19 มี.ค. 2563 | 16:48 น.
ย้อนกลับไปในบ่ายวันหนึ่งของปี 2014 แซม สมิธ (Sam Smith) นักร้องคนดังกำลังเตรียมตัวให้สัมภาษณ์กับสื่อหลายสำนัก บนชั้นที่ 11 ริมระเบียงของโรงแรมแห่งหนึ่งในกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี สมิธที่ในมือถือกาแฟคาปูชิโนแก้วโปรดยืนครุ่นคิดถึงคำถามที่กำลังจะโดนถาม พร้อมกับทอดสายตาชมวิวทิวทัศน์ของถนนคัวร์เฟอร์สเตนดัมม์อันวุ่นวาย
ตอนนั้นสมิธอยู่ระหว่างเวิลด์ทัวร์อัลบั้มแรกอย่าง In the Lonely Hour และกำลังประสบความสำเร็จอย่างมากในฐานะนักร้องหน้าใหม่ที่มีผลงานฮิตทั่วโลก ไล่ตั้งแต่เพลง ‘Stay with Me’, ’Lay Me Down’ หรือ ’Leave Your Lover’ ย้อนกลับไปในวันที่ทุกคนต้องการจะรู้ที่มาของเขา หนึ่งในคำถามสำคัญที่สมิธต้องตอบสื่อในวันนั้น คือเรื่องราวในอดีตของตนที่ทั้งหวานและขม และมันทำให้เขานึกถึงเรื่องที่เคยถูกบูลลี่ทางเพศตั้งแต่อายุ 11
สมิธเกิดในเขตชนบทของเคมบริดจ์เชอร์ ประเทศอังกฤษ เฟรด พ่อของเขาเป็นพ่อบ้านอดีตคนขับรถตู้ ส่วน เคท แม่ของเขาเป็นนางธนาคาร สมิธโตมาท่ามกลางครอบครัวที่อบอุ่น โดยมีแม่ทำหน้าที่หัวหน้าครอบครัว เขาเริ่มฉายแววเป็นนักร้องครั้งแรกตอนอายุได้ 8 ขวบ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดที่เบาะหลังรถ ขณะที่พ่อและแม่ขับรถไปส่งเขาที่โรงเรียน ปฏิกิริยาของเด็กชายสมิธที่ร้องตามเสียงของวิทนีย์ ฮุสตัน ในเพลง ‘My Love is Your Love’ ทำให้ทั้งคู่ตะลึงกับเสียงที่เต็มไปด้วยอารมณ์ที่ขับออกมาจากลูกชาย ตอนนั้นเฟรดและเคทมั่นใจว่าลูกชายคนนี้มีบางสิ่งที่พิเศษ และเพียงไม่นานพวกเขาก็หาครูสอนร้องเพลงให้สมิธ
“แม่จับผมไปเรียนคอร์สสอนร้องเพลงสัปดาห์ละครั้งกับนักร้องแจ๊สที่ชื่อ โจแอนนา อีเดน ผมยังจำบทเรียนแรกได้อยู่เลย ผมร้องเพลง ‘Come Fly with Me’ ของ แฟรงก์ ซินาตรา กับเพลง ‘Get Happy’ ของ จูดี้ การ์แลนด์ เมื่อพ่อกับแม่ของคุณพูดว่าคุณกำลังไปได้สวยกับสิ่งที่ทำอยู่ คุณมักจะแบบว่า ‘เหรอ ช่างมันเถอะ’ แต่เมื่อครูของคุณพูดว่า ‘เธอมีแววนะเนี่ย’ จริง ๆ ผมไม่เคยได้รับคำชมใด ๆ เลยเพราะผมค่อนข้างธรรมดา แต่สำหรับใครที่ได้ยินเสียงของผม แล้ว “ว้าว” กับสิ่งที่ได้ยิน ผมก็ค่อนข้างรู้สึกดีใจนะ”
[caption id="attachment_20809" align="aligncenter" width="634"] หนุ่มแซม สมิธ วัยเด็กในชุดบัซไลท์เยียร์[/caption]สมิธเผยว่า ก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในฐานะนักร้องของเขา คือการได้รับการสนับสนุนที่จริงจังจากครอบครัว ซึ่งสำหรับเด็กคนหนึ่งที่ฝันอยากเป็นนักร้องแล้วเดินไปบอกพ่อแม่ตัวเองโดยไม่ได้โดนหัวเราะกลับมา นั่นแหละคือสิ่งสำคัญที่แท้จริง
“ตอนอายุ 11 บ้านผมเหมือนเป็นสถาบันศิลปะเลย จะมีคล้าย ๆ บันไดสูง ๆ ที่ขึ้นไปเหมือนส่วนที่เป็นเวที เมื่อไหร่ที่แม่ของผมมีปาร์ตี้กับเพื่อนและเริ่มเมา เธอจะให้ผมขึ้นไปร้องเพลงให้ทุกคนฟังตรงนั้น น่าตลกที่ผมก็ดันทำตามซะด้วย ซึ่งผมชอบนะ ผมอาจจะแบบ ‘ไม่เอาหน่าแม่’ แต่เธอก็ไม่ใช่คนที่ชอบตื๊อเท่าไหร่ คนที่ตื๊อเก่งคือพ่อผม
“ผมคิดว่าแม่ภูมิใจมากที่ลูกร้องเพลงเป็น ผมไม่ได้กลับมาจากโรงเรียนแล้วนั่งเล่น ดูทีวี ทุกวันผมจะไปเปิดเพลงแล้วร้องกับแบ็คกิ้งแทร็ก จนต่อมาผมเริ่มไปร้องที่โรงละครและร้องแบ็คอัพแจ๊สให้ครูของผม ผมเคยไปผับแจ๊สและครูจะให้ผมไปร้องคู่ด้วยในเพลง ‘Feeling Good’”
หลังจากฉายแวว สมิธเริ่มมีผู้จัดการหลายคนมาสนใจอยากป้อนเขาเข้าค่ายต่าง ๆ นับรวมกันก็มากขึ้น 5-6 ราย จนแม่ของเขาต้องใช้เวลาส่วนหนึ่งหมดไปกับการดันลูกชาย เป็นเหตุให้เธอถูกไล่ออกจากงาน ตอนแรกทุกอย่างดูเหมือนจะง่ายสำหรับเขา แต่เมื่อเวลาผ่านไป สมิธก็รับรู้ว่าคำพูดเหล่านั้นของพวกผู้จัดการที่เข้ามาหา ล้วนแต่เป็นคำลวงที่เข้ามาบั่นทอนไฟในตัวเขา ไม่ใช่โอกาสที่เขากำลังมองหา
“ตอนผมอายุ 14 หรือ 15 พวกเขาบอกว่าเดี๋ยวก็ได้เป็นดาราแล้ว มันน่าเศร้านะจริง ๆ แล้วพวกเขาก็บอกผมทำนองว่า เดี๋ยวปีหน้าก็ดังแล้ว ผมก็คิด ‘ดีเลย ผมจะได้ออกจากโรงเรียนตอนอายุ 16’ พวกเขาพูดอะไรเยอะแยะมากมาย จนผมไปโรงเรียนก็ได้แต่คิดว่า ‘ผมจะได้ไปทำสิ่งที่ต้องการในอีกไม่กี่เดือนแล้ว จะได้ร้องเพลงกับคนนั้นคนนี้’
[caption id="attachment_20811" align="aligncenter" width="1080"] (ซ้าย) เฟรด สมิธ (ถัดจากสมิธ) เคท แม่ของเขา[/caption]“แต่มันไม่เคยเป็นจริงเลย ผมเหมือนเป็นคนโง่ ผมยังจำได้ตอนเห็นเลดี้กาก้าครั้งแรก ผมได้เห็นเธอ ได้ฟังเรื่องราวของเธอที่ต้องดิ้นรนอยู่ในนิวยอร์ก และผมก็เริ่มคิดว่านั่นแหละที่ผมควรทำ ผมไม่ขึ้นกับสังกัดหรือผู้จัดการคนไหน ผมย้ายมาลอนดอนและเริ่มเขียนเพลงชื่อว่า ‘Little Sailor’ ในเนื้อเพลงมีท่อนหนึ่งร้องประมาณว่า ‘ผู้จัดการตั้ง 6 คน ทุกคนดูมีความตั้งใจ สัญญาว่าคุณจะได้ทุกอย่าง แต่สุดท้ายไม่เห็นอะไรเลย’ ประมาณนี้ เป็นเพลงสำหรับผมที่บอกกับตัวเองว่า ลองดูอีกสักปี ถ้านายยังผิดหวังหรือยังมีคนมาสัญญาอะไรพร่ำเพรื่อและไม่เกิดขึ้นจริง จงออกเที่ยวและเป็นเด็กอายุ 20 ซะ เพราะชีวิตมันสั้น”
