read
interview
11 มี.ค. 2563 | 09:32 น.
สัมภาษณ์ ธณพร กลิ่นทอง ‘คุณยายต้อย’ แมวตระกูลไข่ กับการดูแลแมวเหมือนดูแลคนในครอบครัว
Play
Loading...
“เวลาคนคิดจะเลี้ยงแมว เขาก็ไม่ได้มาคำนึงถึงวันที่น้องป่วยหรอกค่ะ ในหัวมันมีแต่ภาพน่ารัก ๆ ตอนเราเล่นกับเขา แต่ที่จริงแล้วแมวเขาก็เหมือนเรา มีเจ็บ มีป่วย มีตาย เราเอาเขามาเลี้ยงแล้ว ก็ต้องรับผิดชอบชีวิตเขาจนถึงที่สุด”
คุณยายต้อย-ธณพร กลิ่นทอง
หญิงชราวัย 69 ปี ตัดสินใจเริ่มรับแมวจรกว่า 20 ตัวมาเลี้ยงด้วยจิตใจที่เต็มไปด้วยความสงสาร บ้านหลังเล็ก ๆ ของเธอจึงคึกคักขึ้น เพราะมีสมาชิกใหม่เป็นไข่ใบเล็ก ๆ ที่เข้ามาเติมความสุขให้หัวใจไม่เงียบเหงา
แต่แน่นอนว่าลำพังการดูแลชีวิตสัตว์สักตัว นอกจากด้านที่สวยงาม สิ่งที่ตามมาคือค่าใช้จ่าย เมื่อวันหนึ่งจากแมวไม่กี่ตัวเริ่มเพิ่มกลายเป็น 20 ตัว หญิงชราที่ไม่มีรายได้คนหนึ่งจะทำอย่างไรในวันที่เริ่มแบกรับค่าใช้จ่ายของแมวไม่ไหว เธอต้องทำอย่างไร ถึงจะปกป้องแมวตระกูลไข่ของตัวเองเอาไว้ได้
ทำความรู้จัก ‘คุณยายต้อย’ และแมวตระกูลไข่ กับเรื่องราวของการดูแลชีวิตเล็ก ๆ ที่แม้บางครั้งจะสร้างปัญหา แต่ก็ให้บทเรียนที่สวยงาม
The People: เริ่มต้นเลี้ยงแมวตั้งแต่ตอนไหน
ธณพร:
ย้อนกลับไปเมื่อ 60 กว่าปีที่แล้ว ตอนคุณยายเด็ก ๆ จำได้ว่าที่บ้านมีแมว 2 ตัว เป็นแมวสามสีตัวหนึ่ง ตัวเมีย แล้วก็ตัวผู้ลายกระแต ตัวนี้ติดเรือมาจากประเทศสิงคโปร์ เพราะว่าคุณพ่อเราทำงานอยู่ที่การท่าเรือ แล้วคุณพ่อก็เอากลับมาบ้าน ความรู้เรื่องแมวมีแค่นี้ แล้วทุกอย่างมันก็หายไปเหมือนกับเทปที่ถูกลบ จนมาต้นเดือนมกราฯ ปี 2557 วันครูค่ะยังจำได้ เพราะวันนั้นเราไปโรงพยาบาล ไปเห็นในเฟซบุ๊กว่ามีแมวหาบ้าน อยู่แถวนิด้า ต้นโพสต์เขาบอกว่าถ้าใครยินดีรับ เขาจะทำวัคซีนให้ เราก็เลยไปรับมา พอเห็นน้องเขาตัวสีส้ม ก็เลยให้ชื่อว่าน้องไข่หวาน ก็เลยเป็นไข่ใบแรกของที่บ้านหลังนี้ หลังจากนั้นเราก็เลยตั้งชื่อเขาโดยขึ้นต้นว่าไข่มาเรื่อย ๆ ที่จริงก่อนน้องไข่หวานก็เคยมีแมวอีกหลายตัว แต่พอย้ายบ้านมาก็มีคนอื่นขอไปเลี้ยงบ้าง หรือไม่เขาก็ค่อย ๆ ล้มหายตายจากไปบ้าง จนตอนนี้ก็เลยจะเหลือน้องกาโต้กับพวกตระกูลไข่เป็นสมาชิกในบ้านเราค่ะ
The People: น้องแมวตระกูลไข่มีทั้งหมดกี่ตัว
ธณพร:
