี ได้ทำงานเพลงมหาวิทยาลัยที่เราได้ร่วมกันแต่ง พอจบออกมาเราได้คุยกันว่าจะตั้งใจทำงานตรงนี้จริง ๆ ถ้าหากมองว่าการเล่นดนตรีเป็นงานอดิเรก ความตั้งใจมันอาจไม่พอ เราทุ่มเทให้มันได้ไม่เต็มที่ เลยคิดว่าลาออกจากงานเพื่อมาทำตรงนี้ให้เต็มข้อเลยดีกว่า
The People: ตัดสินใจกันนานไหม
พัด:
จริง ๆ ทยอยกันตัดสินใจ ผม พัด ปาล์ม แล้วก็กัน ลาออกกันก่อนในช่วงแรก ส่วนโปเต้ลาออกตามมา ตอนนั้นเราไปคุยกับเขาว่า เราอยากทำแบบ full-time อยากจะออกมาทำวงด้วยกันไหม เพราะว่าตอนนั้นพวกเราเองก็ทำเพลงเป็น full-time แล้ว ตัดสินใจทุบหม้อข้าวกันออกมาแล้ว ก็เลยอยากได้คนที่พร้อมจะลุยไปกับเราได้ โปเต้เลยใช้เวลาตัดสินใจอยู่คืนหนึ่ง
โปเต้:
วันรุ่งขึ้นก็ลุยเลย (หัวเราะ)
The People: ทำไมเพลงส่วนใหญ่เป็นเพลงอกหัก
ปาล์ม:
ที่มันมีแต่เพลงเศร้า คือผมมีแฟนที่รักกันมานานมาก แต่จังหวะที่กำลังพยายามทำวงเพื่อทำตามความฝัน ผมเลิกกับแฟนพอดี มันทำให้ดาร์กมาก ก็เลยบอกว่าห้ามแต่งเพลงมีความสุขมานะโว้ย เพราะว่าผมไม่ฟีล
พัด:
แต่งส่งมาแล้วก็โดนตัดทิ้งหมด
ปาล์ม:
เพื่อนก็เขียนเพลงรักส่งมานะ จนทุกวันนี้ก็ยังส่งมาอยู่ อย่างล่าสุดก็เพิ่งให้คนอื่นเอาไปร้อง เพราะว่าผมก็ยังคงไม่ฟีลอยู่
กัน:
ขายของในบทสัมภาษณ์แบบนี้ก็ได้เหมือนกันว่ะ (หัวเราะ)
The People: เป้าหมายที่อยากจะเปลี่ยนแปลงวงการเพลงยังอยู่ไหม
กัน:
แต่ก่อนเราบอกว่าเราอยากทำเพลงให้คนทั้งประเทศได้ฟัง แล้วหันมาบอกว่า ‘นี่ เพลงมันต้องทำแบบนี้’ แต่ว่าตอนนี้เป็นยังไงครับ
ปาล์ม:
วงการเพลงเปลี่ยนแปลงเราแทนครับ (หัวเราะ) สิ่งสำคัญหนึ่งที่ได้เรียนรู้คือตอนนั้นเราคิดแต่จากมุมของตัวเอง เพราะคิดว่าฉันอยากได้ ฉันอยากให้คนอื่นมาฟังฉัน มันเลยเห็นชัดว่า ถ้าเราอยากได้อย่างเดียวก็ไม่มีใครให้อะไรคุณหรอก จนกระทั่งเราเปลี่ยนมุมมองความคิดว่า ทำไมเราไม่คิดว่าอยากจะทำเพลงให้คนฟังเพลงยังไง หรืออยากจะให้คนฟังได้อะไรจากการฟังเพลงของเรา พอเราเริ่มคิดแบบนั้นแล้วเริ่มทำเพลงออกมาใหม่ เพลงของพวกเราก็เลยถูกส่งต่อกันมากขึ้น
กัน:
มันเหมือนกับว่า เมื่อก่อนเราไม่พยายามเข้าใจคนฟังเพลงเลย จนเราเริ่มปรับใหม่ เราลองคิดว่าเขาคิดกันยังไง เราเริ่มเลือกที่จะไปอยู่ตรงนั้น เพื่อนั่งกับเขาแล้วพูดคุยกันด้วยเพลงของเรา มันก็เลยเวิร์กมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
พัด:
สำหรับผมมองว่า เป้าหมายที่ตั้งไว้มันเป็นนามธรรมนะ จริง ๆ เราตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ ในแต่ละปี แล้วเราพยายามเดินตามตรงนั้นอยู่ ทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ที่เรามองเห็น อย่างปีก่อนหน้านั้นเราคุยกันว่าเราต้องมีงาน ความตั้งใจของผมคืออยากให้สิ่งที่ทำนี้เป็นอาชีพได้ คือพอวันหนึ่งที่เราทุกคนเติบโตไป แต่ละคนอาจจะมีพาร์ทของแต่คนละที่ทำอย่างอื่นบ้าง เป็นเรื่องปกติของคนที่โตขึ้น แต่ตอนนี้ เวลานี้ เราอยากให้มันเป็นอาชีพที่หล่อเลี้ยงชีวิตได้จริง ๆ โดยที่ครอบครัวของพวกเราไม่ต้องคอยเป็นห่วง ไม่ต้องไปลำบากเดือดร้อนใคร ก็เป็นเป้าหมายที่เราตั้งกันไว้ในปีที่แล้วว่าอยากให้มีงานเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แล้วพูดได้เต็มปากว่านี่คืออาชีพของเรา รู้สึกว่าในปีที่ผ่านมามันก็โอเค แล้วในปีต่อ ๆ ไปก็จะมีเป้าหมายอื่น ๆ อีก
The People: ความประทับใจที่มาอยู่ในบ้าน LOVEiS
โปเต้:
ตื่นเต้นครับ ส่วนตัวผมเป็นแฟนเพลง พี่บอย (โกสิยพงษ์) กับ Bakery Music อยู่ก่อนแล้ว ศิลปินไอดอลหลาย ๆ คนก็มาจากที่นี่ เราร้องเพลงเขา หัดจากการฟังเพลงของพวกเขา LOVEiS เลยเป็นค่ายเพลงที่เราไม่คิดว่าจะได้มาอยู่ด้วย พอได้เข้าก็เลยตื่นเต้นมาก วันที่พี่บอยเปิดประตูให้เราเข้ามาอยู่ในบ้าน LoveiS ก็รู้สึกว่าคงเป็นโอกาสที่ดีมาก ๆ ที่จะได้มาลุยงานที่นี่
พัด:
จริง ๆ ตอน CCSQ (Circle Square) เป็นโอกาสดี ๆ ที่ได้ทำอะไรหลายอย่างทั้งอยู่กับค่ายเล็ก ทั้งออกมาทำเองแบบไม่มีค่ายเลย ผมรู้สึกว่าบทเรียนตอนนั้นมันยังสอนเรา เพาะบ่มเราให้เราเป็นเราทุกวันนี้ อย่างช่วงนั้นเป็นช่วงที่แต่งเพลงเยอะมาก แล้วรู้สึกว่าควรจะกลับไปแต่งเพลงให้ได้ความถี่ระดับนั้นอีก วันหนึ่งต้องแต่งได้หนึ่งถึงสองเพลง เราทำอย่างนั้นเป็นเดือน ๆ รู้สึกว่าเป็นช่วงที่ได้เรียนรู้อะไรมาก
The People: เพลงของ MEAN ที่แทนตัวตนได้ดีที่สุดคือเพลงไหน
กัน:
