ดาเนียล อิโนเอะ วีรบุรุษอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2
"แม่บอกกับผมไว้อย่างชัดเจนตั้งแต่ตอนที่ผมยังเล็ก ๆ ว่า 'แม่เป็นหนี้ชาวฮาวาย และแม่ก็อยากให้ลูกช่วยชดใช้หนี้นั้นแทนแม่ด้วย'" ดาเนียล อิโนเอะ (Daniel Inouye - แต่ The New York Times ระบุว่า ชื่อของเขาอ่านว่า in-NO-ay) อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและอดีตวุฒิสมาชิกของฮาวาย และยังเป็นอดีตทหารผ่านศึกสงครามโลกครั้งที่ 2 แห่งกองทัพสหรัฐฯ ผู้มีเชื้อสายญี่ปุ่น กล่าว (United States House of Representatives)
การโจมตีอ่าวเพิร์ลฮาร์เบอร์ของญี่ปุ่นในช่วงปลายปี 1941 เป็นชนวนสำคัญที่ทำให้สหรัฐฯ ซึ่งเคยสงวนท่าทีที่จะเข้าร่วมสงครามอยู่นาน ต้องเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างเลี่ยงมิได้
การกระทำของกองทัพญี่ปุ่นสร้างความไม่พอใจให้กับชาวสหรัฐฯ เป็นอย่างมาก ดาเนียล อิโนเอะ ชาวฮาวายเชื้อสายญี่ปุ่นก็รู้สึกเช่นเดียวกับเพื่อนร่วมชาติ ยอมวางความฝันที่จะเป็นศัลยแพทย์ไปสมัครเป็นทหารเพื่อรบในแนวหน้า
ก่อนที่จะถูกปฎิเสธกลับมา เพียงเพราะว่า เขาเป็น “นิเซ” (nisei-ชาวอเมริกันที่เกิดจากพ่อ-แม่ผู้อพยพชาวญี่ปุ่น) ซึ่งถูกกองทัพสหรัฐฯ ตีตรา (ในเบื้องต้น) ว่า “ไม่คู่ควร” ที่จะรับใช้ชาติในฐานะทหาร
จากข้อมูลของ The New York Times ดาเนียล อิโนเอะ เกิดที่โฮโนลูลู เมื่อวันที่ 7 กันยายน ปี 1924 เป็นลูกชายคนโตของ เฮียวทาโร (Hyotaro) และ คาเมะ อิมานากะ อิโนเอะ (Kame Imanaga Inouye) ซึ่งอพยพมาจากญี่ปุ่น หลังเรียนจบมัธยมปลายจาก McKinlay High School เขาสมัครเข้าโรงเรียนเตรียมแพทย์ที่มหาวิทยาลัยฮาวาย ก่อนทำหน้าที่เป็นอาสาสมัครพยาบาลที่เพิร์ลฮาร์เบอร์ เมื่อญี่ปุ่นบุกโจมตี ในปี 1941
เขารออยู่ 2 ปี กองทัพสหรัฐฯ จึงได้ยกเลิกคำสั่งห้ามรับชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นเข้าประจำการ อิโนเอะจึงได้เข้าร่วมกองร้อยประจันบานที่ 442 ซึ่งเป็นหน่วยที่สมาชิกทั้งหมดเป็นลูกหลานญี่ปุ่นอพยพ ซึ่งภายหลังได้กลายเป็นหน่วยที่ได้รับการประดับเหรียญตรามากที่สุดในประวัติศาสตร์การทหารอเมริกัน
วีรกรรมที่โดดเด่นที่สุดของหน่วย 442 คือการรบในฝรั่งเศสและอิตาลี โดยในปี 1944 พวกเขาได้รับภารกิจให้บุกเข้าช่วยเหลือกองทหารจากเท็กซัสที่หลงอยู่ในเขตแดนของข้าศึกในฝรั่งเศส อิโนเอะเอาชีวิตรอดจากการถูกยิงที่หน้าอกมาได้ด้วยเหรียญดอลลาร์สองเหรียญในกระเป๋าเสื้อ และได้รับการโปรโมตให้เป็นร้อยตรี
