read
interview
13 ก.พ. 2563 | 17:42 น.
สัมภาษณ์ พลอยไพลิน ตั้งประภาพร คำถามที่ไม่มีคำตอบของ “พลอยเรียนจบแล้วทำไรต่อ?”
Play
Loading...
“เราเชื่อว่าถ้าเขามีความฝันและความตั้งใจจริง ๆ สักวันเขาต้องทำมันอยู่ดี”
นี่คือความเชื่อของ พลอย-พลอยไพลิน ตั้งประภาพร เจ้าของเพจ “พลอยเรียนจบแล้วทำไรต่อ?” ที่ปัจจุบันยังคงตั้งคำถามกับตัวเองอยู่เรื่อย ๆ เพื่อหาโอกาสในการทำงานหลากหลายรูปแบบ ทั้งการเขียนหนังสือ แสดงละคร ถ่ายแบบ และล่าสุดกับการแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกของชีวิต “Low Season สุขสันต์วันโสด”
สำหรับพลอยแล้ว การเดินทางของคำถามที่ว่า “พลอยเรียนจบแล้วทำไรต่อ?” ยังคงไม่มีคำตอบ เพราะยังมีความสุขกับที่ทำ และจะตามหาคำตอบต่อไป
The People: ประสบการณ์แสดงภาพยนตร์เรื่องแรกเป็นอย่างไรบ้าง
พลอยไพลิน:
ตื่นเต้นค่ะ เพราะว่าเราไม่เคยถ่ายทำภาพยนตร์มาก่อน แล้วก็รู้สึกค่อนข้างจะกดดันมากเลย แต่ก็ดีใจ เพราะเราเรียนภาพยนตร์มาก่อน จบด้านนิเทศศาสตร์ สาขาภาพยนตร์ (มหาวิทยาลัยรังสิต) เป็นความฝันของเด็กที่เรียนภาพยนตร์ว่าอยากจะออกกองภาพยนตร์ของจริงดูสักครั้ง พอมีโอกาสมาเล่นภาพยนตร์ด้วยจริง ๆ ก็รู้สึกดีใจและตื่นเต้น ในที่สุดเราก็ได้ทำงานเหมือนที่เคยเรียนมา เป็นงานที่เราฝันว่าอยากจะลองทำครั้งหนึ่งเหมือนกัน
The People: ชีวิตในกองถ่ายจริง ๆ ต่างจากที่คิดหรือที่เคยเรียนไหม
พลอยไพลิน:
ต่างเยอะนะคะ เพราะกองถ่ายในชั้นเรียนจะเป็นเพื่อน ๆ ทำกัน เป็นนักศึกษาที่พูดคุยอย่างเป็นกันเอง แต่ว่าพอเป็นการทำงานจริง ๆ ผลลัพธ์ไม่ใช่คะแนนที่อาจารย์จะมาให้ แต่คือคะแนนจากคนดูที่เขาจะชอบหรือไม่ชอบ แล้วทีมงานก็มีความมืออาชีพมากกว่างานนักศึกษา ได้เล่นคู่กับพี่ ๆ นักแสดงที่เป็นมืออาชีพมาก ๆ เลยมีความกดดันมากกว่า
The People: เคยแสดงละครมาก่อนทำให้มีพื้นฐานการแสดงมาบ้าง พอมาแสดงภาพยนตร์แล้วเป็นอย่างไร
พลอยไพลิน:
ค่อนข้างแตกต่างค่ะ เพราะละครแสดงบนจอขนาดเล็ก เราต้องเล่นใหญ่ขึ้นเพื่อดึงดูดให้คนหันมาดูละคร แต่ภาพยนตร์จอมันใหญ่ คนจะตั้งใจเข้ามาดูเรา เขาก็จะสังเกตความจอใหญ่นั้น ถ้าเล่นมากเกินไปก็จะดูเกินจริง ต้องเล่นให้พอดีและเหมือนจริงที่สุด เพราะการแสดงภาพยนตร์มันสมจริงกว่าค่ะ
ส่วนการทำงานมีความสนุกแตกต่างกัน อย่างละครเราใส่เต็มที่ โกรธก็คือโกรธ แต่ภาพยนตร์ถ้าโกรธ ก็ไม่ต้องโกรธยิ่งใหญ่ขนาดนั้น จะมีมิติในการแสดงที่แตกต่างกัน แต่ถามว่าสนุกไหม ก็สนุกคนละแบบ แต่สนุกเหมือนกันค่ะ
