จูดี ไมโควิตส์ จากนักวิจัยไม่มีใครเชื่อ สู่ฮีโร่คนต่อต้านหน้ากากอนามัย
“ณ จุดสูงสุดของเส้นทางวิชาชีพ ดร.ไมโควิตส์ได้เสนองานวิจัยระดับบล็อกบัสเตอร์ในวารสาร Science งานซึ่งเป็นที่ถกเถียงชิ้นนี้กลายเป็นคลื่นกระแทกสะเทือนวงการวิทยาศาสตร์ เมื่อมันเผยให้เห็นว่าการใช้เนื้อเยื่อตัวอ่อนของสัตว์และมนุษย์ เป็นสาเหตุของการระบาดของโรคเรื้อรังหลายชนิด การเผยความลับสุดยอดของพวกเขา เหล่าผู้รับใช้ธุรกิจยาขนาดใหญ่จึงทำสงครามกับ ดร.ไมโควิตส์ ทำลายชื่อเสียงที่ดีของเธอ รวมไปถึงเส้นทางอาชีพ และชีวิตส่วนตัว”
มิกกี วิลลิส (Mikki Willis) ผู้ทำสารคดี “Plandemic” สารคดีที่ถูกเซ็นเซอร์มากที่สุดบนโซเชียลมีเดียต่าง ๆ กล่าวแนะนำตัว จูดี ไมโควิตส์ (Judy Mikovits) นักวิจัยที่สูญเสียเครดิตในวงการวิจัย แต่กลายมาเป็นฮีโร่ให้กับเหล่านักทฤษฎีสมคบคิดที่ต่อต้านวัคซีน และไม่เชื่อเรื่อง “โควิด-19”
จากข้อมูลของ The New York Times ไมโควิตส์จบด้านชีววิทยาจากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย และได้ปริญญาเอกด้านชีวโมเลกุลจากมหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน ระหว่างปี 1992 ถึง 2001 เธอทำงานที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ เริ่มจากเป็นนักวิจัยจนเป็นผู้อำนวยการห้องปฏิบัติการ ก่อนก้าวไปเป็นผู้อำนวยการฝ่ายการวิจัยของ Whittemore Peterson Institute (WPI) ระหว่างปี 2006 ถึง 2011 ซึ่งเธอถูกไล่ออกหลังเผยแพร่งานวิจัยที่มีปัญหาในปี 2009
งานวิจัยชิ้นดังกล่าว ไมโควิตส์ชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มอาการความล้าเรื้อรัง (chronic fatigue syndrome, CFS) กับเรโทรไวรัสที่เรียกว่า XMRV (xenotropic murine leukaemia virus-related virus) ซึ่งจากการวิจัยเธอพบว่า ในบรรดาผู้ป่วย CFS จำนวน 101 คน พบไวรัสชนิดนี้ถึง 68 คน ขณะที่ในกลุ่มตัวอย่างควบคุมที่สุขภาพดีจำนวน 218 คน พบไวรัสชนิดนี้เพียง 8 คน ทำให้ตอนนั้นเป็นที่ฮือฮามากว่าเธอสามารถหาสาเหตุของกลุ่มอาการปริศนากลุ่มนี้ได้สำเร็จ (Nature)
สองปีผ่านไป นักวิจัยหลายคนพยายามทำการทดลองเช่นเดียวกับไมโควิตส์ แต่กลับได้ผลลัพธ์ไม่ตรงกับงานวิจัยของเธอ ต่อมาในเดือนกันยายน 2011 กลุ่มผู้ร่วมวิจัยของเธอก็ยื่นเรื่องขอถอนรายงานบางส่วน หลังพบว่าตัวอย่างบางส่วนที่ใช้ทำการวิจัยมีการปนเปื้อน เวลาเดียวกันทางวารสาร Science ก็เผยแพร่ผลวิจัยจากห้องปฏิบัติการอิสระจำนวน 9 แห่ง รวมถึงห้องวิจัยของไมโควิตส์เอง ซึ่งล้วนแล้วแต่ไม่พบไวรัส XMRV ในผู้ป่วย CFS แต่อย่างใด ทำให้ไมโควิตส์ต้องออกมายอมรับว่า XMRV อาจไม่ใช่สาเหตุของกลุ่มอาการ CFS แต่เธอก็ยังเชื่อว่า สาเหตุน่าจะมาจากเรโทรไวรัสชนิดอื่น ๆ
