นับตั้งแต่บท “ไข่ย้อย” ใน เพื่อนสนิท (2548) ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ ก็ทำงานอยู่ในวงการบันเทิงมาแล้วเกือบ 15 ปี ด้วยระยะเวลาเท่านี้ทำให้เขากล่าวกับเราอย่างชัดเจนว่า “ชีวิตผมขาดการแสดงไม่ได้”
ในวาระที่ ฮาวทูทิ้ง..ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ (2562) ผลงานภาพยนตร์เรื่องที่ 12 ของเขากำลังจะเข้าฉาย พร้อมแนวคิดว่าของบางอย่างมีเรื่องราวที่ทำให้เราคิดถึงว่าจะ “ทิ้ง” เพื่อตัดใจ หรือจะ “เก็บ” ไว้ไม่ให้ลืม
The People จึงอยากชวนซันนี่มาทบทวนชีวิตว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ทั้งชีวิตจริงและชีวิตในวงการบันเทิง เขามีความทรงจำอะไรที่อยากเก็บ หรืออยากทิ้งบ้าง?
[caption id="attachment_17270" align="alignnone" width="1200"]
ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์[/caption]
The People: นิยามของคำว่า ‘บ้าน’ ของคุณคืออะไร
ซันนี่: มันเป็นที่ของเรา เป็นพื้นที่ส่วนตัวของเราเลย คือเราจะไม่ค่อยให้ใครเข้ามาใช้ชีวิต เราจะอยู่คนเดียว บ้านเป็นเหมือนสิ่งที่อยู่ภายในตัวเราอีกทีหนึ่ง เป็น safe zone ของเรา เดินไปมาเรื่อย ๆ นั่งเฉย ๆ ทอดหุ่ยอะไรอย่างนั้นฮะ (หัวเราะ)
The People: ตั้งแต่เกิดมา คุณมีความสุขกับช่วงเวลาไหนมากที่สุด
ซันนี่: ก็แฮปปี้หมดทุกช่วงเวลาของชีวิตนะ ต่อให้มันจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา เวลาผ่านมาหรือประสบกับมันแล้วก็แฮปปี้หมด มันถูกแล้วที่มีสิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น
ทุกอย่างค่อย ๆ รวมกันจนเป็นเราแบบนี้ พ่อแม่เราบอกว่าอะไร เพื่อนเราเป็นคนแบบไหน แล้วเราก็จะเป็นคนแบบนั้นฮะ จริง ๆ จุดเปลี่ยนมีครั้งเดียวเองมั้ง เหมือนเป็น coming of age ของเรา คือการทิ้งสิ่งหนึ่งด้วยความบ้าบิ่นของวัยรุ่น หลังจากนั้นก็ใช้ชีวิตด้วยการพึ่งตัวเอง พยายามจะพึ่งตัวเองให้ได้มากที่สุด ไม่ขอความช่วยเหลือจากใคร ตั้งแต่ตอน ม.5 ม.6 เป็นต้นมา
The People: มีอะไรในอดีตที่อยากเก็บเอาไว้
ซันนี่: ต้องเก็บไว้หมด ผมจำได้ทุกเรื่องในชีวิต ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ผมจำได้หมด หรือบางทีอาจจะลืมไปแล้วก็ได้ ซึ่งในตัวหนัง “ฮาวทูทิ้ง..ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ” ก็พูดถึงเรื่องนี้ไว้เหมือนกัน คือเรายังจำบางสิ่งบางอย่างเพราะว่าเราเห็นสิ่งของนั้น
คือของสิ่งหนึ่งมันสามารถแทนความทรงจำได้ เราจะรู้ว่าใครให้ รู้ว่าได้มาตอนไหน แต่ถ้าเกิดวันหนึ่งไอ้สิ่งของนั้นมันหายไปจริง ๆ เราก็อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเคยมีความทรงจำนี้อยู่
The People: หมายความว่า สิ่งของเป็นตัวแทนของความทรงจำ?
