17 เม.ย. 2563 | 17:23 น.
ท่ามกลางผลกระทบจากโรคโควิด-19 ทำให้หลายสโมสรฟุตบอลในพรีเมียร์ลีกต่างต้องออกนโยบายรัดเข็มขัดและหักเงินเดือนกับพนักงานในสโมสร รวมถึงเหล่านักเตะของทีม โดยเฉพาะทีมปืนใหญ่อาร์เซนอล ที่กำลังมีประเด็นถกเถียงกับนักเตะ หลังนักเตะค่าตัวแพงหลายคนปฏิเสธนโยบายขอลดค่าจ้าง 12.5% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สโมสรหวังจะช่วยเซฟรายจ่ายจากช่วงวิกฤตได้มากถึง 25 ล้านปอนด์ หรือตีเป็นเงินไทยก็ประมาณ 1,000 ล้านบาท
ปัจจุบันนักเตะทีมชุดใหญ่ของเดอะกันเนอร์ราว ๆ 9 คน รับค่าจ้างมากถึงหลักแสนปอนด์ต่อสัปดาห์ โดยเฉพาะนักเตะตัวท็อปอย่าง เมซุต โอซิล หรือ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง ที่มีมูลค่าสัญญาต่อปีประมาณ 400-700 ล้านปอนด์ ถ้าว่ากันตามชื่อเสียงของสโมสร ที่หลายคนแอบเมาธ์ว่าเป็นทีม “ขี้งก” คงไม่แปลกที่นักเตะจะออกมาต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
ขณะเดียวกันนั้น อีกฟากหนึ่งทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของอังกฤษ แฟนฟุตบอลคงเคยได้ยินเรื่องราวความขี้งกของ “เฮียตือ” ไมค์ แอชลีย์ เจ้าของทีมนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด เป็นอย่างดี มหาเศรษฐีอันดับที่ 20 ของเกาะอังกฤษ มักจะโดนสาวกทูนอาร์มี สวดเรื่องความขี้ตืดเสมอ เขามักจะไม่ยอมควักเงินกับอะไรที่ตัวเองจะไม่ได้ประโยชน์กลับมา ซึ่งต่างกับนักเตะดาวรุ่งของทีมอย่าง แมทตี้ ลองสตาฟฟ์ (Matty Longstaff) ที่แม้จะมีรายได้หลักหมื่น แต่เขากลับเลือกจะควักเงินอันน้อยนิดของตัวเองให้กับผู้อื่น
ปัจจุบัน แมทตี้ ในวัย 20 ปี รับค่าเหนื่อยจากทีมสาลิกาดงอยู่ที่ 850 ปอนด์ต่อสัปดาห์หรือเป็นเงินไทยประมาณ 34,662 บาท (เงินเดือนน้อยกว่า ส.ส. กับผู้นำบางคนอีกนะเนี่ย...) แม้สัญญาฉบับปัจจุบันของแมทตี้ที่เขาได้รับสมัยเป็นนักเตะระดับเยาวชน อาจจะเป็นตัวเลขที่น้อยมากเมื่อเทียบกับนักเตะพรีเมียร์ลีกคนอื่น ๆ ที่รับกันเฉลี่ยไม่ต่ำกว่าหมื่นปอนด์ต่อสัปดาห์ แต่ท่ามกลางความยากลำบากในช่วงโควิด-19 แมทตี้กลับมอบเงินค่าจ้าง 30% ของเขา (10,398 บาท) ให้กับกองทุนของระบบบริการสุขภาพของประเทศอังกฤษ หรือ NHS (National Health Service) เพื่อเป็นทุนต่อสู้กับโรคระบาดนี้
