24 เม.ย. 2563 | 19:11 น.
“เรื่องนี้มันเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานเอง” เอ็ดดี้ แวน แฮเลน
ย้อนกลับไปในช่วงหน้าร้อนปี 1982 เอ็ดดี้ แวน แฮเลน (Eddie Van Halen) ยอดนักกีตาร์จากวง Van Halen กำลังนอนชิลล์ ๆ ว่าง ๆ เหงา ๆ อยู่ที่บ้านในแอลเอ หลังเพิ่งเสร็จสิ้นภารกิจทัวร์จากอัลบั้มชุดที่สี่ “Fair Warning” ในวันนั้นเอง แวน แฮเลน ได้รับโทรศัพท์จากชายแปลกหน้าคนหนึ่ง เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้และรับสายนั้น “นั่นใคร?” เสียงปลายสายตอบกลับทันทีว่า “เอ็ดดี้ นี่ควินซีเอง” แวน แฮเลน ถามกลับ “ควินซีไหนฟะ?” ชายคนนั้นจึงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงปกติว่า “ควินซี่ โจนส์” (โปรดิวเซอร์ระดับตำนาน) แวน แฮเลน คิดว่าตัวเองโดนแกล้งแน่ ๆ ด้วยความเป็นร็อกเกอร์ เขาจึงตะคอกชายคนดังกล่าวกลับไปด้วยความหงุดหงิดว่า “เออมึงจะเป็นใครก็ช่าง ไปไกล ๆ กูเลย ไอ้รูตูดเอ๊ย” ก่อนที่นักกีตาร์คนดังจะวางสายและไปนั่งเล่นต่อ โดยหารู้ไม่ว่า คนที่เขาเพิ่งวางสายไปคือ ควินซี โจนส์ ตัวจริงเสียงจริงที่กำลังโทรมาชวนเขาร่วมงานเพลงครั้งประวัติศาสตร์
เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอยู่สี่ครั้ง ก่อนที่ แวน แฮเลน จะเริ่มเอะใจว่า เอิ่ม...หรือคนที่โทรมาจะเป็นควินซี โจนส์ จริง ๆ วะ? พอรู้ตัวอีกที แวน แฮเลน จึงรีบยกหูโทรกลับไปขอโทษโปรดิวเซอร์คนดังทันที “ตอนแรกผมนี่ขึ้นใส่เลยเขาเลยแหละ แบบ ‘ต้องการอะไร ไอ้...!’ แล้วเขาก็แบบ ‘นี่ใช่เอ็ดดี้หรือเปล่า’ ผมเลยบอก ‘ใช่ ต้องการอะไรจากกู’ เขาบอก ‘นี่ควินซีเอง’ ผมเลยสวนไปว่า ‘กูไม่รู้จักใครที่ชื่อควินซีเว้ย’ เขาเลยบอก ‘เพื่อนควินซี โจนส์ ไง’ นั่นแหละเป็นจังหวะที่ผม...ต้องขอโทษเขา”
[caption id="attachment_22203" align="aligncenter" width="812"] เอ็ดดี้ แวน แฮเลน[/caption]ก่อนหน้านั้น ไมเคิล แจ็กสัน และ ควินซี โจนส์ ประสบความสำเร็จอย่างมากกับอัลบั้ม “Off The Wall” แจ็กสันที่โตมากับดนตรีดิสโก้และโซลไม่เคยมีความสนใจในดนตรีหรือเพลงร็อกเลย