พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ: สงฆ์ กับโควิด-19 เมื่อโรคภัยไม่ใช่เรื่องเล่น จงตระหนักแต่อย่าตระหนก
“ตอนนี้คนมาวัดน้อยมากเลยโยม เงียบมาก ปกติถ้าเป็นวันเสาร์อาทิตย์ คนก็จะต้องเข้าวัดทำบุญใช่ไหม แต่ปรากฏว่าแทบไม่มีเลย ถ้าเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์จาก 100 ตอนนี้ก็คงเหลือประมาณ 10 ได้ที่คนยังมาวัดอยู่” คำตอบจาก พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ ภิกษุจากวัดสร้อยทอง ดูเหมือนจะอธิบายสถานการณ์ที่เหล่าภิกษุสามเณรกำลังเผชิญท่ามกลางสถานการณ์โรคระบาดในเวลานี้ได้เป็นอย่างดี
เพราะ “วัด” ซึ่งเคยเป็นสถานที่ชุมนุมของเหล่าผู้มีจิตศรัทธาจำนวนมาก คงหนีไม่พ้นที่จะต้องกลายเป็นพื้นที่รกร้างว่างเปล่าในเวลาที่รัฐประกาศให้ประชาชนอยู่แต่ในบ้าน และหลีกเลี่ยงพื้นที่สาธารณะที่อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งวัดก็นับเป็นหนึ่งในสถานที่เสี่ยงด้วยเช่นกัน กระทั่งมหาเถรสมาคมได้ขอความร่วมมือให้ทุกวัดช่วยยกเลิกการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ที่อาจเป็นการรวมหมู่ของผู้คนในเวลานี้ไปโดยสิ้นเชิง
“ที่จริงก็เพิ่งมีประกาศมาไม่นานนี้เองว่าให้งดทำกิจกรรมอะไรต่าง ๆ ยกเว้นงานศพว่างั้นเถอะ ที่อาจเป็นเรื่องห้ามไม่ได้ แต่ถ้าเป็นการทำบุญในวันพระ ฟังเทศน์ ฟังธรรมอะไรอย่างนี้ ก็ให้งดหมด” เมื่อถูกถามว่าช่วงแรกที่องค์กรสงฆ์ขอความร่วมมือ หลวงพี่หลวงพ่อในวัดรู้สึกตระหนกบ้างไหม พระมหาไพรวัลย์กลับตอบว่า นี่เป็นสิ่งที่ตนและภิกษุจากหลาย ๆ วัดรอให้เกิดขึ้นมานานแล้วต่างหาก “จะว่าปุบปับมันก็คงไม่ใช่ เพราะทางอาตมาเองก็รอคำสั่งนี้มานานแล้ว”
ข้อความจากเพจเฟซบุ๊กของพระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ ก่อนหน้านี้ ระบุว่า สำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ มีการขอความร่วมมือให้วัดงดจัดกิจกรรมบางอย่าง เช่น การบวชเณรภาคฤดูร้อน ส่วนจุฬาราชมนตรีก็ออกประกาศให้ศาสนิกชนงดการไปละหมาดที่มัสยิด แล้วละหมาดที่บ้านแทน แต่กลับยังไม่มีประกาศจากคณะสงฆ์เสียทีว่า เมื่อไหร่จะมีหลักปฎิบัติร่วมกัน เพื่อให้พระเณรนำไปประพฤติเวลาที่จะต้องอยู่ในคณะสงฆ์หรือที่ชุมชน พระมหาไพรวัลย์อธิบายถึงสถานการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ภิกษุสามเณรก็ตกอยู่ภายใต้ความวิตกกังวลจากความไม่ชัดเจนนี้อยู่ช่วงเวลาหนึ่ง
“ไม่ว่าจะพระเณรหรือญาติโยม ก็ติดตามข่าวโรคระบาดกันทั้งนั้น อันที่จริงเราก็มีการเซฟตัวเองเท่าที่เราทำได้ เช่น ถ้าบิณฑบาตก็จะสวมหน้ากากอนามัย กลับมาวัดก็มีการทำความสะอาดล้างไม้ล้างมือกันให้บ่อยขึ้น ก็ทำตามที่แพทย์เขาแนะนำมานั่นล่ะ ว่าเราต้องทำแบบไหน อาตมาเองยังโชคดีที่มีญาติโยมเขาเอาหน้ากากอนามัยกับเจลล้างมือมาถวายบ้าง แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไร ก็ยังต้องประหยัดไว้ แต่ผลกระทบที่ทางวัดโดน อย่างไรก็ยังไม่เท่าที่คนข้างนอกโดนหรอก”
พระมหาไพรวัลย์อธิบายถึงสาเหตุที่มองว่าภิกษุสามเณรอาจยังโชคดีกว่าคนทั่วไปว่า อย่างน้อยความเป็นอยู่ภายในวัดก็ยังไม่ได้มีภาระด้านค่าใช้จ่ายที่ประชาชนหลายคนต้องแบกรับ ช่วงเวลาที่รัฐบาลประกาศให้ทุกคนปิดบ้านช่องอยู่กันเฉย ๆ ชาวบ้านเหล่านี้ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เพราะมีปัญหาปากท้องซึ่งยังไม่มีใครมาช่วยแก้รออยู่แล้ว นี่จึงเป็นเหตุให้ภิกษุจากวัดสร้อยทองรูปนี้มีความเห็นว่า เมื่อเทียบกันแล้ว ฝั่งพระเณรยังไม่น่าเห็นใจเท่าเหล่าญาติโยมที่ยังต้องเสี่ยงออกมาหาเช้ากินค่ำในเวลานี้อยู่
“วันก่อนอาตมาออกไปธุระที่ท่าพระจันทร์ ก็ยังเห็นหลายคนออกมาเปิดร้านขายของอยู่ พอได้พูดคุยเขาก็บอกว่าอย่างไรเขาก็ต้องขาย เพราะถึงจะไม่ค่อยมีคนซื้อ แต่ถ้าไม่ขายก็จะไม่มีรายได้เลย น่าเห็นใจมากนะ อย่างตอนอาตมาไปหาซื้อหน้ากากอนามัยที่สำเพ็ง คนแทบไม่มีเลย แต่ร้านก็ยังต้องเปิด คุยกับแท็กซี่เขาก็ถอนหายใจ เพราะค่างวดที่ต้องจ่ายทุกเดือนก็เลื่อนไม่ได้ อาตมาก็ทำได้แค่เป็นกำลังใจให้ เพราะลำพังตอนอาตมาบิณฑบาต เดินไปตั้งหลายซอย ก็ยังได้กับข้าวมาน้อยเลย”
แม้สังคมกำลังตกที่นั่งลำบากกันถ้วนหน้า แต่พระมหาไพรวัลย์ยังมองว่า หากคนไทยสามารถผ่านพ้นเรื่องราวเหล่านี้ไปได้ เมื่อสถานการณ์หลาย ๆ อย่างกลับมาอยู่ในสภาวะปกติ สิ่งเหล่านี้จะทำให้หลายคนมีจิตใจที่เข้มแข็ง หรือแม้แต่ในเวลานี้หลายคนก็ได้แสดงออกถึงความเข้มแข็งของตัวเองออกมาแล้ว
“อาตมาว่าโยมหลายคนเขามีภูมิต้านทานทางใจในระดับหนึ่งอยู่แล้ว โดยเฉพาะคนที่ต้องทำมาหากิน เพราะที่ผ่านมาเขาก็สู้อย่างเต็มที่ ไม่อย่างนั้นคงไม่ออกมาขายของในขณะที่รัฐบาลประกาศแบบนี้หรอก อาตมามองว่าทุกคนก็ดิ้นรนอย่างเต็มที่ในการที่จะให้ชีวิตอยู่รอดต่อไปได้ อันนี้ล่ะคือความเข้มแข็งอย่างหนึ่งที่ทุกคนมี”
อย่างไรก็ตาม พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ ยังฝากความหวังไปยังเจ้าหน้าที่บ้านเมืองว่า จะสามารถหาทางจัดการกับปัญหาโรคระบาด รวมถึงหาวิธีเยียวยา แก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชนได้โดยเร็ว ทั้งยังย้ำเตือนให้คนไทยทุกคนมีสติในการเสพข่าวสาร พยายามติดตามข่าวในช่องทางที่มีความน่าเชื่อถือ รวมถึงตระหนักถึงความสำคัญในการปฏิบัติตัว เพื่อป้องกันโรคระบาดเอาไว้
“ในส่วนที่เราพอทำได้ อาตมาว่าอะไรที่เราร่วมมือกับภาครัฐได้ก็อยากจะให้ทำ เช่น อยู่บ้านได้ก็อยู่ ถ้าอยู่ไม่ได้ มีความจำเป็นที่ต้องทำมาค้าขาย โยมก็ควรจะป้องกันตัวเอง พยายามเซฟเรื่องความสะอาด ความปลอดภัยไว้ แล้วก็ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ตระหนักแต่ไม่ตระหนกกับภาวะที่มันเป็นอยู่ตอนนี้ หมายถึง ตระหนักว่าเราเห็นโรคเห็นภัย อย่างตอนนี้คือโควิด-19 ว่าไม่ใช่ของเล่น ถ้าติดมาแล้วก็จะนำความทุกข์ ความลำบากมาให้ตัวเรา รวมถึงครอบครัวเราด้วย แต่ก็อย่าไปรู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง เพราะถึงอย่างไรมันก็ไม่ทำให้โรคระบาดหายไปจากโลกนี้ ปฏิบัติตัวให้ดีที่สุดในภาวะนี้ก็พอ”