หลังจากแสดงเรื่องนี้ เราต้องเข้าใจเบื้องลึกเบื้องหลังของตัวละครมาก ๆ รู้สึกว่าเริ่มหลงเสน่ห์การเล่นภาพยนตร์ เพราะมันมีความจริงในการเล่นและในการแสดง ทำให้อยากเข้าใจในศาสตร์นี้มากขึ้น
The People: ทราบมาว่าเป็นติ่ง มาริโอ้ เมาเร่อ
พลอยไพลิน:
(หัวเราะ) ไม่ได้เชิงติ่งค่ะ แต่ว่าเราดูหนังเขาเรื่อง “สิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่ารัก” (2553) ที่เป็น “พี่โชน” (มาริโอ้ เมาเร่อ) กับ “น้องน้ำ” (พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์) แล้วเราก็เคยจินตนาการว่า เฮ้ย! อยากจะมีพี่โชนแบบนี้ของจริง (หัวเราะ) แล้วพอเรามาเล่นกับพี่เขาก็จะ… เฮ้ย นี่มันพี่โชนที่เราเคยดูนี่หน่า
พอมาเล่นด้วยกันก็ตื่นเต้นค่ะ แล้วก็กดดัน เพราะเราเห็นพี่เขามานานมากในวงการบันเทิง เรารู้สึกว่าเขาเป็นพระเอกระดับประเทศ เลยกดดันที่ว่าเราต้องมาเล่นคู่กับพี่เขา เราจะทำได้ไหม จะทำดีไหม จะทำให้ทุก ๆ คนผิดหวังหรือเปล่า ก็อยากจะทำให้เต็มที่ที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ (หัวเราะ)
The People: ในภาพยนตร์ “Low Season สุขสันต์วันโสด” รับบทเป็นใคร
พลอยไพลิน:
รับบทเป็น “หลิน” ค่ะ เป็นพนักงานออฟฟิศธรรมดาคนหนึ่งที่เพิ่งเรียนจบแล้วทำงานไปเรื่อย ๆ หลินจะมีความแปลกอยู่อย่างหนึ่งคือเห็นผีมาตั้งแต่เด็ก แต่แฟนของหลินไม่เชื่อว่าหลินเห็นผี คิดว่าบ้า เพ้อเจ้อ จนสุดท้ายก็เลิกกัน หลินก็เลยผิดหวัง อกหัก แล้วก็กลายเป็นคนโสดในที่สุด หลินก็เลยตัดสินใจเดินทางออกไป เพราะคิดว่าการเดินทางท่องเที่ยวจะเยียวยาจิตใจคนอกหัก เพื่อเยียวยาตัวเอง เพื่อจะ move on หลินก็เลยเดินทางไปเชียงใหม่
The People: ตัวจริงคุณกลัวผีไหม
พลอยไพลิน:
ค่อนข้างกลัว (หัวเราะ) คือเราอยู่คนเดียวได้ ไม่ได้กลัวความมืดถึงขั้นอยู่คนเดียวไม่ได้ แต่ถ้าอยู่ในที่ที่น่ากลัวก็จะกลัว อย่างบ้านร้างหรือผ่านโซนป่าช้า เราก็กลัว
The People: เคยเจอผีไหม
พลอยไพลิน:
เคยเจอตอนเด็ก ๆ ค่ะ จำได้แบบ... โห เห็นชัดมาก แล้วทุกคนไม่มีใครเชื่อเลยว่าเราเห็น คือเราเห็นว่าเป็นมือขาว ๆ มาเคาะประตูกระจกเรียก กวักให้เราไปหาเขา เราบอกแม่ว่าเห็น แต่ไม่มีใครเชื่อเรา แต่โตมาก็ไม่เห็นอะไรแล้วค่ะ
The People: การออกไปเที่ยวจะช่วยเยียวยาคนอกหักได้จริงไหม
พลอยไพลิน:
ช่วยนะ ช่วยเยอะมาก ๆ เลยแหละ เพราะมันเหมือนการทำอะไรใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นได้พบคนใหม่ ๆ กิจกรรมใหม่ ๆ ไหนจะต้องแก้ไขปัญหาระหว่างทาง หลงทางเอย อะไรเอย มันทำให้เราไม่มีเวลาไปฟุ้งซ่านถึงเขา ถึงคนอื่น ๆ ถึงคนคนหนึ่งที่ทิ้งเราไป แต่เรากลับเอาเวลานั้นมาคิดว่าจะเดินทางยังไงต่อ ทำอะไรต่อ จะได้ไม่คิดมากถึงคนคนนั้นแล้ว
อีกอย่างเรายังได้ไปเจอคนใหม่ ๆ ได้พูดคุย ได้แลกเปลี่ยนทัศนคติกัน พลอยเชื่อว่ามีคนโสดหลายคนที่ไปเที่ยวคนเดียวตอนโดนบอกเลิกเพื่อที่จะเยียวยาตัวเอง ยิ่งถ้าเราเสียใจมาก ๆ แล้วไปเจอใครสักคนที่เป็นคนแปลกหน้า แน่นอนว่าเราต้องระบาย ตู้ม! เพราะเขาคือใครก็ไม่รู้ เราก็อยากจะระบายกับเขา อันนี้มันค่อนข้างช่วย
The People: มีสถานที่ท่องเที่ยวแนะนำสำหรับคนโสดบ้างไหม
พลอยไพลิน:
สำหรับเรา เราชอบภูเขา เพราะอากาศเย็น พื้นที่เขียว ๆ เย็น ๆ มันนั่งได้เรื่อย ๆ เลย เราสามารถตะโกนอะไรแล้วไม่มีเสียงคลื่นกลบ (หัวเราะ) แบบว่า “ไอ้บ้าเอ๊ย” ตะโกนตรงหน้าผาดัง ๆ ตะโกนไปให้สุดเสียงโดยที่ไม่ต้องมีเสียงคลื่นมาฟู่ ๆ กลบเสียงเรา (หัวเราะ)
The People: คุณรับมือกับอาการอกหักอย่างไร
พลอยไพลิน:
อย่างแรกคือต้องเสียใจให้สุด แล้วพอสุดมันจะคิดได้เองค่ะ คิดได้เมื่อไหร่เราก็ไปเที่ยว ใช้การเที่ยวเป็นการเยียวยาเราเวลาเสียใจอะไรมาก ๆ เพราะรู้สึกว่าเราได้ไปเจออะไรใหม่ ๆ ไปเห็นมุมมองโลกที่ไม่ได้อยู่ที่เดิม ๆ สมมติเราเสียใจมาก ๆ เรานอนอยู่ห้องเดิมก็จะนอนร้องไห้อยู่บนเตียง แต่ถ้าเราไปเปลี่ยนที่นอน เปลี่ยนบรรยากาศ มันรู้สึกว่า เฮ้ย! บนโลกนี้มีอะไรที่เราต้องเรียนรู้ ต้องทำอีกเยอะเลย ไม่ใช่มานอนร้องไห้
The People: เราจะ move on กับความรู้สึกนั้นได้อย่างไร
พลอยไพลิน:
ต้องยอมรับความจริงให้ได้ว่าเลิกกันแล้ว (หัวเราะ) เพราะว่าบางคนอาจจะยังรอเขาอยู่ ยังมีความคาดหวังที่เขาจะกลับมา ซึ่งเราก็จะ move on ไม่ได้สักที แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เรารู้สึกว่ายอมรับความจริงได้แล้ว เราเข้าใจแล้วว่าต้องกลับมาอยู่คนเดียว แล้วเมื่อไหร่ที่เรามีความสุขได้ด้วยตัวเองโดยที่ไม่มีเขา ตอนนั้นเราจะ move on ได้ โดยที่ไม่สนใจเขาอีกแล้ว
ทุกคนเกิดมาอยู่คนเดียวตั้งแต่แรก เราไม่ได้มีแฟนตั้งแต่เกิด เราเคยมีความสุขได้ด้วยตัวเราเองตั้งแต่แรก เราก็ควรจะกลับไปเป็นคนอย่างนั้น แล้วข้อดีของคนโสดคือเรามีอิสระมากขึ้น จะไปไหนก็ได้ ไม่ต้องเผื่อเวลาวันว่างให้ใคร แล้วก็อยากจะไปไหนก็ไป
The People: แล้วข้อดีของการมีแฟนล่ะ?