ต่อมาในวันที่ 21 เมษายน ปี 1945 ไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่สงครามในยุโรปจะจบลง อิโนเอะต้องนำหน่วยของเขาบุกโจมตีข้าศึกแถบซาน เทเรนโซ (San Terenzo) ในอิตาลี หน่วยของเขาถูกกระหน่ำยิงจากฐานปืนกลสามจุด อิโนเอะวิ่งฝ่าห่ากระสุนแม้จะถูกยิงที่ท้อง เขาใช้ระเบิดมือทำลายแท่นวางปืนได้หนึ่งจุด และใช้ปืนเล็กยาวประจำกายทำลายปืนกลได้อีกจุด แม้จะเจ็บหนักเขาก็ยังคลานเข้าหาฐานปืนกลจุดสุดท้ายจึงถูกยิงที่แขนขวาเป็นแผลฉกรรจ์ ทั้งที่ในมือนั้นยังคงกำระเบิดไว้แน่น
เขาใช้มือซ้ายคลายมือขวาที่ไม่ทำงานตามคำสั่งของเขาอีกแล้ว เพื่อเอาระเบิดมือขว้างใส่ที่กำบังของศัตรู แล้วกราดยิงด้วยมือข้างเดียวที่ยังทำงานได้จนหมดสติไป
อิโนเอะถูกตัดแขนขวาที่โรงพยาบาลสนาม ทำให้ความฝันที่จะเป็นศัลยแพทย์ต้องสูญสิ้นไป ก่อนถูกส่งตัวมารักษาและฟื้นฟูต่อที่โรงพยาบาลเพอร์ซี โจนส์ (Percy Jones) ในแบตเทิล ครีก (Battle Creek) รัฐมิชิแกน ที่ที่เขาได้พบเจอกับ ฟิลิป ฮาร์ต (Philip Hart) และ โรเบิร์ต โดล (Robert Dole) ซึ่งพากันชักจูงเข้าสู่วงการกฎหมาย และการเมืองระดับชาติในเวลาต่อมา
หลังรักษาตัวต่ออีกราว 20 เดือนในโรงพยาบาลทหาร เขาก็ได้รับการปลดประจำการพร้อมกับได้อวยยศขึ้นเป็นร้อยเอกในวันที่ 27 พฤษภาคม ปี 1947 เขาได้รับเหรียญตรามากมายจากการรับใช้ชาติ ทั้ง กางเขนเงิน (Distinguished Silver Cross) ดาวทองแดง (Bronze Star) หัวใจสีม่วง (Purple Heart) พร้อมด้วยเหรียญและประกาศเชิดชูวีรกรรมในสงครามโลกครั้งที่ 2 ของเขาอีกหลายรายการ
ออกจากโรงพยาบาลได้ อิโนเอะไปเรียนต่อจนจบปริญญาตรีด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮาวาย (1950) ก่อนไปต่อนิติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน และจบการศึกษาในปี 1952 จากนั้นจึงกลับฮาวายไปทำงานเป็นทนายอยู่ระยะสั้น ๆ แล้วหันหน้าเข้าสู่การเมืองท้องถิ่นในสายเดโมแครต เมื่อฮาวายได้รับการยกฐานะเป็นรัฐในปี 1959 เขาก็ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแห่งรัฐฮาวาย ก่อนชนะเลือกตั้งเข้าสู่วุฒิสภาสหรัฐฯ ในปี 1962 และครองตำแหน่งเรื่อยมาจนกระทั่งเสียชีวิตในปี 2012
แม้จะเป็นที่รับรู้กันว่า อิโนเอะและสหายร่วมทัพเชื้อสายญี่ปุ่นได้สู้รบอย่างไม่กลัวตายเพื่อประเทศชาติ แต่สังคมอเมริกันและภาครัฐ ณ เวลานั้น ก็มิได้ให้การยอมรับพวกเขาเท่าที่ควรเนื่องจากเชื้อชาติของพวกเขา