ซันนี่: ใช่ มันคือความทรงจำทุกอย่าง แทนคนด้วย ไม่ใช่แค่สิ่งของ มันมีชีวิตจากการที่เรารู้ว่าใครเป็นเจ้าของมัน ตัวหนังเองก็เริ่มจากการเก็บบ้าน มันอาจเป็นสิ่งของที่เราไม่เคยสนใจด้วยซ้ำ แบบวางไว้ในกล่องเฉย ๆ อยู่ดี ๆ เราเก็บขึ้นมาแล้วรู้เลยว่า อ๋อ... อันนี้เราได้มายังไง
The People: คุณมีสิ่งของที่เป็น top of mind ไหม
ซันนี่: โหย... ทุกอย่างเลย เยอะเลย หนังสือการ์ตูน ฟิกเกอร์ กีต้าร์ เสื้อผ้า ฯลฯ ชอบหมดเลย เพราะผมซื้อของโดยไม่เคยคิดว่าอันไหนจะดีหรือจะใช้ประโยชน์อะไรเท่าไหร่ ผมซื้อของจากความรักความชอบจริง ๆ เหมือนว่าตกหลุมรักมันจริง ๆ เราก็เลยไม่ทิ้ง แล้วก็ยังชอบมันอยู่
[caption id="attachment_17272" align="alignnone" width="683"]
ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์[/caption]
The People: ทราบมาว่าชื่นชอบการ์ตูน “โจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ”
ซันนี่: เป็นเรื่องที่หลงรักมากที่สุดตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ อ่านแล้วรู้สึกว่า โอ้โห... วิธีคิดมันล้ำมาก ล้ำกว่าการ์ตูนเรื่องอื่น จริง ๆ แล้วมีการ์ตูนเรื่องอื่นที่ชอบนะ หลายเรื่องด้วย แต่ว่าเรื่องนี้เป็นที่หนึ่งสิบกว่าปีแล้ว ไม่เคยเปลี่ยน ตอนนี้ยังเป็นที่หนึ่งอยู่ตลอดเวลา จนอยู่ดี ๆ มันก็กลับมาฮิตเฉยเลย เขาก็ทำแอนิเมชันใหม่ ผมเลยรู้สึกว่า เฮ้ย ! มีคนโอเคกับสิ่งที่เราชอบมากแล้ว
The People: ชอบตัวละครไหนมากที่สุด
ซันนี่: คงชอบ คูโจ โจทาโร่ แหละครับ สตาร์แพลตตินัม !
The People: ถ้าคุณมีพลังสแตนเป็นของตัวเอง คิดว่าจะมีพลังแบบไหน
ซันนี่: ต้องแข็งแกร่งประมาณสตาร์แพลตตินัมแหละครับ ไม่ต้องความสามารถอะไรเลย เอาความเร็วดุ้น ๆ พลังหยุดเวลาค่อยว่ากัน
The People: ในฐานะคนอ่านการ์ตูนคนหนึ่ง คิดว่าการอ่านการ์ตูนให้อะไรกับคุณบ้าง
ซันนี่: ให้เป็นตัวตนของเรา เพราะเป็นสิ่งที่เราชอบ ผมไม่ค่อยมีปัญหากับการอ่านหนังสือการ์ตูนเท่าไหร่ ที่บ้านไม่ได้ว่าอะไร ถ้าผมมีลูกหรือมีหลาน ผมจะให้เขาเรียนรู้การ์ตูน เพราะการ์ตูนไม่ไร้สาระเลยสำหรับผม ทุกคนหาสาระได้จากทุกอย่าง ไม่ใช่ว่ามองสิ่งไหนไม่มีสาระ แล้วเราบอกว่า ‘เฮ้ย ไม่มีสาระ อย่าไปทำเลย’ ต่อให้เรื่องที่ไม่มีสาระ เราก็จะหาสาระจากมันได้ มันอยู่ที่ตัวคน ต่อให้อ่านหนังสือ บทกวี หรือสุดยอดหลักปรัชญาชีวิต ถ้าเขาไม่โอเค ไม่มีปัญญา มันก็ไม่ได้อะไรเหมือนกัน
