นมัสการสุดท้าย ขอมอบแด่ผู้ซึ่งรู้ว่าข้าบกพร่อง แต่ก็รัก
My last salutation are them Who know me imperfect and loved me.
กวีนิพนธ์หิ่งห้อย (Fireflies) นิพนธ์โดย รพินทรนาถ ฐากูร
คนรุ่นใหม่อาจจะรู้จัก โคลิน ฟาร์เรลล์ (Colin Farrell) ในบทบาทของ เกรฟส์ พ่อมดที่มาพร้อมคอสตูมเนี้ยบ เข็มกลัดแมงป่อง และท่าฟาดไม้กายสิทธิ์สุดเซ็กซี่ แต่ถ้าถามผู้คนยุคก่อน ๆ ถ้านึกถึง โคลิน ฟาร์เรลล์ ก็ต้องนึกถึง Minority Report, Phone Booth และ S.W.A.T. อย่างแน่นอน เขายังได้รับการยกย่องให้เป็นผู้ชายที่เซ็กซี่ที่สุดในโลกเป็นอันดับที่ 6 ของนิตยสารคอมปานี และรับค่าตัวสูงถึง 8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการรับบทนำใน S.W.A.T. และถ้าถามผู้คนยุคก่อน ๆ เข้าไปอีก ก็จะยิ่งรู้ว่า โคลิน ฟาร์เรลล์ พ่อหนุ่มชาวไอริชนั้นคือแบดบอยพราวเสน่ห์แห่งฮอลลีวูดตัวจริงเสียงจริง (แถมเมาหัวราน้ำเข้าไปด้วย)
เราไม่ได้จะมาซุบซิบว่าใครมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับฟาร์เรลล์บ้าง แต่การเรียบเรียงไทม์ไลน์ชีวิตของเขามีผลต่อใจความสำคัญของบทความนี้ จึงต้องขยายความกันสักนิดว่า ฟาร์เรลล์เคยมีความสัมพันธ์เชิงรัก ๆ ใคร่ ๆ กับใครบ้าง
คนแรก อะมิเลีย วอร์เนอร์ ดาราสัญชาติอังกฤษผู้โด่งดัง ผู้มีความสัมพันธ์ที่ “ใกล้เคียงกับ” หรือ “เกือบจะ” แต่งงานมากที่สุด มีการฉลองถึงความผูกพันการเป็นคนรักกันที่ตาฮีติ แต่ไม่เกินปีหลังจากนั้นพวกเขาก็เลิกกัน โดยวอร์เนอร์ได้แต่งงานกับพระเอกภาพยนตร์เรื่อง Fifty Shades of Grey อย่าง เจมี ดอร์แนน ในภายหลัง
คนต่อมาคือ เมย์ต มิเชลล์ โรดริเกซ จากการถ่ายทำภาพยนตร์สุดดังอย่าง S.W.A.T. แต่ก็เป็นเพียงข่าวโคมลอยที่ไม่ได้รับการยืนยันมากมายอะไร จากนั้นพ่อหนุ่มสุดซ่าก็ได้หักอกสาวในวงการไปหลายคนเสียเหลือเกิน แล้วความสัมพันธ์ก็นำสู่การที่เขามีลูกกับนางแบบ คิม บอร์เดเนฟตี เธอบอกว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาไปไม่รอดหรอก แต่แล้วเธอก็ตั้งครรภ์และคลอดลูกชายในปี 2003
ลูกชายของทั้งคู่ชื่อ เจมส์ ซึ่งมีอาการ Angelman Syndrome อันหมายถึงโรคที่เด็กจะมีพัฒนาการช้ามาก มีปัญหาในการพูด โดยพูดได้ไม่กี่คำ ส่วนความเข้าใจภาษาด้านการฟังหรือการใช้ท่าทางสื่อสารจะดีกว่าภาษาพูด มีปัญหาในการเคลื่อนไหว มักมีอาการเดินเซ เดินไม่มั่นคง หรือมือมีการเคลื่อนไหวไขว่คว้าที่ผิดปกติ นอกจากนี้ ยังมีพฤติกรรมเฉพาะคือ มักจะยิ้มง่าย หัวเราะเก่ง อารมณ์ดี ตื่นเต้นง่าย ชอบปรบมือ รวมทั้งมีสมาธิสั้น