พลอยไพลิน:
ข้อดีของการมีแฟนคือทำให้เรารู้สึกว่ามีคนคอยอยู่ข้าง ๆ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เราไม่มีคนคนนั้น เราก็ต้องอยู่ข้างตัวเองให้ได้ รักตัวเองให้เป็น อย่างแรกต้องเห็นคุณค่าของตัวเอง ต้องอยู่ได้ด้วยตัวเองโดยไม่พึ่งพาเขาคนนั้น และมองกลับไปว่า เรามีใครพึ่งพาได้บ้าง เช่น ครอบครัว แน่นอนอยู่แล้วครอบครัวเขาซัพพอร์ตเราเสมอ และยังมีเพื่อนเราที่อยู่ข้าง ๆ เรามาตลอด เราต้องมองกลับไปที่คนใกล้ตัวที่รักเรา อย่าเอาคุณค่าและความสุขทุกอย่างไปลงที่คนคนหนึ่งที่เขาไม่ได้รักเราแล้วนะคะ (หัวเราะ) เราต้องเอาความสุขและเอาความคาดหวังกลับมาที่ตัวเราเอง
The People: อะไรเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้คุณกล้าออกเดินทางเที่ยวคนเดียว
พลอยไพลิน:
อยากรู้อยากลองว่าเราจะทำได้ไหม กับการที่เราต้องไปฝ่าฟันอะไรข้างนอกคนเดียว แล้วก็ความสับสนด้วย เพราะตอนนั้นอยู่ในช่วงเรียนจบแล้วเป็นของขวัญของเราที่จะได้ไปเที่ยวเป็นเดือน แล้วเราจะได้ไปเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ ข้างนอก ก็เลยเป็นตัวตัดสินใจที่อยากจะไปเที่ยว
การเที่ยวครั้งนั้นค่อนข้างเปลี่ยนตัวเองเลยค่ะ เปลี่ยนแนวคิด เปลี่ยนทุกอย่าง เปลี่ยนการมองโลก มันทำให้เรารู้สึกภูมิใจกับตัวเองมากขึ้นมาก ๆ (เน้นเสียง) ว่าครั้งหนึ่งเราเคยไปถึงครึ่งโลกด้วยตัวเราเองจริง ๆ
The People: แสดงว่าการเที่ยวช่วยให้คุณเติบโต?
พลอยไพลิน:
ใช่ เราค่อนข้างเห็นด้วยว่าเดินทางแล้วจะเติบโตขึ้น เพราะเรารู้สึกว่าการซื้อตั๋วเครื่องบินไปเที่ยว มันเหมือนการซื้อคอร์สเรียนคอร์สหนึ่งที่ไม่รู้ว่าจะได้หลักสูตรอะไรมา เหมือนว่าเราไปครั้งนี้เราอาจจะได้หลักสูตรในการใช้ชีวิต ไปครั้งนี้เราอาจจะได้หลักสูตรในการเรียนรู้คน เหมือนเป็นประสบการณ์การเรียนรู้อย่างหนึ่งที่อยู่นอกห้องเรียน
The People: มีหลักสูตรไหนที่ประทับใจมากที่สุด
พลอยไพลิน:
น่าจะเป็นมุมมองการใช้ชีวิตของคนต่างวัย เราได้คุยกับทั้งวัยรุ่น ทั้งคนแก่ ทั้งคนที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย หรือคนที่มีความสุขมาก ๆ ก็เคยเจอ หรือต่างชาติทั้งคนอเมริกัน คนรัสเซีย คนมองโกเลีย เราได้เห็นหลาย ๆ มุมมอง หลาย ๆ ชนชาติ หลาย ๆ ศาสนา และหลาย ๆ ช่วงอายุคน มันทำให้เราเข้าใจอะไรมากขึ้น แล้วนำมาปรับมาใช้กับตัวเองว่า อ๋อ... จริง ๆ แล้วการที่เราเครียดหรือล้มเหลวอะไรก็ตาม มันไม่ใช่แค่เราคนเดียว ยังมีอีกหลายคนที่เป็นเหมือนเรา แล้วเขาผ่านมันมาแล้ว
The People: มีข้อแนะนำสำหรับคนที่อยากเดินทาง แต่ไม่กล้าสักทีไหม
พลอยไพลิน:
ถ้าเขามีความฝันและความตั้งใจจริง ยังไงสักวันเขาต้องทำมันอยู่ดี แต่ว่าถ้ายังไม่กล้าคือต้องตัดความกลัวออก แล้วก็ลองทำดู ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ประสบความสำเร็จ หรือไม่ได้ออกมาอย่างที่เราหวัง อย่างน้อยเราก็เคยได้ลองทำ แล้วเราก็รู้ว่าเคยทำมันมาแล้ว
การเที่ยวช่วยเปิดโอกาสให้เราได้ลองทำอะไรใหม่ ๆ อย่างการที่เราได้เขียนหนังสือก็เพราะว่าเราไปเที่ยวคนเดียวเหมือนกัน หรือการที่เราได้ไปบรรยายตามมหาวิทยาลัย (หัวเราะ) ก็เป็นเพราะเรากล้าไปทำคนเดียวมา เหมือนมันเป็นแรงบันดาลใจหรือเป็นตัวอย่างให้คนหลาย ๆ คน พลอยรู้สึกว่ามันมีประโยชน์มาก ๆ กับการที่เราเที่ยวแล้วกลับมาได้เล่าอะไรให้ใครฟัง
The People: ทราบมาว่า ก่อนออกเดินทางคนเดียว คุณเป็นคนขี้กลัว?
พลอยไพลิน:
ใช่ ๆ เราเป็นคนแบบ... เฮ้ย เราจะทำได้ไหม เราจะทำดีหรือเปล่า เราจะทำได้เหรอ แต่พอได้ลองทำ อย่างน้อยก็ได้เรียนรู้ แต่การลองครั้งนั้นต้องไม่ใช่แค่ลองแบบขำ ๆ นะ แต่ต้องเป็นการลองด้วยความตั้งใจจริง ๆ ว่าเราอยากจะเรียนรู้กับมัน
The People: หลายคนที่ไม่ยอมออกเดินทางเพราะมีข้ออ้างคลาสสิกอย่าง “ไม่มีเงิน” กับ “ไม่มีเวลา” ?