สุดท้ายในเดือนธันวาคม 2011 ทางบรรณาธิการวารสาร Science ก็ถอนรายงานการวิจัยของไมโควิตส์ทั้งฉบับ เนื่องจากการพิสูจน์ซ้ำงานวิจัยไม่มีใครสามารถทำได้สำเร็จ อีกทั้งยังพบข้อบกพร่องในการควบคุมคุณภาพการทำการทดลอง จนทำให้ทางวารสารเสียความมั่นใจในรายงานการวิจัยชิ้นนี้ และต้องขออภัยที่ทำให้วงการวิทยาศาสตร์ต้องเสียเวลาและทรัพยากร ในการพยายามพิสูจน์ซ้ำผลวิจัยชิ้นนี้
รายงานของ Nature เมื่อปี 2011 กล่าวว่า แม้ผลการวิจัยจะถูกตีตกไป แต่ WPI ก็ยังให้การสนับสนุนไมโควิตส์ต่อไป แต่มามีเรื่องขัดแย้งกัน ภายหลัง WPI จึงไล่เธอออก สาเหตุไม่ได้มาจากผลการวิจัยดังกล่าวแต่อย่างใด หากเป็นเรื่องที่ไมโควิตส์ไม่ยอมให้นักวิจัยรายอื่นเข้ามาทำงานในศูนย์วิจัยตามความต้องการของสถาบัน หลังจากนั้นไม่นาน ไมโควิตส์ก็ถูกจับกุมจากข้อหาแอบขโมยโน้ตบุ๊ก คอมพิวเตอร์ และเครื่องมือบันทึกข้อมูลต่าง ๆ ของ WPI โดยในหมายจับยังมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวห้ามมิให้เธอทำลายข้อมูล ซึ่งทางสถาบันยืนยันว่าเป็นของพวกเขา แต่อัยการสั่งไม่ฟ้อง เนื่องจากทางสถาบันกำลังมีปัญหาข้อกฎหมายประการอื่นอยู่
หลังจากนั้น ไมโควิตส์ก็ไปเขียนหนังสือและโปรโมตทฤษฎีของเธอเรื่องเรโทรไวรัสกับ CFS และโรคเรื้อรังเกี่ยวกับระบบประสาทต่าง ๆ ต่อไป แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจจากสาธารณะเท่าไรนัก นอกจากสื่อด้านสุขภาพที่ต่อต้านวิทยาศาสตร์กระแสหลัก ซึ่งโปรโมตการต่อต้านวัคซีน เนื่องจากเธอขายไอเดียว่า CFS มะเร็ง รวมถึงอาการผิดปกติของระบบประสาทอื่น ๆ ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรโทรไวรัสที่เธออ้าง และมีชาวอเมริกันกว่า 25 ล้านคนที่ติดเชื้อไวรัสดังกล่าวแล้วเนื่องจากการปนเปื้อนของ “วัคซีน” (Natural News)
ไมโควิตส์กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง หลังการเผยแพร่สารคดีเรื่อง “Plandemic” ที่ออกเมื่อเดือนพฤษภาคม 2020 ในสารคดีชุดนี้ อ้างว่าเธอคือดาวรุ่งพุ่งแรงในวงการวิทยาศาสตร์ตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษา แต่ถูกสกัดกั้นมาโดยตลอด
และศัตรูของเธอก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นั่นคือ ดร.แอนโทนี เฟาชี (Anthony Fauci) ผู้อำนวยการสถาบัน National Institute of Allergy and Infectious Diseases ซึ่งปัจจุบันเป็นหนึ่งในหัวหน้าทีมจัดการปัญหาการระบาดของโควิด-19
ไมโควิตส์เปลี่ยนเรื่องเล่าการตกอับของเธอให้กลายเป็นเรื่องของการถูกกระทำโดยกลุ่มผลประโยชน์ในอุตสาหกรรมยา และการหากินกับสิทธิบัตรยา ซึ่งมีเฟาชีเป็นส่วนหนึ่ง เนื่องจากเธอจะช่วยให้ประชาชนพ้นจากความเจ็บป่วยได้ ในขณะที่บริษัทยาที่ถูกเปิดโปงจะต้องเสียหายอย่างมหาศาล จึงใช้อำนาจทางกฎหมายปิดปากเธอ ในสารคดีมีภาพจำลองการจับกุมที่ดูรุนแรง เธอยังอ้างว่า การจับกุมเกิดขึ้นทั้งที่ไม่มีการตั้งข้อหา ขณะที่ในความเป็นจริงมีการตั้งข้อหา แต่เป็นข้อหาเกี่ยวกับการขโมยทรัพย์สินและข้อมูลของนายจ้าง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับงานวิจัยที่เป็นปัญหาของเธอ