ที่จริงถ้านับรวม ๆ ไข่ทั้งหมดก็จะมีประมาณ 24 ตัวค่ะ น้องไข่หวานมาวันครู ปี 57 หลังจากนั้น เดือนกุมภาฯ ปีเดียวกัน ไข่พะโล้ก็มาเป็นไข่ใบที่สอง ตัวนี้มาจากเฟซบุ๊กเหมือนกัน เหมือนกับว่าเขาหนีเสียงประทัดมาหลบอยู่ที่คูน้ำ เราเห็นก็ถูกชะตาเพราะเขาเหมือนแมวอีกตัวที่เราเคยเลี้ยง เลยไปรับมา แล้วตัวที่สามก็ตามมาคือน้องไข่ตุ๋น เป็นสาวใต้ นั่งเครื่องมาจากภูเก็ต เราไปรับมาเมื่อวันที่ 1 มีนาปีนั้นแหละ ส่วนตัวนี้ (ชี้ไปที่แมวอีกตัว) รับมาจากตลาดทุ่งครุ นั่นล่ะค่ะ ก็เลี้ยงเป็นเรื่องเป็นราวมา ระหว่างทางมีล้มหายตายจากไปบ้าง ตอนนี้น้องแมวตระกูลไข่ก็เหลือกันอยู่ประมาณ 22 ตัว
The People: รู้จักแมวของตัวเองทุกตัว จำได้แม้กระทั่งวันที่ไปรับมาเลี้ยง?
ธณพร:
ใช่ค่ะ จำได้หมด ตัวไหนชื่ออะไร ไปรับมาจากที่ไหน เมื่อไหร่ ให้ไล่ชื่อตั้งแต่ตัวแรกจนถึงตัวสุดท้ายก็ทำได้ แมวทุกตัวของที่นี่จะมีสตอรี่ค่ะ โดยเฉพาะน้องไข่ไก่ ไข่ใบที่ 5 ของบ้าน ไข่ไก่ก็มีสตอรี่ที่น่าสงสาร เขาเป็นออทิสติก คนที่ไปเจอเขาบอกว่า น้องนั่งอยู่ริมถนนมานานแค่ไหนก็ไม่รู้ ทั้งหมัดทั้งมดเต็มตัว เขาคงหมดแรงที่จะเดินแล้ว ตอนเห็นรูปน้องเราสงสารมาก เลยขับรถไปรับ ตอนนี้ก็เลี้ยงเขาด้วยความเวทนา เขาก็กินนอนไม่ต่างจากพี่ ๆ น้อง ๆ มากนัก แต่จะชอบให้อุ้มตลอดเวลา ทำตัวเหมือนคน เลยดูเหมือนว่าเราจะต้องประคบประหงมเขาเป็นพิเศษ
[caption id="attachment_20466" align="aligncenter" width="1200"]
ไข่ไก่[/caption]
The People: ความเป็นอยู่ของแมวตระกูลไข่เป็นอย่างไรบ้าง
ธณพร:
แมวที่นี่ก็จะกินอิ่มนอนอุ่นค่ะ อายุยืนทุกตัว ทุกวันอาทิตย์เราจะมี Sunday Morning Party เราจะซื้ออกไก่ต้ม ฟักทองต้ม ซุปปลา ขนมแมวเลีย คลุกให้เขากิน ทำสองถาดใหญ่ ๆ เลยจะได้อิ่ม ๆ เขาก็จะกินกันประเภทเลียจาน คิดตังค์ไม่ถูกเลยว่าเธอสั่งอะไรมากินบ้าง คือเขาเป็นแมวจรแค่วันนั้น วันที่เราไปรับเขามา มันเป็นอดีตค่ะ พอเข้ามาเขาก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งในบ้านเรา
แมวที่นี่ก็จะเลี้ยงระบบปิด 200% ค่ะ เราเลี้ยงไว้ในบ้าน มีห้องสำหรับแมว 2 ห้องใหญ่ที่เราใช้เลี้ยง เราเอาห้องที่เคยเป็นห้องครัวเก่าให้น้องไปเลย แล้วย้ายครัวออกมาหน้าบ้าน ข้างในก็จะติดพัดลมดูดอากาศเอาไว้ เพราะคุณยายไม่ชอบให้มีกลิ่น คือเดี๋ยวนี้ภัยของแมวมันเยอะนะคะ ไม่รถชน ก็หมาแมวด้วยกันกัด นี่ยังกังวลอยู่เลยว่าถ้ามีใครกรีดหน้าต่างมุ้งลวดให้น้องแมวหนีไป คุณยายจะทำยังไง แต่นั่นก็จะเป็นอะไรที่ใจร้ายมาก