สมิธมองย้อนกลับมาที่ตัวเอง และคิดได้ว่าถ้าเขายังใช้ชีวิตแบบนี้ แล้วโอกาสที่ไหนมันจะเข้ามาหา สุดท้ายในวัย 18 ปี สมิธย้ายไปอยู่ลอนดอนและทำงานในบาร์แห่งหนึ่งย่านเอสเซกซ์ ระหว่างนั้นสมิธก็เริ่มแต่งเพลงไปด้วย จนโชคชะตาฟ้าลิขิตทำให้เขาเจอกับ จิมมี่ เนปส์ นักแต่งเพลง ที่กลายมาเป็นโปรดิวเซอร์คู่บุญของเขาในเวลาต่อมา
ตอนนั้นทั้งคู่เริ่มเขียนเพลงแรกด้วยกันคือ ‘Lay Me Down’ ที่ตอนแรกกะจะให้เป็นเพลงเดบิวต์ของนักร้องหนุ่ม แต่ระหว่างนั้น เนปส์ที่เป็นเพื่อนและรู้จักกันดีกับวงอิเล็กทรอนิกส์ชื่อดังอย่าง Disclosure ก็ได้ชวนสมิธไปร้องในซิงเกิลใหม่ของวงอย่าง ‘Latch’ ซึ่งหลังจากปล่อยออกไปไม่นาน เสียงร้องอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของสมิธก็สร้างปรากฎการณ์ เพลงดังกล่าวขึ้นอันดับหนึ่งทุกชาร์ตบนเกาะอังกฤษ และทำให้ชื่อของ แซม สมิธ กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ท้ายที่สุดเขาก็ทำฝันสำเร็จ ได้เป็นนักร้องเต็มตัว แถมโด่งดังเป็นพลุแตกกับอัลบั้มแรกของตัวเอง ที่การันตีด้วยการกวาดสี่รางวัลใหญ่บนเวทีแกรมมี่ อวอร์ดส ครั้งที่ 57
[caption id="attachment_20812" align="aligncenter" width="1536"] (ซ้าย) จิมมี่ เนปส์ กับสมิธ หลังเพลง 'Writing's on the Wall' คว้ารางวัลออสการ์สาขาเพลงยอดเยี่ยม[/caption]หลังความสำเร็จทั้งหมด สมิธเป็นที่พูดถึงอย่างมากในฐานะนักร้องที่กล้าเปิดเผยตัวว่าเป็นเกย์ เคยมีคนถามเขาว่ากังวลกับความสัมพันธ์ของเขาที่อาจส่งผลต่อชื่อเสียงหรือเป็นที่สนใจของทุกคนหรือไม่ ทั้งหลายทั้งปวง สิ่งที่สมิธตอบกลับมาคือ ความต้องการที่จะเป็นตัวเอง
“แน่นอนว่าผมกังวล แต่ผมเป็นคนที่ค่อนข้างหนักแน่น ผมไม่มีทางเป็นคนแบบที่คนอื่นต้องการ ผมเป็นตัวของผมเอง”
ครั้งหนึ่ง สมิธเคยให้สัมภาษณ์กับ เอลตัน จอห์น ยอดนักร้องคนดัง ว่าแม่ของเขารู้ว่าลูกชายจะโตขึ้นมาเป็นเกย์ตั้งแต่เขายังเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ด้วยซ้ำ แล้วยังเผยต่อว่า เขารู้สึกโชคดีมาก ๆ ที่โตมาในครอบครัวที่ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น
“ผมมายอมรับว่าตัวเองเป็นเกย์ตอนอายุ 10 ขวบ ตอนนั้นผมเพิ่งจบประถมและกำลังจะขึ้นมัธยม และบอกกับเพื่อนสนิทตอนอายุ 9-10 ขวบ ผมมั่นใจในตัวเองมากว่าผมเป็นเกย์ ตอนที่ผมบอกแม่ แม่บอกผมว่าเธอรู้ตั้งแต่ผมอายุ 3 ขวบแล้ว ส่วนพ่อก็ถามว่าผมแน่ใจจริง ๆ ใช่ไหม และผมก็แน่ใจมาก ถึงจะอายุแค่นั้น และพวกเขาก็สนับสนุนผมอย่างน่าอัศจรรย์”
นักร้องหนุ่มออกมาแกรนด์โอเพนนิงว่าเป็นเกย์ตอนอายุ 11 ปี ซึ่งเขาเคยกล่าวหลังคว้ารางวัลบริท อวอร์ดส ว่า ในวัยเด็กเขาต้องทนทุกข์กับการโดนบูลลี่จากพวกเกลียดคนรักร่วมเพศ ถึงขั้นโดนตามด่าตามข้างถนนระหว่างอยู่กับเพื่อนหรือคนในครอบครัว ซึ่งตอนนั้นการหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า ก็กลายเป็นจุดอ่อนที่คนเหล่านั้นใช้เล่นงานเขาอย่างหนัก
“ช่วงเวลาที่ยากลำบากของผมที่สุดคือตอน ม.ต้น ตอนที่ผมยังไม่เปิดตัวว่าเป็นเกย์ มีพวกกลุ่มเด็กผู้ชายคนละโรงเรียนชอบตะโกนว่าผม แซวผม เวลาผมเดินจากบ้านไปสถานีรถไฟ พวกเขาชอบตะโกนว่า ‘อีตุ๊ด’ อะไรแบบนี้ตลอดเวลา แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ผมอับอายมากที่สุด เข้าใจได้แหละว่าคนพวกนี้บางทีก็โง่ ไม่ได้รับการศึกษาที่ดี แต่ผมหัวเสียมากถ้าผมอยู่กับเพื่อน ๆ ผมสงสัยว่าพวกเขาจะอายไหมนะที่ต้องเดินกับผม เพราะคนพวกนั้นสนุกกับการกลั่นแกล้ง ทำให้คนเจ็บช้ำน้ำใจ ผมเกลียดความจริงที่ว่าเพื่อนผมต้องมาได้ยินอะไรแบบนั้น
“ที่จริงแล้วการปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นเกย์ทำให้ผมถูกแกล้ง พวกเขาถามผมตลอดเวลา ‘คุณเป็นเกย์หรือเปล่า’ พอผมตอบว่า ‘ไม่ใช่’ พวกเขาก็ยิ่งจี้เข้าไปอีก ผมมาเปิดเผยตอนอายุ 11 พวกที่ชอบบูลลี่เลยหุบปากไปได้เยอะ ผมเลยได้เพื่อนผู้หญิงนิสัยดี ๆ และได้ร้องเพลง”
สมิธยอมรับว่าช่วงที่อยู่ลอนดอน พ่อของเขากังวลมากที่ลูกจะโดนกลั่นแกล้งเพราะความเป็นเกย์ “ผมเห็นเด็กหลายคนโดนแกล้ง และนั่นทำให้ผมประหม่า ยิ่งตอนอายุ 16-17 ปี ผมแต่งหน้าและแต่งตัวแปลกจากคนอื่น พ่อผมไม่มีปัญหากับเรื่องพวกนั้น เขาแค่เป็นห่วงผม”
[caption id="attachment_20815" align="aligncenter" width="1024"] เฟรดและแซม สมิธ[/caption]ในลอนดอนปี 2013-2014 เคยมีรายงานจำนวนคนถูกทำร้ายร่างกายจากคนที่เกลียดรักร่วมเพศมากถึง 11,400 คดี ซึ่งนักร้องหนุ่มก็เคยตกเป็นหนึ่งในรายชื่อเหล่านั้นมาก่อน
“ตอนที่ผมย้ายไปลอนดอน ผมเคยโดนต่อยที่คอระหว่างกลับบ้านหลังเลิกงาน เห็นได้ชัดว่ามันเป็นการกระทำของพวกเหยียดคนรักร่วมเพศ ตอนนั้นผมคุยโทรศัพท์ค่อนข้างเสียงดัง แถมหูฟังยังเป็นสีชมพูอีกต่างหาก ทุกอย่างเด่นชัดมากว่าผมเป็นเกย์”
ตั้งแต่เด็กจนโต สมิธเป็นหนุ่มเจ้าเนื้อมาเสมอ เขาชื่นชอบการกินและใช้ชีวิตแบบนี้ ซึ่งนั่นคือความสุขที่เขามีต่อเรือนร่างตัวเอง ส่วนหนึ่งของการเป็นป๊อปสตาร์คือการได้เปิดเผยตัวตน แต่ก็มักจะมาพร้อมกับคำวิพากษ์วิจารณ์มากมาย เพียงเพราะพวกเขามีชื่อเสียงโด่งดัง โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับรูปร่าง และนับตั้งแต่อัลบั้มชุดที่ 2 The Thrill of It All สมิธที่ผอมลงหลายสิบปอนด์จากเมื่อก่อน เผยว่าตนก็เคยโดนบูลลี่เรื่องนี้เหมือนกัน
“ผมเคยโพสต์รูปลงอินสตาแกรม และมีคนมาแสดงความคิดเห็นว่า ‘เขานี่อ้วนเอาอ้วนเอานะ’ นั่นทำให้ผมงงมาก เข้าใจเลยว่าบางทีทำไมคนถึงโมโห แน่นอนผมแคร์ว่าผมจะดูเป็นยังไง ผมเคยเป็นเด็กตัวใหญ่ และน้ำหนักเป็นสิ่งที่ผมกังวลและอ่อนไหวกับมัน แต่ถึงที่สุดผมก็ไม่แคร์ ผมแค่มีรูปร่างแบบที่ดีที่สุดในแบบของตัวเอง แบบที่ผมมั่นใจกับมัน ผมเคยโดนพูดแย่ ๆ และทำร้ายจิตใจใส่มาเยอะแล้วในชีวิตนี้ เพราะงั้นผมเลยเหมือนมีภูมิคุ้มกันกับอะไรพวกนี้แล้วแหละ”
นักร้องหนุ่มเจ้าของเพลง ‘Too Good at Goodbyes’ ไม่เคยกลัวคนประเภทเดียวกันเข้ามาบูลลี่ว่า “อีตุ๊ด” เพราะเขาคงตอบกลับไปว่า “มึงสิอีตุ๊ด” เขาเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีเรื่องนี้ และไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าจะมีเกย์คนไหนมาว่าเกย์ด้วยกันได้ แต่เคยมีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น และเปลี่ยนความคิดของเขาเรื่องนี้ไปตลอดกาล
“ตอนผมอายุ 17 ผมตัดสินใจไปคลับแห่งหนึ่งย่านโซโห ในลอนดอน วันนั้นผมแต่งหน้าพร้อมชุดสีสันฉูดฉาดจัดเต็ม ผมจำได้ว่าพอเดินเข้าไปมีเกย์คนหนึ่งรีบเดินไปหาเพื่อนเขา และพูดถึงผมด้วยข้อความน่ารังเกียจ ตอนนั้นโลกทั้งใบของผมแทบพัง และผมก็รู้สึกเหงาจริง ๆ ผมรู้ว่ามันต้องใช้เวลานานกว่าจะได้รับการยอมรับ ในสังคมเกย์เองก็มีพวกเหยียดเกย์ด้วยกันเยอะ มีพวกที่เป็นโรคไม่พอใจรูปร่างของตัวเอง และถ้าคุณมีรูปร่างไม่ดี ไม่ผอมและฟิต มันจะดูแย่มากเลย”
สมิธยอมรับว่า การมีชื่อเสียงทำให้เขากลายเป็นกระบอกเสียงสำคัญให้กับเกย์ทุกคนที่ยังไม่กล้าจะเปิดเผยตัวเอง
“ด้วยการเป็นนักร้อง ผมสามารถพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้มากขึ้น เมื่อเทียบกับหลายปีก่อนที่ไม่ต่างจากพูดอะไรไปแล้วเหมือนปลิวหายไปในกลีบเมฆ แต่ตอนนี้เพลงผมมียอดขายมากแล้ว เรียกได้ว่าผมมีปากมีเสียงมากขึ้น
“เอลเลน ดีเจเนอเรส (พิธีกรชื่อดัง) เคยพูดกับผมว่า การที่ผมเปิดตัวว่าเป็นเกย์ หรือสิ่งที่ผมทำอยู่ทุกวันนี้คือเรื่องที่สำคัญ สำหรับเด็กที่ยังไม่กล้าจะเปิดตัว หรือกำลังรู้สึกอยากฆ่าตัวตายเพราะเรื่องนี้ เด็กเหล่านั้นจะมองมาที่ผมและพูดว่า ‘ขนาดชายคนนี้ยังออกมายอมรับตัวเองเลย ดังนั้นมันก็โอเคนิ ฉันอยากจะเป็นเหมือนเขา’ นี่แหละคือเหตุผลว่าทำไมเรื่องนี้ถึงสำคัญ”
[caption id="attachment_20814" align="aligncenter" width="1536"] สมิธ กับสี่รางวัลแกรมมี่ ครั้งที่ 57[/caption]ปัจจุบัน สมิธมักจะชอบถ่ายรูปตัวเองกับเสื้อผ้าน้อยชิ้น พร้อมกับโพสต์ท่าสาว ๆ ลงบนสื่อออนไลน์จนกลายเป็นกระแสบ่อยครั้ง เขายอมรับว่าการถูกโฟกัสว่าเป็นนักร้องเพศที่สาม ไม่ใช่สิ่งเดียวที่เขาอยากให้คนพูดถึงเกี่ยวกับเขา
“ช่วงเวลาอันสั้นที่ผมอยู่ในโลกนี้ ผมมองไปเห็นแต่กล่องเต็มไปหมด คนใส่ของลงไปในกล่อง มันง่ายที่จะหาข้อมูล คนบอกว่าผมคืออเดล (นักร้อง) อีกคน ทำไมเพศของผมถึงเป็นที่พูดถึงล่ะ ผมร้องเพลง ได้แสดง ได้โชว์เพลงของผม นั่นสิเป็นสิ่งที่คนควรพูดถึง ถ้าเมื่อไหร่ที่ผมพูดถึงสิ่งนั้น จำคำผมไว้เลยนะ คุณควรให้ความสำคัญกับมัน
“ผมให้ทางผ่านคุณเข้ามาในชีวิตส่วนตัวผมแล้ว แต่ผมเป็นศิลปิน การพูดถึงมัน (เรื่องเพศ) ไม่ใช่แนวของผม ไม่ใช่ศิลปะ มันแค่การแลกเปลี่ยนไอเดียกัน แบบที่มนุษย์ทำกัน มันไม่ควรเป็นประเด็น แต่มันก็เป็นประเด็นเสมอ”
แม้กำลังจะมีผลงานเพลงชุดที่ 3 แต่เมื่อถูกถามว่าเห็นตัวเองอย่างไรในอีก 10 ปีข้างหน้า สิ่งที่นักร้องหนุ่มตอบกลับมาไม่ใช่ความต้องการที่จะต่อสู้เพื่อให้ได้รับการยอมรับ หรือแม้กระทั่งการกวาดรางวัลบนเวที คำตอบของคำถามของเขาคือการได้ใช้ชีวิตของตัวเอง
“ผมอยากจะเติบโตไปอีกขั้น มันอาจฟังดูแปลก ผมอยากจะปล่อยวางสิ่งต่าง ๆ ลงบ้างและใช้ชีวิตให้สนุกกว่านี้อีกหน่อย แต่ผมก็อยากจะเป็นคนฉลาด ผมอยากเห็นโลกที่กว้างใหญ่ อยากจะเต็มที่กับทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่ผมกิน ทุก ๆ สถานที่ที่ได้ไป และคนที่ผมได้จูบ”
ที่มา:https://www.biography.com/musician/sam-smith
https://www.thefader.com/2014/05/28/cover-story-sam-smith-opens-up-about-life-and-love
https://www.nytimes.com/2017/11/01/arts/music/05sam-smith-new-album-the-thrill-of-it-all.html
http://www.mtv.com/news/2099728/sam-smith-gay-bully-attack/
https://www.huffpost.com/entry/sam-smith-gay-bullying_n_6833662