แต่เมื่อกระแสของดนตรีร็อกแข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้นักร้องเจ้าของฉายาราชาเพลงป๊อปเกิดไอเดียที่อยากจะผสมผสานทั้งสองวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน “ผมอยากจะเขียนเพลงที่ขนาดผมเองก็อยากจะซื้อ และถ้าเพลงแบบที่ผมจะซื้อ เพลงนั้นคือเพลงร็อก... นั่นแหละที่ผมอยากจะทำ ผมอยากให้เด็ก ๆ ได้สนุกกับมัน ไม่ว่าจะเป็นเด็กมัธยมหรือเด็กมหา’ลัย”
เมื่อบวกกับแรงบันดาลใจจากเพลง ‘My Sharona’ ของวง The Knack ก็ทำให้แจ็กสันและโจนส์ เริ่มเขียนเพลงในอัลบั้มใหม่ขึ้นมาอย่าง ‘Beat It’ ซึ่งทั้งคู่มีความเห็นตรงกันว่า คงจะดีไม่น้อยถ้าท่อนโซโลของเพลงจะได้ เอ็ดดี้ แวน แฮเลน มาโซโลให้ ซึ่งนี่คือเหตุผลที่โจนส์โทรหา แวน แฮเลน ในวันนั้น
โจนส์พยายามพูดจูงใจ แวน แฮเลน ว่า นี่จะเป็นเพลงที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ ของไมเคิล แจ็กสัน ก่อนจะอธิบายนักกีตาร์คนดังต่อว่า อัลบั้มนี้ (ที่ตอนนั้นยังไม่มีชื่อ) จะช่วยเซฟอุตสาหกรรมดนตรีได้ยังไง (เป็นช่วงที่ธุรกิจดนตรีโลกกำลังหดตัว) และเขาต้องการนักกีตาร์ระดับตำนานเพื่อมาเล่นโซโลในเพลงนี้
[caption id="attachment_22202" align="aligncenter" width="1286"] ควินซี โจนส์และแจ็กสัน[/caption]“หลังผมขอโทษเขาเสร็จเนี่ย ผมก็ถามเขาว่ามีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่า? เขาบอกว่า ‘เอ็ดดี้ คุณอยากมาอัดเพลงใหม่ของไมเคิล แจ็กสันไหม’ ผมคิดกับตัวเอง “โอเค ‘ABC, 1, 2, 3’ และผมเริ่มคิดว่ามันจะเวิร์คได้ยังไงวะ”
ทีแรก แวน แฮเลน ลังเลที่จะตอบตกลงโจนส์ไป เพราะติดปัญหาใหญ่ที่ว่า ช่วงนั้นวง Van Halen มีกฏเหล็กห้ามสมาชิกในวงไปร่วมงานในโปรเจ็กต์ของศิลปินอื่น หรือหนีไปทำผลงานเดี่ยว แต่โชคดีที่โปรดิวเซอร์คนดังโทรมาชวน แวน แฮเลน ในเวลาที่พอเหมาะพอเจาะพอดี เพราะช่วงนั้นสมาชิกอีกสามคนที่เหลือของ Van Halen ไม่มีใครอยู่แถวนั้นเลยสักคนไล่ตั้งแต่นักร้องนำอย่างเดวิดลีร็อธที่หนีไปเข้าป่าแอมะซอนด้านไมเคิลแอนโธนีมือเบสก็ไปดูขบวนพาเหรดที่ดิสนีย์แลนด์ส่วนพี่ชายของเขาอเล็กซ์ก็ไปเที่ยวแคนาดาพอดี
“ตอนนั้นผมก็แบบ (เจ้าตัวหยักไหล่) ‘ทำไงได้เพื่อน! เดฟ (ลี ร็อธ) นายออกนอกประเทศ ส่วนอัล (อเล็กซ์) นายก็ไม่อยู่แถวนี้’ ผมไม่สามารถโทรหาใครเพื่อขออนุญาตได้เลย” แวน แฮเลน เล่าย้อนความหลังถึงวินาทีสารภาพกับเพื่อน
สุดท้าย แวน แฮเลน ที่กำลังเหงาอยากหาอะไรทำพอดี ใช้เวลาตัดสินใจไม่นานก่อนจะตอบตกลงร่วมงานกับแจ็กสันและโจนส์ พร้อมกับเผยสามเงื่อนไขที่ทั้งคู่ถึงกับต้องร้องว่า #อิหยังวะนั่นคือ
หนึ่ง. งานนี้เขาจะไม่ขอเปิดเผยชื่อของตนในเครดิตเพราะกลัวว่าเพื่อนร่วมวงจะรู้เข้า
สอง. เขาขอไม่รับเงินค่าจ้างจากผลงานนี้ เพราะถือว่าเป็นงานช่วย ๆ กันและเขาทำเพื่อความสนุกขำ ๆ เท่านั้นแต่ก็ทิ้งท้ายว่าโปรดิวเซอร์คนดังต้องเลี้ยงเบียร์เขาแทน
สาม. เขาอยากให้แจ็กสันสอนเขาเต้นบ้าง ถ้าวันไหนว่าง ๆ
“เรื่องราวมันก็เป็นอย่างนั้นแหละ ตอนนั้นจริง ๆ ผมเอาเบียร์มาเองถ้าผมจำไม่ผิดอะนะ (ว่ากันว่าโจนส์หาเบียร์มาให้เขา 6 แพ็คในตอนหลัง) ผมไม่เคยคิดเรื่องเอาชื่อใส่ในเครดิตเลย ผมบอกพวกเขาว่าเครดิตกีตาร์ก็ใส่เป็นเครื่องหมายคำถาม หรือคำว่า แฟรงเกนสไตน์ (ชื่อกีตาร์ของเขา) ก็ได้” แวน แฮเลน ย้อนความหลัง
“จริง ๆ ทีแรกที่เขาโทรมา ผมก็ยังไม่เชื่อ 100 เปอร์เซ็นต์เลยว่ากำลังคุยกับควินซี (โจนส์) อยู่ ผมเลยบอกเขาไปว่า ‘ผมจะบอกอะไรให้นะ ผมจะไปเจอคุณที่สตูดิโอพรุ่งนี้’ ซึ่งพอผมไปที่นั่น ผมก็เจอควินซี, ไมเคิล และเอ็นจิเนียร์ของพวกเขา (บรูซ สวีดีน) กำลังนั่งทำเพลงกันอยู่”
วันต่อมา แวน แฮเลน เดินทางมาถึงสตูดิโอระดับตำนานอย่าง Westlake Audio แถบเวสต์ฮอลลีวูด พร้อมกับเบียร์ในมือ เมื่อโจนส์เริ่มเปิด ‘Beat It’ เวอร์ชันดราฟต์ล่าสุดที่สตีฟ ลูคาเธอร์ (วง Toto) เพิ่งจะอัดรึทึ่มเซคชั่นในส่วนกีตาร์และเบสเสร็จให้เขาฟัง หลังนั่งฟังวนไปไม่นาน แวน แฮเลน ก็ถามโจนส์ไปว่า “ผมขอเปลี่ยนบางท่อนของเพลงได้ไหม” เขาได้ไฟเขียวจากตัวโปรดิวเซอร์ ก่อนจะใช้เวลาเพียง 20 นาที เพื่อบันทึกเสียงท่อนโซโลดังกล่าว
“ตอนนั้นไมเคิลไม่อยู่ ไปอัดเสียง น่าจะสำหรับหนัง E.T. หรืออะไรนี่แหละ ผมเลยถามควินซี ‘คุณอยากให้ผมทำอะไร?’ ควินซีก็ตอบประมาณว่า อะไรก็ได้ที่ผมอยากทำ ผมเลยบอกว่า ‘ระวังการพูดแบบนั้น ถ้าคุณไม่รู้จักผมดี คุณควรระวังเวลาคุณพูดว่าจะให้ผมทำอะไรก็ได้เนี่ย ฮ่า ๆ’ พอผมฟังท่อนของผม ผมก็มีความคิดบางอย่าง ผมเลยถามพวกเขาว่า ‘ผมขอเปลี่ยนบางส่วนได้ไหม’ ผมหันไปหาเอ็นจิเนียร์แล้วบอกว่า ‘ตั้งแต่ท่อนเบรกดาวน์ไป ตัดตรงนี้ออกไปนะ แล้วก็ตรงนี้ ช่วงพรีคอรัสจนถึงท่อนคอรัสเอาออกไป’ เขาใช้เวลาเป็น 10 นาทีกว่าจะปะติดปะต่อที่ผมต้องการเสร็จ
“ผมอิมโพรไวซ์โซโลไว้สองแบบให้พวกเขาเลือก ช่วงที่ผมกำลังจะโซโลอันที่สองเสร็จ เป็นตอนที่ไมเคิลกำลังเดินเข้ามา คุณก็รู้ว่าพวกศิลปินน่ะก็เหมือนเป็นพวกคนแปลก ๆ กันอยู่แล้ว ไม่มากก็น้อย ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะรู้สึกยังไงกับสิ่งที่ผมกำลังทำ ผมเลยเตือนเขานิดหนึ่งก่อนเขาจะฟัง ‘นี่แน่ะ ผมเปลี่ยนช่วงกลาง ๆ ของเพลงคุณไปนะ’ ในใจก็คิดว่าเขาต้องเอาบอดี้การ์ดมาลากตัวผมออกไปโทษฐานที่มาปู้ยี่ปู้ยำเพลงของเขาแน่ๆแต่สุดท้ายเขาก็ชอบมัน
“พอเขาฟังจบก็หันมาหาผม แล้วพูดว่า ‘ว้าว ขอบคุณมากสำหรับแพชชั่นของคุณที่ไม่ใช่แค่มาเพื่อเล่นโซโลที่ลุกเป็นไฟแบบนี้ แต่ยังแคร์เพลงจริง ๆ และทำให้เพลงนี้มันดียิ่งขึ้นไปอีก’ เขาเป็นอัจฉริยะทางดนตรีที่มีความใส ๆ แบบเด็ก ๆ เขาเป็นมืออาชีพและยังเป็นคนอ่อนหวานอีกด้วยนะ” แวนแฮเลนเล่าย้อนความหลังแบบยาวๆ
กลับกันบนความใสที่ แวน แฮเลน ว่า ถ้ามองดูเนื้อเพลงของ ‘Beat It’ จะค้นพบว่ามันเกี่ยวข้องกับความพ่ายแพ้, ความกล้าหาญ และถูกเรียกว่าเป็นความเห็นที่น่าเศร้าของธรรมชาติมนุษย์ ท่อนที่ว่า “don’t be a macho man.” เป็นท่อนที่แจ็กสันแสดงความรู้สึกเพื่อจะบอกว่าเขาเกลียดชังพวกใช้ความรุนแรงขนาดไหน เพราะสิ่งนี้เชื่อมโยงไปถึงความรุนแรงที่เขาเคยเจอจากพ่อของเขาในอดีต
หลังปล่อย ‘Beat It’ ออกมาไม่นาน ตัวเพลงก็กลายเป็นผลงานที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ทะยานขึ้นอันดับหนึ่งทุกชาร์ต เสียงร้องของแจ็กสัน รวมถึงการเรียบเรียงดนตรีชั้นเซียนของ “เทพควินซี” ก็ได้รับความนิยมไปทั่วโลก เช่นเดียวกับท่อนโซโลไฟแลบอันยอดเยี่ยมของศิลปินนิรนามคนหนึ่ง ที่กลายเป็นประเด็นร้อนให้เหล่านักฟังทั้งหลาย สวมวิญญาณเป็นนักสืบออกตามหาชายที่โซโลเพลงนี้ ก่อนที่ส่วนใหญ่จะมีความเห็นตรงกันว่า นี่ต้องเป็นผลงานของ เอ็ดดี้ แวน แฮเลน แน่ ๆ
“ตอนนั้นผมพูดกับตัวเองว่า ‘ใครมันจะไปรู้ว่าผมเล่นเพลงของเด็กคนนี้ จริงไหม ไม่มีใครจะมารู้หรอก’ แต่ผิดเต็ม ๆ” เขาหัวเราะ “ผมคิดผิดครั้งใหญ่หลวงเลย เพราะตอนหลังมันกลายเป็นเพลงแห่งปีเลยแหละ”