The People: คนรอบข้างมีความเห็นอย่างไรที่เราเลี้ยงแมวมากขึ้นเรื่อย ๆ
ธณพร:
คนรอบข้างตอนนี้มีคนเดียวคือ น้องแบงก์ ลูกสาวคนเล็กค่ะ เขาก็จะมีแอบเคืองแม่บ้าง
“งอกแมวอีกแล้ว บอกว่าให้พอ ทำไมไม่พอ”
ตอนนั้นเราก็คิดเพียงตื้น ๆ นะคะว่า
ไม่ใช่เราแล้วใคร
อย่างน้อยการที่เรารับเขามา บ้านเราก็มี พื้นที่ก็มี แล้วเขาจะกินอีกสักเท่าไหร่ เขาจะขี้เยี่ยวอีกสักเท่าไหร่ ไม่เป็นไรหรอก เราก็เจียดค่าขนมของตัวเองนี่ล่ะไปเลี้ยงแมว ลูกเขาจะแบ่งเงินไว้ให้ไงคะ อันนี้ค่าอาหาร ค่าใช้จ่ายในบ้าน อันนี้ของแมว เขาก็จะให้มาก้อนหนึ่ง แต่เราก็มีแอบคอร์รัปชัน เอาค่าอาหาร ค่าของใช้ไปลงที่แมวบ้าง
[caption id="attachment_20396" align="aligncenter" width="1200"]
ไข่ตุ๋น[/caption]
The People: แสดงว่าที่ผ่านมาใช้เงินของตัวเองเลี้ยงแมวมาโดยตลอด แล้วอะไรคือเหตุผลที่ต้องออกมาขายกระเป๋า
ธณพร:
ทุกครั้งที่เราเอาแมวมาเลี้ยง ณ วันนั้นเราก็เลี้ยงเขาไปโดยที่ไม่ได้คำนึงเลยว่า แล้วถ้าวันหนึ่งมีปัญหาจะเป็นยังไง เรารู้แค่ว่าเรามีความรัก มีความเมตตา เรามีพื้นที่ และเรายังมีแรง เราก็จะทำเท่าที่ไหว แต่พอวันหนึ่งมีแมวมากขึ้น ค่าใช้จ่ายก็มากตาม ทั้งน้ำยาถูพื้น กระดาษชำระ ถุงใส่ขี้แมว พวกนี้ต้องซื้อเยอะขึ้นหมดเลย ค่าใช้จ่ายจากเดือนละ 5-6 พัน ก็กลายเป็นหมื่นกว่าบาท จนกระทั่งวันหนึ่งมีแมวป่วยขึ้นมา เรื่องค่าของใช้ยังไม่เท่าค่ารักษาเลยค่ะ ตอนนั้นน้องไข่ปลา ลูกของไข่กุ้งเขาป่วยเป็นหวัด ต้องเสียค่ารักษาไป 5 พันกว่าบาท แต่เสียเงินค่าหมอไปแล้วเขาก็ยังไม่หาย มันเหมือนเขาไม่สู้ ไม่ไหวแล้ว สุดท้ายเขาก็ค่อย ๆ หลับไป
พอมาถึงไข่พะโล้ ที่ต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะว่าฉี่ไม่ออก เรารักเขามาก ก็กลัวว่าเขาจะเป็นอะไรไปอีก ตอนนั้นยอมเสียค่ารักษาไปอีก 7-8 พัน พอรับกลับมาก็ต้องแยกเลี้ยง ต้องซื้อคอก ต้องมีส้วมต่างหาก เพราะเราต้องสังเกตฉี่เขาว่าเขาฉี่เป็นปกติหรือยัง อาหารก็ต้องให้อาหารพิเศษ พอมีแมวป่วยขึ้นมาค่าใช้จ่ายมันมากยิ่งกว่าเดิม ตอนนั้นเราคิดว่าจะทำยังไงดี ง่ายที่สุดเลยคือขอตังค์น้องแบงก์ แต่ถามว่ามันแฟร์กับน้องแบงก์หรือคะ เขาไม่เคยสนับสนุนให้เราไปเอามาเลี้ยงเลย เราเป็นคนแอบไปเอามาเลี้ยงเอง แล้วตอนนั้นดันไม่ได้คิดถึงวันคืนข้างหน้า คิดแต่ว่าวันนี้จะทำให้ดีที่สุด พรุ่งนี้ยังไงพระเจ้าก็จะจัดเตรียมมาให้เรา