พรีเมียร์ลีกถือเป็นเวทีแห่งความฝันของนักฟุตบอลทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเตะเยาวชนทั่วหนแห่งในเกาะอังกฤษ การได้จารึกชื่อของตัวเองบนเวทีแห่งนี้เป็นอะไรที่จะเปลี่ยนชีวิตพวกเขาไปตลอดกาล ย้อนกลับไปในเกมพรีเมียร์ลีกเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ปี 2019 ที่สนามเซนต์เจมส์ พาร์ค นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด เจ้าถิ่นเปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของยอดทีมแห่งแคว้นแลงคาเชียร์อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก่อนเกมเริ่ม ทีมสาลิกาดงมีปัญหาเรื่องขาดแคลนผู้เล่นในแดนกลาง ทำให้ สตีฟ บรูซ ผู้จัดการทีมต้องดัน แมทตี้ ลองสตาฟฟ์ นักเตะจากทีมเยาวชนเพื่อขึ้นมาเล่นคู่กับ ฌอน พี่ชายของเขา
การได้เล่นในพรีเมียร์เกมแรก แถมต้องเจอกับทีมอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มีผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดคนหนึ่งในลีกยืนป้องกันอยู่หน้าประตู คงเป็นอะไรที่ทำให้หลายคนออกอาการขาสั่นหรือเกร็งตลอดเกม ก่อนเริ่มเกม แมทตี้อาจจะเป็นเพียงแค่นักเตะดาวรุ่งน้องชายของ ฌอน ลองสตาฟฟ์ แต่เมื่อ 90 นาทีผ่านไป การเล่นเกินวัยและลูกยิงบนเส้น 23 หลาหน้ากรอบเขตโทษ บริเวณสแตนด์ฝั่งใต้ “กัลโลว์เกตต์ เอนด์” ของเขาในวันนั้น ทำให้ชื่อของ แมทตี้ ลองสตาฟฟ์ กลายเป็นที่รู้จักในฐานะฮีโร่ผู้ปลิดชีพปีศาจแดง
“ผมคิดว่าการเล่นคู่กับฌอนเป็นอะไรที่สุดยอดมาก ๆ เราเคยใช้สนามหญ้าหลังบ้านเพื่อเตะฟุตบอล เพื่อโตมาอยู่ในทีมเดียวกัน และเพื่อเอาชนะทีมที่ยอดเยี่ยมอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตอนนี้ผมบอกได้เลยว่าเหมือนฝันที่เป็นจริง” แมทตี้ เผยความรู้สึกหลังเกมที่เอาชนะทีมปีศาจแดงไปได้ 1-0
เมื่อคุณได้ยินเรื่องราว จุดมุ่งหมาย ฝีเท้า หรือการเดบิวต์อันน่าทึ่งที่อยู่บนหน้าหนึ่งของทุกสิ่งพิมพ์ในวันต่อมา จงอย่าลืมว่าทุกอย่างเกิดขึ้นเพียง 90 นาทีเท่านั้น เช้าวันรุ่งขึ้นช่วงตื่นนอน แมทตี้แสดงถึงความหมดอาลัยตายอยาก เขายังคงอยู่ที่บ้าน ที่พี่ชายของเขาจะกลับมาอยู่แค่ช่วงหน้าร้อนเท่านั้น แม่ของเขาสังเกตเห็นทันทีว่า เช้านี้เขาเงียบกว่าปกติ มันแปลกเกินไปสำหรับเด็กอายุ 19 ที่เพิ่งยิงประตูแรกได้ในพรีเมียร์ลีก
“ไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวเขาก็โอเค” ฌอนบอกกับแม่ “ผมตื่นมาตอนเช้าและพยายามจะนอนต่อ แต่ในหัวผมมันมีแต่การได้ลงเล่น ได้เล่นในพรีเมียร์ลีก ได้แข่งกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มันเหมือนเช้าวันคริสต์มาสเลย อาจจะฟังดูตลกนะ แต่สิ่งที่ทำให้ผมสงบลงได้คือการได้ใส่ชุดบอลออกไปเล่นส่งบอลกับพี่” แมทตี้บรรยายความรู้สึกในเช้าวันต่อมา
[caption id="attachment_21965" align="aligncenter" width="1536"] แมทตี้ และฌอน ลองสตาฟฟ์[/caption]แมทตี้ก็เหมือนกับเด็กทั่วไปบนเกาะอังกฤษ เมื่อถูกถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร? เขามักจะตอบว่า “ฝันของผมคือการเป็นนักฟุตบอลลงเล่นให้นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด” แต่ฝันที่กว่าจะเป็นจริงของแมทตี้ ล้วนแต่ต้องอาศัยใจของนักสู้ไม่น้อย แมทตี้เล่าย้อนว่าเขาเกือบเลิกเล่นฟุตบอลเพราะถูกสโมสรที่รักปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่าเขา “ตัวเล็กเกินไป”
“มันเป็นความโหดที่สุดที่คุณต้องเจอตอนยังเป็นเด็ก ผมเชียร์นิวคาสเซิลตั้งแต่ยังเล็ก ผมยังจำได้ว่ามิดเดิลสโบรห์และซันเดอร์แลนด์ คอยมาทาบทามผมทุกปีให้เข้าทีม แต่พ่อผมก็ตอบไปว่า ‘เขาอยากไปนิวคาสเซิลน่ะ’ สุดท้ายผมก็ได้โอกาสนั้น และเข้าทดสอบฝีเท้าประมาณ 4 อาทิตย์ แต่วันหนึ่งพวกเขาก็ลากผมกับเด็กอีกคนหนึ่งออกมาและบอกว่า ‘ขอบคุณที่มานะ แต่เราคงไม่เก็บเธอไว้’” นั่นเป็นช่วงเวลาที่เด็กชายคนหนึ่งจากนอร์ธชีลด์สไม่อาจฝืนกลั้นน้ำตาได้
“ผมเดินร้องไห้ออกมาเลยตอนนั้น พอมองกลับไป เขาคงไล่ผมออกมาเพื่อให้ผมมีวันนี้ มันรู้สึกแย่มากเวลามองกลับไป และทั้งหมดที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น มันล้วนแต่มาจากช่วงเวลานั้นแหละ มันเหมือนเป็นการจุดไฟในตัวผม”
ตอนที่เขาถูกทำให้เชื่อว่าควรเลิกเล่นฟุตบอล แมทตี้พยายามดิ้นรนเพื่ออนาคต และหันไปเอาดีกับอีกหนึ่งกีฬาที่เขามีพรสวรรค์อย่าง คริกเก็ต แต่สุดท้ายความพยายามที่ว่าก็ไม่เกิดขึ้น แมทตี้เล่าย้อนว่าต้องขอบคุณพ่อของเขา ที่เป็นคนเดินเข้ามาเขกหัวเพื่อเตือนสติ
“ตอนที่ผมอายุต่ำกว่า 13 ขวบ ช่วงนั้นฟุตบอลก็ยังไปได้ไม่ดีเท่าไหร่ แต่สำหรับคริกเก็ตแล้วผมทำได้ดีมาก มีแต่คนบอกว่าเป็นแชมป์ได้เลยนะ พอผมบอกพ่อว่าจะไปเอาดีด้านคริกเก็ตแทน เขาก็เขกหัวผมทีหนึ่ง และเหมือนจะพูดเป็นกลาย ๆ ว่า ‘นั่นไม่ใช่โอกาสที่จะเกิดขึ้นสักหน่อย’”
แมทตี้เล่าต่อว่า พ่อและแม่ของเขา เดวิด และ มิเชลล์ เคยกักบริเวณเขากับฌอน เพราะเรื่องเล็ก ๆ มาแล้ว แมทตี้เผยว่าการเลี้ยงดูแบบนี้ทำให้เขามีภูมิคุ้มกันภายใต้ความกดดันจากผู้จัดการทีม “พวกเขาค่อนข้างเข้มเลยแหละ ตอนเราไปโรงเรียน ถ้าเราทำอะไรผิด พ่อกับแม่จะไม่แฮปปี้แล้ว การเลี้ยงดูของพวกเขา ไม่ใช่แค่พ่อและแม่ แต่มันเหมือนรวมปู่ย่าตายาย และอื่น ๆ เข้าด้วยกัน พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราโตมาเป็นแบบนี้ และพวกเขาค่อนข้างมีระเบียบวินัยกับพวกเรา สิ่งเหล่านี้เป็นประสบการณ์ให้ผมภายใต้ความกดดันในสโมสรใหญ่”