แต่ด้วยการผลักดันของ ดาเนียล อกากะ (Daniel Akaka) วุฒิสมาชิกฮาวาย ให้กองทัพสหรัฐฯ กลับไปพิจารณาบันทึกช่วงสงครามอีกครั้งเมื่อเหตุการณ์นั้นผ่านไปราวครึ่งศตวรรษ เรื่องราวของอิโนเอะกับสมาชิกหน่วย 442 จึงได้รับความสนใจอีกครั้ง และในวันที่ 21 มิถุนายน ปี 2000 เขาพร้อมกับสมาชิกหน่วยเชื้อสายญี่ปุ่นอีก 21 คน ก็ได้รับเหรียญเกียรติยศ (Medal of Honor) จากประธานาธิบดี บิล คลินตัน ซึ่งถือเป็นเหรียญเชิดชูเกียรติทางการทหารชั้นสูงสุดของสหรัฐฯ จากการรับใช้ชาติในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
(ภายหลังเมื่อสังคมเห็นถึงความผิดพลาดจากการเลือกปฏิบัติในอดีต จึงมีการเสนอให้มีการจ่ายเงินชดเชยให้กับชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นที่ได้รับการปฏิบัติโดยมิชอบ อิโนเอะกลับต่อต้าน โดยเห็นว่าความภักดีต่อชาติไม่อาจตีค่าเป็นเงินได้ และความพยายามที่จะทำเช่นนั้นกลับยิ่งเป็นการดูหมิ่นเสียด้วยซ้ำ)
จากสถิติการลงคะแนนเสียงในสภาคองเกรส อิโนเอะให้การสนับสนุนการจัดองค์กรแรงงาน การคุ้มครองผู้บริโภค สิทธิในการทำแท้ง ส่งเสริมการศึกษาและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ในช่วงต้นของการทำสงครามเวียดนามอิโนเอะเคยให้การสนับสนุน ก่อนออกมาแสดงความเสียใจกับการตัดสินใจเช่นนั้น และร่วมสนับสนุนกฎหมาย War Powers Act of 1973 ซึ่งใช้ถ่วงดุลอำนาจของประธานาธิบดีในการจัดการความขัดแย้งทางทหารในต่างแดน โดยกำหนดระยะเวลาอันจำกัด และให้อำนาจแก่สภาคองเกรสในการรับรองการใช้กำลังทหารในระยะต่อไป
อิโนเอะยังมีภาพลักษณ์เป็นนักการเมืองมือสะอาด ในกรณี “วอเตอร์เกต” (คดีฉาวทางการเมืองจากกรณีลอบดักฟัง และโจรกรรมสำนักงานใหญ่พรรคเดโมแครตในอาคารวอเตอร์เกตที่วอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งปรากฏว่า ตีนแมวที่ถูกจับได้เคยทำงานให้กับซีไอเอ และเป็นลูกสมุนในทีมของ ริชาร์ด นิกสัน ประธานาธิบดีจากรีพับลิกันในขณะนั้น) อิโนเอะจึงได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในคณะกรรมการสอบสวนของวุฒิสภาต่อการใช้อำนาจโดยละเมิดต่อกฎหมายของประธานาธิบดีในกรณีดังกล่าว (1973-1974) แม้ว่าเขาจะปฏิเสธอยู่หลายครั้งก็ตาม
การปฏิบัติหน้าที่ของเขาโดดเด่นและเป็นที่ยอมรับในการแสดงถึงวุฒิภาวะ ความอดกลั้น ความเป็นธรรมและมั่นคงต่อหลักการ การเรียกร้องให้มีการบัญญัติในรัฐธรรมนูญเพื่อถ่วงดุลการใช้อำนาจโดยมิชอบของประธานาธิบดีก็ยิ่งทำให้อิโนเอะเป็นที่นิยมในหมู่ประชาชน โดยการสำรวจของ Gallup หลังการพิจารณาของคณะกรรมการจบลงในปี 1974 ปรากฏว่าคะแนนนิยมของอิโนเอะพุ่งสูงขึ้นเป็น 84% สูงกว่าตัวประธานคณะกรรมการอย่าง แซม เออร์วิน (Sam Ervin)
ภายหลังเขาจึงได้นั่งเป็นประธานคณะกรรมการกิจการข่าวกรองของวุฒิสภา ซึ่งตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในหน่วยงานสายลับ และคืนความมั่นใจให้กับประชาชนต่อการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยข่าวกรอง
เมื่อเกิดเรื่องฉาวทางการเมืองขึ้นอีกครั้งในช่วงปลายทศวรรษ 1980 กับกรณีที่เรียกกันว่า Iran-contra ในยุคของประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน (ซึ่งยังอยู่ในยุคสงครามเย็น และรัฐบาลก็ต้องการสนับสนุนกลุ่มคอนทราในการโค่นล้มรัฐบาลฝ่ายซ้ายในนิการากัว เนื่องจากความเชื่อว่า ถ้าปล่อยให้รัฐบาลฝ่ายซ้ายไปต่อได้ก็จะเป็นแบบอย่างให้กับประเทศอื่น ๆ ในทวีปอเมริกาปฏิวัติเอาอย่างตาม แต่เนื่องจากสังคมไม่เอา คองเกรสก็ออกกฎหมายห้าม ทางรัฐบาลจึงหาเงินด้วยการแอบขายอาวุธให้อิหร่านซึ่งก็เป็นคู่แค้นของสหรัฐฯ และอยู่ระหว่างการคว่ำบาตร แต่ขายเพราะคิดว่านอกจากจะได้เงินไปให้กลุ่มคอนทราแล้ว ยังน่าจะช่วยให้ชาวอเมริกันที่ถูกจับเป็นตัวประกันโดยกลุ่มชีอะห์ที่ภักดีต่ออิหร่านในเลบานอนได้รับการปล่อยตัว) ด้วยชื่อเสียงที่สั่งสมมา อิโนเอะจึงได้รับการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ประธานการสอบสวนของวุฒิสภา
บรรดาเจ้าหน้าที่ความมั่นคงที่มาให้ปากคำพยายามอ้างตัวว่าเป็นผู้รักชาติ ต้องทำสิ่งที่ผิดกฎหมาย ก็เพื่อความมั่นคงของประเทศชาติจากภยันตรายอันใกล้จะถึง ขณะที่อิโนเอะตอบโต้ว่า นั่นเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อใช้อำนาจตามอำเภอใจเท่านั้น
"การระแวดระวังในต่างแดนใช่ว่าเราจะต้องละทิ้งอุดมการณ์หรือหลักนิติธรรมในประเทศ ในทางกลับกัน หากขาดซึ่งหลักการและอุดมการณ์แล้ว เราก็แทบไม่เหลือสิ่งใดที่ควรค่าแก่การปกป้องอีก" อิโนเอะกล่าว
อิโนเอะล้มป่วยในช่วงต้นเดือนธันวาคม ปี 2012 ก่อนเสียชีวิตลงในวันที่ 17 ธันวาคม ปีเดียวกัน ด้วยภาวะแทรกซ้อนจากโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจขณะรักษาตัวอยู่ที่ ศูนย์การแพทย์ทหารแห่งชาติ วอลเตอร์ รีด (Walter Reed National Military Medical Center) โดยแถลงการณ์การเสียชีวิตของเขากล่าวว่า คำพูดสุดท้ายของวุฒิสมาชิกแห่งฮาวายคือ "aloha" (คำทักทายแบบฮาวาย) ในปีถัดมาเขายังได้รับการเชิดชูเกียรติย้อนหลัง เมื่อมีการมอบเหรียญเสรีภาพที่ได้รับการคัดเลือกโดยประธานาธิบดี (Presidential Medal of Freedom) ซึ่งถือเป็นเหรียญเกียรติยศชั้นสูงสุดที่มอบให้กับพลเรือนที่สร้างประโยชน์อย่างโดดเด่นให้กับประเทศชาติและสังคม