ตอนนั้นเหลือบไปเห็นเศษผ้าซึ่งตอนแรกเตรียมจะโยนทิ้งแล้ว ก็ลองเปิดดูในยูทูบ มันมีแบบกระเป๋าที่ทำจากเศษผ้าอยู่ เราเลยลองทำดู ก็เริ่มเย็บ เริ่มลงเฟซบุ๊ก แล้วก็เริ่มขายได้ขึ้นมา
The People: กระเป๋าขายดีตั้งแต่แรกเลยไหม
ธณพร:
ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ เพราะตอนแรกเราขายในเฟซบุ๊กส่วนตัวของเรา ขายให้เพื่อน ให้คนรู้จักที่เขารักแมวซื้อไป ยังไม่ได้เปิดสาธารณะ แต่พวกนี้ยังไงก็ไม่พอค่ารักษา พอดีคืนหนึ่ง พี่ชาคริต เจ้าของเพจ Malee & Friends ที่เราซื้อทรายกับเขาบ่อย ๆ ก็ทักไลน์มา บอกว่า
“คุณยายครับ ผมอยากจะช่วย ผมจะเขียนเรื่องของคุณยายกับแมวที่บ้านลงในเพจ Malee & Friends นะ”
เราก็ตอบตกลงไป
พอรุ่งเช้า จู่ ๆ ก็มีเงินเข้าบัญชีมา 3 พันบาท เราตกใจมาก เอ๊ะ ใครโอนตังค์มาให้เรา ตอนนั้นเขาก็แนบข้อความมาด้วยว่า
“คุณยายขา ทรายขอร่วมสมทบทุนกับน้องแมวตระกูลไข่”
เป็นน้องทราย เจริญปุระค่ะ เราดีใจแทบจะร้องไห้เลย พอดีตอนนั้นเย็บแพ็คกระเป๋าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เลยติดต่อบอกเขาไปว่า ขอชื่อที่อยู่น้องทรายหน่อยได้ไหมคะ เดี๋ยวคุณยายจะส่งกระเป๋าไปให้ น้องทรายเขาบอกหนูไม่รับค่ะ หนูอยากจะช่วยน้อง ๆ เฉย ๆ ตอนนั้นเราเลยบอกว่า คุณยายตั้งใจให้ เผื่อจะใส่ของกระจุกกระจิกไปกองถ่าย ปรากฏว่าน้องทรายเอาไปถ่ายรูปโพสต์ต่ออีก โอ้โห คุณยายขายเพิ่มได้เป็น 10 ใบ เรารู้สึกขอบคุณพระเจ้า
The People: ทำไมถึงไม่รับบริจาคเงินบ้าง
ธณพร:
การที่เราตัดสินใจเลี้ยงแมว มันเป็นความต้องการของเราที่รับเขามาเลี้ยงถูกไหม แล้วสิ่งหนึ่งที่เราจะทำคือเราจะไม่เบียดเบียนตัวเอง ถ้าวันใดวันหนึ่งแมวมันเยอะ แล้วเราต้องเบียดเบียนตัวเอง เราเริ่มไม่มีจะกิน เริ่มไม่มีค่าใช้จ่ายของตัวเองเพราะเราต้องไปลงให้แมวหมด คุณยายจะไม่ทำ เมื่อคุณยายยังไม่เบียดเบียนตัวเอง แล้วคุณยายจะไปเบียดเบียนคนอื่นได้ยังไง แล้วทุกวันนี้ลองเปิดดูหน้าเฟซบุ๊กสิ มีตั้งกี่กลุ่มไอ้เรื่องแมวเนี่ย หลายคนก็เห็นเขาขอจนเราสงสัยว่าเขาจะขอไปถึงเมื่อไหร่ ไหนจะมีดราม่าว่าคนนี้โกง เป็นมิจฉาชีพอีก อันนี้เราก็เคยเจอด้วย เลยคิดว่าถ้าเป็นเราจะไม่ทำ เราจะทำเท่าที่กำลังเราทำไหว ทำของเราให้ดีที่สุดดีกว่า
The People: เคยถูกมิจฉาชีพเอาเปรียบด้วย?