ถึงแม้น้ำตาแห่งความรักและยินดีจะหลั่งไหลออกมาเมื่อได้เห็นหน้าเจมส์ แต่เขากลับกล่าวว่า “ลูกผมต้องการเพื่อน ไม่ได้ต้องการพ่ออย่างผมหรอก” เขามีลูกตอนไม่พร้อม และการมีลูกก็ไม่ได้ทำให้เขาเลิกเจ้าชู้และเมามายไปกับเหล้าและยา เขาคิดว่าเขายังกลัว และไม่พร้อมที่จะดูแลใคร ความโด่งดังที่ไต่ระดับขึ้นอย่างรวดเร็วจากการแสดง Dare Devil Minority Report, Phone Booth และ S.W.A.T. นั้นไต่ระดับเร็วพอ ๆ กับปริมาณสารเสพติดที่ใช้และเหล้าที่ดื่ม โดยในหนึ่งอาทิตย์นั้น เขาเสพยาอีไปยี่สิบเม็ด โคเคนไปอีกสี่กรัม น้ำมันกัญชาไปออนซ์ครึ่ง แจ็คแดเนียลสามขวด ไวน์แดงสิบสองขวด แถมบุหรี่อีกสองร้อยกว่ามวน
นั่นแหละ มันไปจบที่อาการซึมเศร้า
[caption id="attachment_25383" align="aligncenter" width="800"]
ฟาร์เรลล์ในภาพยนตร์เรื่อง Alexander[/caption]
จุดพลิกผันของชีวิต โคลิน ฟาร์เรลล์ เกิดขึ้นเมื่อภาพยนตร์เรื่อง Alexander ไม่ได้โด่งดังอย่างที่คิด เรียกได้ว่าเหมือนภาวะ “ฟองสบู่แตก” ของนักแสดงหนุ่มเลยทีเดียว เขาเคยพูดไว้ว่า “ถ้าเรื่องนี้ได้รับผลตอบรับที่ไม่ดี ผมจบเห่แน่ เพราะผมทุ่มทั้งตัวให้หนังเรื่องนี้” ความคิดเห็นในแง่ลบทุกอย่างทำให้เขาเครียด และใส่หมวกสกีไปไหนมาไหนเพื่อไม่ให้ผู้คนจำใบหน้าของเขาได้ เขาขึ้นสู่ความเป็นดาว และร่วงลงอย่างรวดเร็วเหมือนดิ่งลงเหว
ทุกอย่างยืดเยื้อมาถึงปี 2006 ซึ่งเป็นปีที่โหดหินที่สุดของฟาร์เรลล์ ในปีนั้นมีกรณี sex tape กับ นิโคล นาเรน ที่เคยคบกันสมัย 2003 หลุดออกมา ยิ่งทำให้ทุกอย่างเลวร้ายเข้าไปใหญ่ ด้วยความเครียดสะสมและการใช้ยามากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากถ่ายทำเรื่อง Miami Vice เขาถูกจับล็อกขึ้นเครื่องบิน เพื่อส่งตัวไปทำการบำบัดสารเสพติดและอาการซึมเศร้าทันที
การบำบัดจบลงในปี 2005 และในปี 2007 ฟาร์เรลล์ได้เปิดเผยกับสังคมว่า เจมส์ ลูกชายของเขา มีอาการ Angelman Syndrome และให้เครดิตกับภรรยาเก่า ซึ่งเป็นแม่ของลูกที่คอยดูแลเจมส์มาตลอดช่วงเวลาที่เขาหายไป หลังจากนั้นเขาเผยกับรายการโด่งดัง The Late Late Show with James Corden โดยไม่ทิ้งลายพ่อหนุ่มไอริชสุดซ่า ด้วยการบอกว่า การเป็นพ่อไม่ได้ทำให้เขาเปลี่ยนไปเท่าไหร่ “คนส่วนใหญ่ก็พูดแหละว่าการมีลูกทำให้คนเปลี่ยนไป แต่ดูสิ ไม่เลย มีตั้งหลายคนที่ไม่ได้เปลี่ยนไปเพราะมีลูก แต่เอาเข้าจริงมันก็ควรแหละ”
แต่สำหรับเขา จุดเปลี่ยนมันใช้เวลานานไปหน่อย...