The People: แล้วใน “โจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ” คุณเห็นอะไร
ซันนี่: หลักของโจโจ้ คือการชอบทำให้สิ้นหวัง แล้วก็มีหวังขึ้นมาใหม่ มันคือการแก้ปัญหาแบบเฉือนความคิดกัน จะเห็นทุกครั้งเลยที่พระเอกหมดทางรอดแล้ว เราก็จะดูว่ามันจะรอดยังไงวะ สุดท้ายมันแก้สถานการณ์กลับมาได้
[caption id="attachment_17268" align="alignnone" width="1200"]
ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์[/caption]
The People: เคยให้สัมภาษณ์ว่าอยากมีพลังพิเศษอ่านใจคนอื่น ตอนนี้ยังอยากอ่านอยู่ไหม
ซันนี่: เมื่อก่อนคิดว่าอยากอ่านใจ แต่พอโตมาเจอทั้งเฟซบุ๊ก ทั้งทวิตเตอร์ ไม่ต้องแล้วแหละ (หัวเราะ) ผมว่าโซเชียลมีเดียเหมือนผนังห้องน้ำ เวลาคุณเข้าไปฉี่ ไปนั่งอึ แล้วกำแพงจะเต็มไปด้วยคำพูดอะไรก็ไม่รู้ โซเชียลมีเดียคืออย่างนั้นเลย
The People: แล้วตอนนี้อยากมีพลังพิเศษอะไร
ซันนี่: อยากทะลุไปไหนก็ได้ แล้วไปกลับได้ด้วยนะ ไม่ไปอย่างเดียว
The People: แล้วชีวิตในวงการบันเทิงล่ะ ตัวละครไหนที่คุณแฮปปี้กับมันมากที่สุด
ซันนี่: ทุกตัวละครเลย เพราะมันเป็นช่วงเวลาหนึ่งของเรา บางทีเราไม่สามารถจะย้อนกลับไปทำหรือคิดแบบนั้น แววตาแบบนั้นทำไม่ได้แล้ว เพราะเราโตไปแล้ว มันเกินเดียงสาไปแล้ว อย่างแววตา “ไข่ย้อย” (จากเรื่อง “เพื่อนสนิท”) เราทำไม่ได้ มันเป็นแววตาของคนที่ naive ไร้เดียงสา ซึ่งตอนนี้เราผ่านช่วงนั้นมาแล้ว ไม่สามารถกลับไปทำแบบนั้นได้ และมันก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราครับ
The People: อยากเป็นเพื่อนกับตัวละครตัวไหนมากที่สุด
ซันนี่: โหย... ทุกคนเลย เพราะมันก็เป็นช่วงหนึ่งของชีวิต เป็นพาร์ทหนึ่งของเราด้วย เขาไม่มีตัวตนอยู่จริงแต่เราสร้างเขาขึ้นมาจากบท ผ่านรสนิยมและความคิดเรา เราสร้างเขาขึ้นมาโดยอยากให้เขาเป็นแบบนี้ เหมือนว่าตัวละครทุกตัวเป็นลูกของเรา
The People: เคยอินกับตัวละครจนถอนตัวไม่ขึ้นไหม
ซันนี่: โอ้ ผมเหนือชั้นครับผม เข้าออกได้เลยครับผม
The People: คุณฝึกทำแบบนั้นอย่างไร
ซันนี่: ผมฝึกสมาธิมาครับ เพราะชีวิตผมต้องเล่นตลอดเวลา คือผมไม่ได้เป็นเด็กตั้งใจเรียน มันต้องเล่นตลอดเวลา (หัวเราะ) ถ้าเกิดผมทำอย่างนี้ไม่ได้ ผมจะไม่มีเวลามาเล่น ผมต้องคัตเสร็จแล้วเล่นได้เลย เล่นมุกกับคนอื่นได้ทันที สมมติเป็น “หมอเป้ง” (จากซีรีส์ “รักฉุดใจนายฉุกเฉิน”) อยู่ พอสั่งคัตปุ๊บ เราก็ต้องหันไปเล่น บางทีเราก็คิดมุกออกในระหว่างฉาก แค่ยืนดูเฉย ๆ เราก็จะคิดมุกออกแล้ว
The People: มองว่าการแสดงเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตคุณไปแล้วหรือเปล่า
ซันนี่: ใช่ครับ ขาดไม่ได้
[caption id="attachment_17264" align="alignnone" width="1200"]
ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์[/caption]
The People: ทำไมถึงหลงรักศาสตร์การแสดง
ซันนี่: ผมไม่เคยรู้สึกว่าที่ไหนเป็นที่ของเราเลยในสิ่งที่จะทำเป็นอาชีพ แล้วเรารู้สึกว่าทำไมถึงคิดถึงมันอยู่ได้ ทำไมถึงอยากพัฒนามันอยู่ได้ ทำไมเราถึงสนใจแต่สิ่งนี้ ซึ่งตอนแรกการแสดงเป็นสิ่งที่เราไม่รู้จักด้วยซ้ำ พอผ่านระยะเวลามาเรื่อย ๆ ก็ยิ่งมั่นใจไม่กี่ปีมานี้ว่า เวลามีเรื่องเครียดในชีวิตหรือมีปัญหาชีวิตแล้วเราแก้ไม่ได้ บางทีเดินตาลอยมากองถ่ายแล้วคิดวนแต่เรื่องนี้ แต่พอไปเข้าฉาก มันเป็นอีกโลกหนึ่งของเรา ไอ้สิ่งพวกนี้ทำอะไรเราไม่ได้สักนิดเลย เราไปอยู่อีกที่หนึ่งเลย โดยที่เรื่องเครียดพวกนี้จะไม่ได้คิดถึงมันเลย ผมจึงยิ่งมั่นใจเลยว่า โอ้โห ผมคงรักสิ่งนี้จริง ๆ แล้วแหละ เราสามารถเป็นตัวละครโดยไม่ต้องพยายาม
The People: มองว่าตัวเองโชคดีไหมที่ได้เจอกับการแสดง
ซันนี่: โชคดีมากครับที่ได้เจออาชีพนี้ ได้เจอคนดี ๆ ทุกคน แล้วก็เจอคนร่วมงานที่เก่ง ๆ ทั้งนั้นเลย ทุกคนเป็นครูผมหมดเลย
The People: เราจะได้เห็นอะไรใน “ฮาวทูทิ้ง..ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ”
ซันนี่: โอ้โห มันเป็นหนังแห่งความสัมพันธ์ แล้วก็ความเป็นมนุษย์สูงมาก คือเวลาอ่านบทแล้วรู้สึกว่า ‘ทำไมผู้กำกับคนนี้เขาเขียนบทอย่างนี้ได้ยังไง เขาเขียนเข้าใจความเป็นมนุษย์แบบนี้ได้ยังไง เก่งมากเลย’ อันนี้ชมจริง ๆ นะ
The People: อยากบอกอะไรถึงผู้กำกับ เต๋อ นวพล ไหม
ซันนี่: โอ๊ย ไม่ต้องบอกหรอก เขารู้ตัวอยู่แล้ว ป่านนี้นั่งผยอง แตะบทตัวเองอยู่บ้านแล้วบอก ‘ดีจริง ๆ มันดีมากเลยนะเนี่ย’
The People: ทำงานกับนวพลมา 3 เรื่องแล้ว (ฟรีแลนซ์, Die Tomorrow และ ฮาวทูทิ้ง) คิดว่าคุณกับนวพลมีเคมีอะไรที่เข้ากัน
ซันนี่: เรื่องแรกเราจะงงกับเขาหน่อย เพราะเราไม่รู้จักเขา ไม่รู้วิธีการกำกับของเขา แล้วเราเป็นนักแสดงก็จะเข้าใจสายแสดง เพราะเคยเรียนการแสดงกับครูหลายคน แต่นวพลจะมีความสามารถพิเศษคือ เขาสามารถแยกแยะรายละเอียดได้ สมมติมีสีสองเฉดที่เรามองไม่ออก แต่เขาจะมองออกว่ามันไม่เหมือนกัน นี่คือความสามารถพิเศษของเขา แล้วเขาไม่สามารถบอกเราได้ว่า ‘นี่นะพี่ พี่ต้องคิดแบบนี้นะ มันฟึ้บแล้วไปอยู่ในตัวละครตัวนี้’ เขาไม่ใช่คนอย่างนี้ เขามาแค่บอก ‘ไหนลองเล่นมาให้ดู’ พอเล่นเสร็จ ‘อือ ๆ แบบนี้ใช่’ หรือบางทีก็จะวิ่งมาแล้วบอกว่า (ทำท่าทางเลียนแบบนวพล) ‘ผมว่ามันต้องขึ้นอีกหน่อยพี่’ ‘ผมว่าตรงนี้มันต้องลงแบบนี้’ ‘เมื่อกี้พี่คิดอะไร... อย่างนี้ เอาแบบนี้’ นี่คือวิธีการคิด มีแค่นี้จริง ๆ ไม่มีคำอื่นเลย
The People: ความที่รู้ใจกันทำให้นวพลติดใจคุณ เลือกมาเป็นนักแสดงนำตลอดหรือเปล่า
ซันนี่: เอ้า! ผมแน่ขนาดนี้ เขาต้องรักอยู่แล้ว เขาจะหานักแสดงดี นักแสดงนำชายดีเท่าผมมีหรือเปล่าครับ (หัวเราะ)
The People: “ฮาวทูทิ้ง..ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ” เป็นหนังแบบไหน
ซันนี่: จริง ๆ เป็นหนังรักครับ แต่มันเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคน แล้วเปรียบเทียบว่าสิ่งของมันไม่ใช่แค่สิ่งของ มันเป็นสิ่งที่มีชีวิต มีความทรงจำอยู่ในนั้นด้วย ของบางอย่างถ้าเราทำหายไป เราอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำนะว่าความทรงจำหายไปแล้ว คือถ้ายังเห็นมันอยู่ เราอาจจะคิดออกว่า อ๋อ… คนนี้ให้เรานี่หว่า แต่ถ้าวันหนึ่งของมันหายไปอีก กลายเป็นความทรงจำนั้นก็จะหายไปเลยจริง ๆ ก็ได้
The People: มีความทรงจำอะไรที่คุณไม่อยากให้หายไปไหม
ซันนี่: ไม่อยากให้หายสักความทรงจำ ผมอยากจำได้ทุกอย่าง แต่ถ้าต้องเลือกก็อาจเป็นความทรงจำกับคนในครอบครัวมั้ง ไม่อยากเสียความทรงจำอะไรเกี่ยวกับเขาไปเลย ก็พยายามจำได้ เพราะเขาคือส่วนที่สำคัญที่สุดในชีวิตเรา มันไม่ควรจะลืม ไม่ว่าเหตุการณ์ไหน
The People: แล้วถ้าคุณลืมความทรงจำกับการ์ตูน “โจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ” ไปล่ะ
ซันนี่: ลืมไม่ได้หรอก ผมมีแสตน ถ้าลืม... เอ๊ะ มันก็ออกมา (หัวเราะ)
[caption id="attachment_17266" align="alignnone" width="1200"]
ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์[/caption]
ขอบคุณสถานที่: Lido Connect