ธณพร:
เคยค่ะ เมื่อกี้อาจจะไม่ได้เล่านะคะว่าแมวที่นี่เป็น donor (แมวบริจาคเลือด) ครั้งสุดท้ายเพิ่งไปบริจาคมาเมื่อต้นเดือนนี้เอง ที่โรงพยาบาลสัตว์เกษตร พี่ไข่เป็ดเขาไปบริจาคให้น้องแซลมอน แล้วเมื่อปีที่แล้วพี่ไข่หวานก็ไปบริจาคให้น้องจีโน่ ที่โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ คือตัวคุณยายไม่สามารถบริจาคเลือดได้เพราะโลหิตจาง เราเลยมีความรู้สึกว่าเป็นเรื่องประเสริฐมากที่แมวเขามาช่วยทำบุญแทนเรา อิสลามสอนให้เป็นมือบนเสมอ มันช่วยให้มีสันติสุขในหัวใจ เพราะเราได้เป็นผู้ให้
แต่เพราะเราเป็นแบบนี้ เลยมีคนมาเอาเปรียบเราโดยอ้างตัวว่าเป็นจิตอาสา มาขอรับแมวไปบริจาคเลือด ตอนนั้นเราก็ให้ไปเพราะเห็นว่าเขาใจบุญจัง ถ่อมาจากบ้านตั้งไกลเพื่อมารับแมวเราไปบริจาคเลือดที่เกษตร แต่ความจริงคือเขาดันไปตีขลุมว่าตัวเองเป็นเจ้าของแมว พอบริจาคเลือดเสร็จก็ขอเก็บเงินกับเจ้าของแมวที่ป่วย เรื่องนี้เรามารู้ทีหลังก็เสียใจมากค่ะ ตอนนี้เลยไม่กล้าเอาแมวให้ใครอีก แต่เราเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่าเขาหว่านอย่างไรก็ย่อมได้ผลอย่างนั้น วันหนึ่งเขาคงได้เจอกับผลของสิ่งที่เขาทำไว้เอง
The People: คุณยายดูรักแมวทุกตัวมาก มีวิธีจัดการกับวันที่เขาจากไปอย่างไร
ธณพร:
เราจะเรียกว่าน้องไปดาวแมวแล้วค่ะ ข้าง ๆ บ้านจะมีรางดินที่น้องจะนอนกันเป็นแถว บางตัวเป็นไตวาย บางตัวเป็นลูคีเมีย บางตัวเป็นหวัด ทุกเช้ารดน้ำต้นไม้เราก็จะไปยืนคุยกับเขา เป็นไงบ้างลูก บนดาวแมวสนุกไหม เขาไปวิ่งเล่นกันบนนั้น คงดูเหมือนคนบ้าเนอะ ใครก็ไม่รู้เขาคงคิดว่ายัยป้านี่เพี้ยนไปแล้ว เลี้ยงแมวเสียจนเพี้ยน แต่ความจริงแล้ว ทุกความตายที่เกิดขึ้นกับแมว เขามาเขาก็สอนเรานะคะ ครั้งหนึ่งที่คุณยายขุด โรยดิน โรยปูนขาว วางร่าง วางดอกไม้ มันก็ทำให้เราระลึกถึงความตาย วันหนึ่งเราก็ต้องลงไปนอนอย่างนี้ให้คนกลบเราเหมือนกัน พุทธศาสนาเขาจะสอนใช่ไหม เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มันเกิดขึ้นได้กับทุกคน
The People: คิดจะรับแมวจรแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ไหม
ธณพร:
ที่จริง ณ วันที่ไข่พะโล้ป่วย และเราต้องเริ่มเย็บกระเป๋าขาย เราก็ยิ่งตระหนักว่าแมวเขาไม่ได้จะแข็งแรงอย่างนี้ไปอีกสิบปี ถ้ามีใครป่วยอีกเราจะดูแลเขาไหวไหม ก็เริ่มคิดเหมือนกันว่าจะพอแล้วกับการรับแมวจรเข้ามา คุณยายเองก็ 69 แล้ว มีเบาหวาน บางวันน้ำตาลต่ำ บางวันน้ำตาลสูง ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครจะไปก่อน แต่ก็จะพยายามบอกพวกเขาเสมอว่าหนูต้องไปก่อนคุณยายนะ ถ้าคุณยายไปก่อนแล้วใครจะดูแล
แต่ถึงอย่างนั้นเราก็จะยังวางอาหารไว้หน้าบ้าน น้องแมวจรแถวนี้หิวเมื่อไหร่ก็แวะมา เพราะที่นี่ยิ่งกว่าเซเว่นอีก หลายตัวก็คุ้นหน้าคุ้นตาดี พอมาเราก็จะทัก ว่าไงจ๊ะ หายหน้าหายตาไปเลย
The People: แสดงว่าจะไม่มีน้องแมวตระกูลไข่มาเพิ่มแล้ว?