หลังโดนเมินไม่นาน แมทตี้ต้องกลับไปที่สนามซ้อมของทีมบ่อยครั้ง เพื่อดูฌอนลงแข่ง เมื่อคุณมองเห็นความสำเร็จของคนใกล้ตัว โดยเฉพาะพี่ชายที่เริ่มเล่นฟุตบอลมาพร้อมกับคุณ มันอาจจะเป็นความกดดันที่ยากจะก้าวผ่าน และยิ่งในวันที่มีข่าวว่ายักษ์ใหญ่อย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สนใจพี่ชายของตัวเอง ลองสตาฟฟ์ผู้น้องที่มองเห็นภาพพี่ชายกำลังไต่ขึ้นไปเป็นนักบอลที่ประสบความสำเร็จ เล่าย้อนว่า กำลังใจจากครอบครัวคือสิ่งที่ทำให้เขาผ่านวันนั้นจนมีวันนี้
“ฌอนมักจะยอดเยี่ยมเสมอ ผมต้องกลับมาดูเขาเล่นทุกคืน หรือแม้กระทั่งวันซ้อม ตอนนั้นผมจะมีลูกบอลเล็ก ๆ ไว้เล่นบริเวณริมเส้นสนาม และจินตนาการว่าตัวเองเคยเล่นให้นิวคาสเซิล เรารักกันแน่นอนอยู่แล้ว ก็เหมือนพี่น้องหรือครอบครัวทั่วไป เราต่างรักกันและกัน ถึงเราจะมีทีมที่คอยปลอบกันเวลาเราล้ม แต่ท้ายที่สุดตอนเวลาที่ยากลำบาก ครอบครัวนี่แหละที่จะอยู่ข้างเรามากที่สุด เราพยายามจะทำอย่างนั้น เราโชคดีที่มาถึงตอนนี้เราก็ประสบความสำเร็จพอสมควร แต่ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่เราเจอเรื่องที่ดีหรือร้าย เราจะพยายามอยู่เพื่อเป็นกำลังใจซึ่งกันและกัน”
[caption id="attachment_21979" align="aligncenter" width="917"] แมทตี้ และฌอน[/caption]ย้อนกลับไปในตอนนั้นแมทตี้ยังคงได้รับความสนใจจากซันเดอร์แลนด์และมิดเดิลสโบรห์แต่สุดท้ายเขาตัดสินใจอยู่สู้ต่อที่นิวคาสเซิล
“ผมจำได้ว่าซันเดอร์แลนด์ถามผมสามสี่ครั้งเพื่อไปเล่นให้พวกเขา เช่นเดียวกับมิดเดิลสโบรห์ แต่สุดท้ายผมก็ตอบปฏิเสธไป ผมตอบกลับไปว่า ‘เลิกถามได้แล้ว’ ผมต้องการจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้กลับไปที่นิวคาสเซิล เพราะที่นั่นเป็นสโมสรเดียวที่ผมอยากจะลงเล่น”
สองปีจากนั้น แมทตี้ตั้งตัวได้อีกครั้ง และกลับไปที่ดาร์สลีย์ พาร์ค สนามซ้อมของนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด เพื่อเซ็นสัญญากับทีมเยาวชนชุดต่ำกว่า 13 ปี “ผมกลับมาและเซ็นสัญญาทีม มันค่อนข้างเร็ว รอบนี้ผมมีไฟและตั้งใจอย่างมาก ผมไม่อยากถูกปฏิเสธอีกครั้ง" แมทตี้ เล่าย้อนพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า
หลายปีต่อมาเขาก็ได้รับโอกาสลงเล่นกับทีมชุดใหญ่ และทำฝันของตัวเองให้เป็นจริงได้สำเร็จ ในวันนี้ แมทตี้ ลองสตาฟฟ์ มองย้อนกลับไปถึงค่ำคืนที่เขาตะบันลูกผ่านมือดาบิด เด เคอา ก่อนเกมจะเริ่มเขาเห็นฌอนมองมาที่เขา แมทตี้เล่าว่าเขามองกลับไปในดวงตาคู่นั้น สิ่งที่เขาเห็นคือความฝันที่เป็นจริงของพี่น้องสองคนจากนอร์ธชีลด์ส ที่เริ่มต้นข้าง ๆ กัน และวันนี้ได้เล่นข้าง ๆ กัน