[caption id="attachment_25384" align="aligncenter" width="640"]
ฟาร์เรลล์และเจมส์[/caption]
เขาได้เปิดเผยในรายการของลอร์เรน เคลลี ในปี 2019 ถึงช่วงเวลาแห่งความยากลำบากว่า เจมส์ทำให้เขาตั้งสติได้ จากที่เคยพูดว่า “ลูกผมต้องการแค่เพื่อนเท่านั้น” นั้นมันไม่จริง
“ผมไม่ได้อยู่เพื่อตัวผมคนเดียวอีกแล้ว ผมมีลูกอ่อนที่ไม่ได้ต้องการแค่คู่หู แต่ต้องการพ่อต่างหาก นั่นล่ะโค้งหักศอกของผมเลย เจมส์อายุสองขวบได้นะ ตอนนั้น”
จะเห็นได้ว่าการบำบัดเป็นไปในทางที่ดี เจมส์เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของฟาร์เรลล์ เขาทำงานหนักเพื่อลูก สำหรับครอบครัวอื่น การเลี้ยงเด็กคนหนึ่งอาจจะง่ายและทำได้โดยธรรมชาติหรือสัญชาตญาณ แต่การเลี้ยงเจมส์ถือเป็นเรื่องยากมากกว่ามาก และเขาจำความรู้สึกตอนเห็นลูกเดินหรือนั่งอยู่กับที่ได้ดีว่ามันอิ่มเอิบเพียงใด
“คุณรู้มั้ยว่าการเลี้ยงเด็กที่ต้องการความดูแลเป็นพิเศษมันโหดร้ายจนใจคุณสลายได้เลย แต่ความรักและความเข้มแข็งจะเป็นเข็มที่สมานหัวใจคุณกลับมาดังเดิม”
ในปี 2017 โคลินได้ร่วมงานประจำปีขององค์การพัฒนาเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยแองเจิลแมนซินโดรม หรือ Foundation for Angelman Syndrome Therapeutics (FAST) เป็นงานที่ผู้ปกครองซึ่งมีลูกป่วยเป็นโรคนี้จะมาพบปะสังสรรค์และแลกเปลี่ยนความคิดกัน ฟาร์เรลล์แชร์ประสบการณ์ เล่นกับเด็ก ๆ และบอกว่า
“ขณะที่ความฝันว่าลูกของเราจะหายจากโรคยังไม่เป็นจริงสักที แต่มันก็ยังมีอีกหลายพันความฝันที่ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่เราต้องเจอ และที่สำคัญพ่อแม่ของเด็ก ๆ ที่ต้องพบเจอกับโรคนี้ไม่ได้อยู่เพียงลำพัง ผมดีใจและมีความสุขอย่างยิ่ง ที่ได้เห็นจิตวิญญาณอันสวยงามของเด็ก ๆ ของเรา”
หลังจากเจมส์เกิดได้ 5 ปี ในปี 2008 ฟาร์เรลล์มีลูกกับนักแสดงชาวโปแลนด์ อลิคจา บัคเคลดา ลูกชายสุดน่ารักคนนั้นชื่อ เฮนรี แล้วพวกเขาสองคนก็เลิกกันเมื่อปี 2010 และฟาร์เรลล์ก็กลายเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว (แถมลูกอีกสอง) ขึ้นมาทันที ในช่วงนั้นเขากลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งจากภาพยนตร์เรื่อง In Bruges