ธณพร:
ค่ะ คิดว่าคงไม่แล้ว ตอนนี้คุณยายอยู่กับลูกแค่ 2 คน เขาทำงานเป็นแอร์โฮสเตส เมื่อเช้าไปตั้งแต่ตี 5 กว่าจะลงเครื่องมาก็คง 4-5 โมงเย็น เขาก็คงจะเหนื่อย แล้วถ้าวันหนึ่งไม่มีคุณยายแล้ว เขาจะไหวเหรอ เด็ก ๆ ก็กำลังโต ก็จะซนกันมากเลย เราคิดว่ามันคงไม่แฟร์กับเขาเท่าไหร่ คุณยายก็คิดว่าดูแลทุกตัวที่มีตอนนี้ไปให้ดีที่สุดดีกว่าค่ะ
The People: ณ วันนี้ การเย็บกระเป๋าเพื่อนำมาเลี้ยงแมว ยังเป็นความสุขอยู่หรือเปล่า
ธณพร:
ยังเป็นความสุขค่ะ เป็นความสุข คิดว่าคงทำไปเรื่อย ๆ ตราบที่เรายังมีแรง และเด็ก ๆ ยังมีค่าใช้จ่าย ทำไว้ก็คงไม่เสียหาย คุณยายคิดว่ามันวิน-วินด้วย เพราะตัวเราเองก็มีสมาธิ รู้สึกมีคุณค่า มีเงินเข้ามา เด็ก ๆ ก็อยู่ได้ต่อ แถมนั่งเย็บกระเป๋าไป เราก็มีความรู้สึกว่า นี่ใบเดียวในโลกนะ ทำมาจากหัวใจ ไม่ได้ใช้จักรใช้ด้ายเย็บนะคะ มันใช้หัวใจเย็บ แล้วมันมีเป้าหมายว่าเราทำเพื่ออะไร ณ วันนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายพี่โล้แล้ว แต่เราก็ไม่รู้ว่าวันหนึ่งข้างหน้าจะมีใครป่วยขึ้นมาอีก เราเก็บเงินไว้ได้ ก็จะเก็บไว้เป็นค่าใช้จ่ายของพวกเขา
The People: เคยคิดไหมว่าถ้าเราไม่ขับรถไปรับแมวมาในวันนั้นจะเป็นอย่างไร
ธณพร:
ไม่เคยคิดมาก่อนเลยค่ะ ไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะอยู่ยังไง หรือถ้าเราไม่ไปรับเขามา เขาจะตายไปแล้วหรือเปล่า เรารู้แต่ว่าวันนั้น ฉันได้ทำในสิ่งที่ฉันอยากทำ ในสิ่งที่ฉันควรทำ ในสิ่งที่ฉันต้องทำ แล้วไม่มีอะไรหยุดเราได้ แค่นั้นเอง
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
‘บิ๊กโจ๊ก’ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ตำแหน่งใหญ่ขณะอายุน้อย บารมีมาก เส้นทางสีกากีติดไฮสปีด
15 ก.ย. 2566
3487
ถอดรหัส ‘Naatu Naatu’ เพลงประกอบหนังอินเดียฉากร้อง-เต้นใน RRR ได้ออสการ์-Golden Globes
13 มี.ค. 2566
6940
‘เอมิลิโอ เฟอร์นันเดส’ ชายผู้เป็นต้นแบบของตุ๊กตารางวัล ‘ออสการ์’
12 มี.ค. 2566
818
แท็กที่เกี่ยวข้อง
ThePeople
Interview
คุณยายต้อยแมวตระกูลไข่
ทาสแมว