ผลงานความร้อนแรงที่ทั้งสามผนึกกำลังครั้งนี้ สร้างปรากฏการณ์ขยายเป็นวงกว้าง ขนาด MTV ที่ไม่ชอบออกอากาศเอ็มวีของศิลปินผิวสี ยังต้องปล่อยเอ็มวี ‘Beat It’ ออกอากาศ เช่นเดียวกับสถานีวิทยุเพลงร็อกหรือเมทัลทั้งหลายที่นับวันไม่เคยเปิดเพลงจากศิลปินป๊อป สุดท้ายก็ทนเสียงเรียกร้องไม่ไหวต้องหันมาเปิดเพลงป๊อปเพลงนี้ของแจ็กสัน ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นอิทธิพลที่มาจากข่าวลือที่ว่า แวน แฮเลน เป็นคนโซโลเพลงนี้ด้วย
[caption id="attachment_22205" align="aligncenter" width="1536"] Beat It[/caption]แวน แฮเลน ที่ใช้เทคนิคแพรวพราวมากมายในการโซโล ไล่ตั้งแต่การใช้คันโยกทำไวบราโต้, ดันสาย, กัดปิ๊ก และโดยเฉพาะเทคนิคซิกเนเจอร์ของเขาอย่างแท็ปปิ้งโน้ต (ที่เหมือนเป็นการเปิดเผยตัวเขากลาย ๆ) แม้ว่าช่วงแรกเขาจำเป็นต้องปฏิเสธการมีส่วนร่วม แต่เมื่อเวลาผ่านไป แวน ฮาเลน เองก็ไม่สามารถปกปิดความภาคภูมิใจที่มีต่อผลงานเอกชิ้นนี้ได้
“ผมไม่เคยลืมเลย มีครั้งหนึ่งผมไปทาวเวอร์ เรคคอร์ดส สาขาเชอร์แมน โอ๊กส์ สมัยที่ยังเปิดอยู่เพื่อไปซื้อซีดีอะไรสักอย่าง ตอนนั้นในร้านกำลังเปิด Beat It อยู่ พอถึงท่อนโซโล ผมเห็นเด็กคนหนึ่งกำลังพูดว่า ‘เฮ้ย ฟังไอ้คนนี้ดิ มันกำลังเลียนแบบเสียงเอ็ดดี้ แวน แฮเลน อยู่เว้ย’ ผมนี่รีบเดินไปหาเด็กคนนั้นแล้วตบไหล่และพูดว่า ‘เฮ้ยไอ้หนู พี่เล่นไว้เองแหละ’ ตอนนั้นมันตลกมากจริง ๆ”
‘Beat It’ กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อัลบั้ม Thriller ของไมเคิลแจ็กสันก้าวขึ้นไปเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดตลอดกาลของโลก แม้ว่าแวนแฮเลนจะไม่ได้เงินสักบาทจากผลงานโซโลชิ้นโบว์แดงนี้ แต่เขาก็ออกมาพูดเสมอว่านี่คืออีกหนึ่งผลงานที่น่าประทับใจมาก ๆ สำหรับเขา
“ตอนหลังควินซีเขียนจดหมายขอบคุณผมด้วยนะ เขาเซ็นชื่อตัวเองและเขียนคำลงท้ายว่า ‘จาก ไอ้รูตูด’ ทุกวันนี้ผมยังเก็บใส่กรอบไว้อยู่เลย มันเป็นอะไรที่ตลกดี” เอ็ดดี้ แวน แฮเลน
ที่มา:
https://edition.cnn.com/2012/11/30/showbiz/music/van-halen-jackson-thriller/index.html