พลอยไพลิน:
ไม่ใช่แค่เฉพาะเที่ยว แต่ถ้าเรามีความฝันและความตั้งใจจริง ๆ ยังไงสักวันเราก็ต้องหาทางที่จะทำมันให้ได้จนได้อยู่ดี ถึงแม้ว่าชีวิตคนเราจะมีโจทย์ไม่เหมือนกัน อย่างน้อยสักวันถ้าเรามีความตั้งใจ ยังไงเราก็ต้องหาทางทำให้ได้จนได้
The People: ตอนนี้มีที่ไหนที่อยากเดินทางไปบ้าง
พลอยไพลิน:
หูย เยอะมากเลย (หัวเราะ) เลือกไม่ถูกเลย แต่อยากไปอเมริกาใต้ค่ะ ไม่เคยไปฝั่งนู้นเลย เราไปแค่โซนยุโรป เราก็อยากไปเรียนรู้วัฒนธรรมของคนอเมริกาใต้ว่าเป็นยังไง อยากจะไป trekking ที่ปาตาโกเนีย (Patagonia) ค่ะ
The People: จากชื่อเพจ “พลอยเรียนจบแล้วทำไรต่อ?” แล้วตอนนี้คิดได้หรือยังว่าจะทำอะไรต่อ
พลอยไพลิน:
(หัวเราะ) เอาจริง ๆ ยังคิดไม่ได้ว่าจะทำอะไรต่อ แต่ว่าตอนนี้มีความสุขกับที่ทำอยู่ตอนนี้มาก ๆ คือการได้เป็นนักแสดง แล้วก็ได้เขียนหนังสือ ได้ทำอะไรหลาย ๆ อย่างที่เราอยากทำ ที่ทำอยู่ตอนนี้ก็มีความสุขมาก ๆ แล้วค่ะ เรามีความสุขกับทุกอย่างที่ทำ คือก่อนทำเพจ เราเครียดมาก รู้สึกไม่พอใจกับตัวเอง ไม่พอใจเลยที่เป็นคนแบบนี้ แต่พอกลับมาแค่ปีเดียวเอง เราคิดว่าที่ทำอยู่ตอนนี้โอเคแล้ว มีความสุขแล้ว
The People: ที่ว่าไม่พอใจ คือไม่พอใจอะไรในตัวเอง
พลอยไพลิน:
เราทำหลายอย่างตั้งแต่แรกแล้วค่ะ แต่รู้สึกไม่เคยภูมิใจกับตัวเองที่ทำอะไรหลาย ๆ อย่าง เรารู้สึกว่าจะต้องมีอย่างเดียวสิที่ทำสุดโต่ง แต่พอวันหนึ่งเราเข้าใจว่า จริง ๆ คนเราไม่จำเป็นต้องทำอย่างเดียวก็ได้ สามารถทำหลาย ๆ อย่างแล้วมีความสุขได้ มันไม่มีใครมาจำกัดว่าคนคนนี้เกิดมาจะต้องเป็นอันนี้ ๆ เท่านั้น ปัจจุบันทุกคนทำได้หลายอย่างมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องทำอย่างเดียว แล้วพอเข้าใจ เราก็รู้สึกว่าเราโอเคกับตรงนี้แล้ว
The People: สุดท้ายคำตอบของคำถามที่ว่า “พลอยเรียนจบแล้วทำไรต่อ?” คืออะไร
พลอยไพลิน:
ไม่มีคำตอบค่ะ คำตอบที่เราตามหาคือไม่มีคำตอบ จนกว่าสักวันที่เรารู้สึกว่าเราอยากจะหาอะไรได้จริง ๆ หรือเรามี passion จริง ๆ ตอนนั้นก็คงจะทำสิ่งเดียว แต่ว่าตอนนี้คือเรามีความสุข ก็จะตามหามันต่อไป (ยิ้ม)
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
‘บิ๊กโจ๊ก’ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ตำแหน่งใหญ่ขณะอายุน้อย บารมีมาก เส้นทางสีกากีติดไฮสปีด
15 ก.ย. 2566
3487
ถอดรหัส ‘Naatu Naatu’ เพลงประกอบหนังอินเดียฉากร้อง-เต้นใน RRR ได้ออสการ์-Golden Globes
13 มี.ค. 2566
6940
‘เอมิลิโอ เฟอร์นันเดส’ ชายผู้เป็นต้นแบบของตุ๊กตารางวัล ‘ออสการ์’
12 มี.ค. 2566
818
แท็กที่เกี่ยวข้อง
Culture
Interview
The People
LowSeason
pigkaploy
พลอยไพลิน ตั้งประภาพร