บทกวีข้างต้นของ รพินทรนาถ ฐากูร ไม่ได้ถูกยกขึ้นมาเพื่อความสวยหรู มันอาจจะเป็นความรู้สึกของเจมส์ที่มีต่อพ่อในอนาคต ส่วนฟาร์เรลล์นั้น ทุกคนต่างรู้ดีว่า การยืนหยัดขึ้นมาเพื่อตนเองนั้นยากมากสำหรับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า การฮึดสู้มันยากนัก มันเหมือนกล้ามเนื้อจะฉีกออกเป็นชิ้น ๆ เมื่อจะเริ่มต้นใหม่ การละทิ้งความเศร้า และการกลับออกไปสู่โลกภายนอกก็เหมือนแผลที่เลือดไหลเป็นทาง ขนาดสู้เพื่อตัวเองว่ายากแล้ว ยังต้องสู้เพื่อคนอื่นอีก
แต่สำหรับฟาร์เรลล์มันไม่จบแค่นั้น เขาต้องยืนหยัดเพื่อลูก เพื่อความเป็นพ่อและครอบครัว และนั่นคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า “ซูเปอร์ฮีโร่” อีกด้วยซ้ำ
เหมือนกับสิ่งที่ Corriere della Sera หนังสือพิมพ์ในอิตาลีเอ่ยถึงหนังสือเรื่อง “สำนึกของช้าง”
“ชะตาชีวิตโหดร้ายนัก และทุกคนต้องควานหาความกล้าหาญเพื่อแสดงให้เห็นความรักอันยิ่งใหญ่”
เขากล่าวขอโทษทุกคนที่ได้สร้างความกังวลหรือความ “ดาวน์” ที่เขาสร้างให้คนรอบข้าง “ตอนนี้ผมมีชีวิตที่ดีเลิศ พร้อมกับลูกชายสุดเจ๋งสองคน ความสำเร็จมันก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน ผมไม่ได้ตื่นมาพร้อมกับความคิดว่าผมทำอะไรสำเร็จแล้วบ้าง ความจริงชื่อเสียงก็ไม่ได้ให้ความสุขเท่าไหร่หรอกนะ พอมองย้อนกลับไปน่ะ”
เมื่อนักข่าวถามว่า ตอนนี้คุณรักชีวิตตัวเองมั้ยเนี่ย ฟาร์เรลล์ตอบกลับมาแบบขำ ๆ “แน่นอน ผมรักชีวิตของผมสิ”
หากใครเป็นแฟนคลับของ โคลิน ฟาร์เรลล์ ปัจจุบันเขามักจะพาลูกออกมาเดินเล่น ซื้อกาแฟ เดินกินไอศกรีม บางทีเขาก็ใส่เสื้อผ้าแบบที่หลายคนอาจจะคิดว่า “อะไรเนี่ย!” ออกจากบ้านมาวิ่งออกกำลังกาย (ผ้าโพกหัวนั่นอาจเป็นกางเกงในก็ได้) กับพี่สาวแท้ ๆ บ้าง คนเดียวบ้าง
แต่ก็นั่นแหละ พ่อจะเละตุ้มเป๊ะยังไง ลูกก็มาก่อนเสมอ
นี่แหละ โคลิน ฟาร์เรลล์
ที่มา
https://www.independent.ie/woman/like-father-like-son-colin-farrell-says-son-james-10-is-an-absolute-stud-30006277.html
https://news.amomama.com/216124-colin-farrells-wild-dating-history-that.html
https://www.irishpost.com/entertainment/colin-farrell-admits-pisshead-druggie-irish-star-42-opens-finding-happiness-kids-163286
https://asanarecovery.com/colin-farrell-describes-his-addiction-as-a-garden-variety-sickness/
https://news.amomama.com/216124-colin-farrells-wild-dating-history-that.html
https://www.dailyedge.ie/colin-farrell-told-ellen-that-he-doesnt-want-to-limit-his-son-but-is-unsure-if-hell-ever-drive-4538875-Mar2019/
เรื่อง: สวิณี แสงสิทธิชัย