ทุก ๆ เพลงของ MEAN ก็คือช่วงชีวิตเราแต่ละช่วงเวลาหมดเลย ถ้าจะให้เลือกที่ชอบมากที่สุดก็น่าจะเป็น ‘ผู้ชมที่ดี’ เพราะว่าส่วนตัวเองทั้งเรื่องเนื้อหาด้วย เรื่องที่แต่งมา เป็นเพลงที่ผมรู้สึกว่าแต่งอีกไม่ได้แล้ว มันเป็นช่วงชีวิตนั้นจริง ๆ เป็นช่วงที่ลำบากมาก มีความทุกข์มาก ๆ แล้วไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เลยระบายออกมาเป็นทำนองเพลง พอมานั่งย้อนดูผมรู้สึกว่าทำแบบนี้อีกไม่ได้แล้ว เลยรักมากเลยเพลงนี้
โปเต้:
ส่วนตัวผมชอบเพลง ‘ตัวแถม’ อาจจะมีความรู้สึกกับเพลงนี้มากที่สุด อัดเพลงนี้อยู่นานสามวันแล้วเสียน้ำตากับเพลงนี้ในห้องอัดด้วย เป็นเพลงเดียวที่ร้องไห้ในห้องอัด
พัด:
จริง ๆ มันมีเศษเสี้ยวของผมผสมอยู่ในทุก ๆ เพลงอยู่แล้ว อาจจะเป็นเรื่องราวของหลาย ๆ คนที่ไปพบเจอมา ถ้าให้เลือกเพลงที่ชอบก็น่าจะเป็นเพลง ‘พอเถอะ’ เพราะรู้สึกว่าเพลงนี้เราได้เป็นส่วนหนึ่งที่ได้ส่งต่อกำลังใจให้คนรู้สึกดีขึ้น
ปาล์ม:
ผมชอบเพลง ‘พอเถอะ’ เหมือนกัน เป็นเพลงที่ผมเข้ามามีส่วนร่วมกับการเขียนเนื้อเพลงกับพัดเยอะมาก เพราะว่าผมมีประสบการณ์กับเรื่องนี้อยู่ แล้วเป็นเรื่องที่ยังคงค้างในใจผม ผมรอแฟนเก่าที่เลิกกันมาประมาณ 4 ปีแล้ว ยังไม่มีคนใหม่สักทีหนึ่ง เพราะว่าผม move on ไม่ได้ พัดก็คุยว่าอยากจะแต่งเพลงจากเรื่องนี้ขึ้นมา เลยกลายเป็นว่าหลังจากเพลงนี้ออกมาผมรู้สึกว่าถ้ามันช่วยเราได้ ก็น่าจะช่วยคนอีกจำนวนมากได้เหมือนกัน น่าจะเป็นเรื่องที่ดี
The People: ถ้าปาล์มไม่ได้ชวนลาออกจากงานเพื่อทำเพลงเต็มตัวในวันนั้น คิดว่าวันนี้กำลังทำอะไรอยู่
กัน:
ผมก็ทำวงนี่แหละครับ ไม่ได้ทำกับวงนี้ก็ต้องทำกับสักวงหนึ่ง เพราะว่าเคยพลาดมาแล้วตอนที่เลือกคณะเรียน ผมไปจบคณะธุรกิจระหว่างประเทศ เรียนมาอยู่ 4 ปี พอเรียนไป 2-3 ปี ก็เริ่มรู้ว่ากูพลาดแล้ว (หัวเราะ) เราปฏิเสธตัวเองไม่ได้ว่า พอปี 1 ก็อยากจะเลิกเล่นดนตรีแล้วมาตั้งใจเรียน แต่พอ 2-3 ปีผ่านไปมันเป็นสิ่งที่เราชอบจริง ๆ ต่อให้ชีวิตจะไปทางไหนยังไงก็ต้องมาทางนี้แหละ รู้สึกว่าเราเจอทางของเราแล้ว ไม่น่าจะเปลี่ยนอะไร ต่อให้วันนั้นไม่ได้รับการชวน ไม่ได้คิดว่าจะตั้งวงกัน ยังไงก็ทำอยู่ดีครับ
โปเต้:
คิดว่าน่าจะกลับไปอยู่นครปฐม กลับไปอยู่ใกล้ ๆ คุณพ่อคุณแม่ แล้วก็อาจจะหางานอยู่แถวนั้น
ปาล์ม:
ตอนนั้นเหตุการณ์จริง ๆ คือผมบอกเพื่อนว่าจะกลับไปอยู่ที่บ้านแล้วแน่ ๆ แต่ก่อนกลับอยากลองทำอะไรสักอย่างเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าจะไปไม่รอดก็ขอทิ้งท้ายกับวงการเพลง ก่อนกลับเลยไปบอกพัดว่าเราไปตามค่ายเพลงทุกค่ายกันให้หมดในเวลาวันสองวันนี้ ถ้าจะมีค่ายสักค่ายที่รับเรา เราก็จะได้อยู่ ถ้าไม่มีก็คือจบ แค่นั้นเอง
พัด:
ตอบยากนะ ผมรู้สึกว่าทุกอย่างที่ผ่านมา มันพาให้เรามาอยู่ที่ตรงนี้ ถ้าวันนั้นไม่ได้ลาออกมาเหรอ จริง ๆ ผมว่าผมเองก็หนีดนตรีไม่พ้น เพราะว่าช้าเร็วก็แล้วแต่ เคยมีรุ่นพี่คนหนึ่งในชมรมที่มหาวิทยาลัยพูดกับผมเหมือนกันว่า ‘อย่างมึงน่ะ กูว่าหนีดนตรีไม่พ้นหรอก’ ตอนนั้นผมไปสอบกฎหมายอยู่ ก็เลยไม่ได้เชื่อเขา แต่พอไปเรื่อย ๆ มันก็เปลี่ยนจากงานอดิเรกกลายมาเป็นเหมือนชีวิตเราไปแล้วอย่างนั้น แต่เอาจริง ๆ ถ้าไม่ใช่ปาล์มชวนในวันนั้น เราก็อาจจะไม่ได้ออกมา เพราะผมถือว่าทั้ง 4 คนที่อยู่ตรงนี้เป็นกลุ่มคนที่ผมอยากทำงานด้วยทุกคน รู้สึกว่าวันนี้เราไม่ได้เลือกผิด
The People: นิยามและความหมายความสุขของ MEAN คืออะไร
พัด:
ถ้าสิ่งที่เราทำสักเล็กน้อย ไม่ว่าจะเป็นเพลง MV หรือการออกไปเล่น หรืออะไรก็แล้วแต่ มันได้ทำให้ช่วงเวลาหนึ่งของคนหนึ่งโอเคขึ้นได้ เขาอาจจะไม่ต้องเปลี่ยนแปลงไปทั้งชีวิตก็ได้ เอาเป็นว่า moment นั้นที่เขามาดูเราสักครึ่งชั่วโมง แล้วกลายเป็นช่วงเวลาดี ๆ ของเขาในวันนั้น หรือช่วงนั้นเขากำลังเจอเรื่องแย่ ๆ ผมว่านั่นเป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่าจำนวนยอด view เพลงหรืออะไรจะให้ได้ครับ
The People: อยากฝากอะไรกับแฟนเพลงบ้าง
โปเต้:
ฝากเพลงใหม่ล่าสุดคือเพลง ‘เหมาะสม’ ที่เพิ่งปล่อยออกมา แล้วก็ยังมีเพลงพิเศษที่เตรียมปล่อยอย่างต่อเนื่องอีกหลายเพลง ที่ทำเป็น side project ก็มีเพลงที่อยากให้ทุกคนได้ฟัง ตามไป subscribe กันได้ใน LOVEiS channel ใน YouTube แล้วก็มีของ MEAN band ด้วย จะมีเพลงพิเศษที่เราทำเป็น side project กัน อย่างเพลง ‘ถ้าเธอหายไป’ ก็เป็นเพลงพิเศษที่อยู่ในนี้ด้วย
กัน:
Channel MEAN band รอให้ทุกคนไปค้นพบใน TouTube ไปตามดูกันได้
พัด:
พอเราอยู่ในรูปแบบการปล่อยเพลงในธุรกิจดนตรีสมัยนี้ก็มีไทม์ไลน์ของมัน เลยมีหลายเพลงที่เราเสียดาย เพราะเหมือนว่าไม่ได้ถูกทำเป็น single แต่อยากให้ได้ฟังกัน ก็เลยทำเป็นวิดีโอใน channel ของเรา
กัน:
สิ่งที่ดีที่สุดของการทำวงมาคือการที่มีคนฟังเพลงเรา มีคนตาม มีคนมาเจอเรา ทุกคนที่เป็นแฟนเพลงสนับสนุนเราอยู่ เราทำเพลงเองก็ไม่อยากฟังกันเองแค่นี้ มันรู้สึกดีมาก ๆ รู้สึกโอเคว่าเราเลือกไม่ผิดที่มาเจอกับทุกคนที่อยากมาเจอเรา
โปเต้:
ต้องขอบคุณทุกคนมาก ๆ ที่มาช่วยสนับสนุน อาจจะเป็นทางด้านจิตใจหรือเรื่องต่าง ๆ เรื่องงาน ถ้าไม่มีคนฟัง ไม่มีคนที่คอย support คอยหนุนใจเรา ก็คงจะเลิกทำสิ่งนี้ไปแล้ว ไม่ได้อยู่กับดนตรีอีกแล้ว ก็ต้องขอบคุณทุกคนที่ยังคอยหนุนใจกันอยู่ ขอบคุณมากครับ
ปาล์ม:
มีเพลงล่าสุดของวง MEAN ที่ผมรู้สึกว่าได้ฟังแล้วรู้สึกถึงแฟนคลับมาก ๆ ชื่อเพลง ‘ถ้าเธอหายไป’ อยากบอกกับแฟนคลับว่า ถ้าเธอหายไปก็ไม่รู้เลยว่าชีวิตจะอยู่ยังไง
พัด:
เราเคยอยู่ในจุดที่เราเคย boost เงินเป็นหมื่นเป็นแสนก็ไม่เกิดอะไร ถ้าเพลงนั้นไม่ได้ให้ประโยชน์กับใคร หรือไม่ได้ส่งต่ออะไรไปให้ใคร มันทำได้ถ้า boost อาจจะมี like อาจจะมีคนเห็นมากขึ้น แต่สุดท้ายผมมองว่าจริง ๆ อัลกอริทึม หรืออะไรก็ตามมันบังคับให้เราต้องสร้าง content ที่มีประโยชน์จริง ๆ ขึ้นมา ไม่ใช่แค่เขี่ย ๆ ไปเท่านั้น ในมุมของคนเขียนเพลงอย่างผม มันบังคับให้เราต้องใส่ใจกับ content มากขึ้น ถ้าอยากฝากถึงแฟนเพลงจริง ๆ ก็ไม่มีอะไรซับซ้อนมากไปกว่าคำว่าขอบคุณ ขอบคุณสำหรับทุกพลังที่ส่งมาหาเรา เพราะว่าบางทีมันเหมือนผมไม่รู้ว่าเขารับรู้ได้ไหม หรือรับรู้ขนาดไหน แต่ว่าทุก ๆ สิ่งที่ทุกคนส่งกลับมาให้เรา มันเหมือนต่อสายตรงมายังพลังของพวกเราอยู่แล้ว ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกัน แล้วหวังว่าจะได้อยู่ร่วมร้องเพลงและเดินทางต่อไปกันเรื่อย ๆ ครับ
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
‘บิ๊กโจ๊ก’ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ตำแหน่งใหญ่ขณะอายุน้อย บารมีมาก เส้นทางสีกากีติดไฮสปีด
15 ก.ย. 2566
3491
ถอดรหัส ‘Naatu Naatu’ เพลงประกอบหนังอินเดียฉากร้อง-เต้นใน RRR ได้ออสการ์-Golden Globes
13 มี.ค. 2566
6940
‘เอมิลิโอ เฟอร์นันเดส’ ชายผู้เป็นต้นแบบของตุ๊กตารางวัล ‘ออสการ์’
12 มี.ค. 2566
819
แท็กที่เกี่ยวข้อง
The People
CONCERT
SeasonofLoveSong
SoLS10
ADecadeofHappiness
Mean
Story
MEANband