ในสารคดี เมื่อวิลลิสผู้ดำเนินรายการตั้งคำถามนำว่า ถ้ามีการบังคับฉีดวัคซีนก็จะทำให้กลุ่มผลประโยชน์ในอุตสาหกรรมยาได้รับประโยชน์อย่างมหาศาล ไมโควิตส์รีบแทรกว่า การฉีดวัคซีนยิ่งจะทำให้มีคนเสียชีวิตมากขึ้นเหมือนตอนนี้ เพราะปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนชนิดใดที่จะป้องกันไวรัส RNA ได้ เธอยังเชื่อว่า โควิด-19 เกิดขึ้นในห้องแล็บเกี่ยวพันกับห้องแล็บทางทหารของสหรัฐฯ ซึ่งมีความร่วมมือกับห้องแล็บในอู่ฮั่น
ไมโควิตส์ยังให้เหตุผลที่อิตาลีมีความรุนแรงของโควิด-19 มากกว่าที่อื่น เป็นเพราะมีการทดลองใช้วัคซีนไข้หวัดใหญ่ตัวใหม่ที่เป็นตัวเร่งให้เกิดการกลายพันธุ์ และคำอธิบายของเธอเรื่อง “หน้ากากอนามัย” ก็ยิ่งทำให้ฝ่ายขวาในสหรัฐฯ ที่ต่อต้านคำแนะนำให้สวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะชอบใจ เนื่องจากเธอกล่าวว่า
“การใส่หน้ากากเป็นสิ่งที่จะปลุกไวรัสในตัวคุณขึ้นมาเอง คุณจะป่วยเนื่องจากมันไปทำให้โคโรนาไวรัสกลับมาออกฤทธิ์ได้อีกครั้ง (เนื่องจากเธอเชื่อว่าคนส่วนใหญ่รับไวรัสหลายชนิดเข้าไปจากการฉีดวัคซีน) และถ้าหากว่ามันเป็น SAR-CoV-2 (โคโรนาไวรัสที่ทำให้เกิดโควิด-19) คุณก็จะเจอปัญหาใหญ่”
ข้อกล่าวหาของเธอต่อเฟาชีหรืออุตสาหกรรมยา ล้วนเลื่อนลอยไร้หลักฐานรองรับ ข้อที่อ้างว่าไม่มีวัคซีนที่จะรับมือกับไวรัส RNA ก็ผิดจากความเป็นจริง เพราะไข้หวัดใหญ่หรืออีโบลาก็มีวัคซีนป้องกันแล้ว
แต่คำพูดของเธอไปตรงใจฝ่ายขวาอเมริกันจำนวนมาก คำพูดที่ดูไม่น่าเชื่อแม้แต่น้อย เช่นการใส่หน้ากากแล้วจะปลุกให้ไวรัสกลับมาออกฤทธิ์ ก็ได้รับความเชื่อถือ ประกอบกับการเป็นนักวิจัยที่มีวุฒิการศึกษาขั้นสูงสุด แต่กลับต้องตกต่ำเพราะงานวิจัยชิ้นเดียว ยิ่งทำให้คนฝ่ายนี้เชื่อว่าเธอถูกกลั่นแกล้งจริง ไมโควิตส์จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้กล้าหาญที่ออกมาต่อสู้กับกลุ่มทุนยาที่ทรงอิทธิพล และสารคดี Plandemic ที่เธอเป็นแกนกลางของเรื่องก็ระบาดอย่างรวดเร็วในหมู่ผู้สนับสนุนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
โซเชียลมีเดียต่าง ๆ ทั้ง Facebook และ YouTube เมื่อเห็นการระบาดของ Plandemic ในหมู่ผู้ใช้ก็ตัดสินใจ “แบน” สารคดีชุดนี้ ซึ่งไปเข้าทางนักทฤษฎีสมคบคิดให้อ้างได้อีกว่า นายทุนใหญ่กำลังรวมหัวกันปกปิดความจริง แต่บรรดาผู้ที่ต่อต้านวัคซีนก็ยังไม่ยอมแพ้ พยายามอัพโหลดวิดีโอชุดนี้สู่โลกออนไลน์ให้มากที่สุด ไม่ว่าจะถูกสกัดกั้นการเข้าถึงเพียงใดก็ตาม ส่วนไมโควิตส์ก็ได้รับอานิสงส์จากเหตุการณ์นี้โดยตรง เมื่อหนังสือเล่มใหม่ของเธอ “Plague of Corruption” ได้รับความสนใจอย่างสูงจนขึ้นแท่นหนังสือ (ฉบับพิมพ์) ขายดีอันดับ 1 ในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา