27 ส.ค. 2563 | 17:03 น.
มาร์กาเร็ตถือเป็นผู้หญิงที่เห็นภาพรวมของสงครามโลกครั้งที่ 2 มากที่สุดคนหนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้ เธอเดินทางไปหลายประเทศ พบเจอกับชีวิตชวนหดหู่ของผู้ลี้ภัย ชาวบ้านที่ไม่มีบ้านให้อยู่อีกต่อไป ศพกองพะเนินของเชลยสงคราม คราบเลือดของเหล่าทหารที่สู้จนตัวตาย แถมเคยเข้าใกล้ความตายหลายครั้งหลายหน เรื่องราวของเธอถูกพูดถึงอย่างมากในกลุ่มทหาร ใคร ๆ ต่างรู้จักนักข่าวหญิงภาคสนามเพียงคนเดียวได้แม่น แถมชอบแซวอยู่บ่อยครั้งว่า ‘แม็กกี้ฆ่าไม่ตาย ทำลายไม่ได้’ (Maggie the Indestructible) มาร์กาเร็ตกลายเป็นคนดังในหมู่ทหาร พวกเขาหลายคนรู้สึกยอมรับในตัวผู้หญิงคนนี้ ระหว่างถ่ายภาพและทำข่าวสงคราม เธอจะต้องสวมเครื่องแบบกองทัพอากาศสหรัฐฯ เพื่อจะได้รู้ว่าอยู่ฝ่ายไหน มากับกองทัพของประเทศอะไร เมื่อสงครามใกล้จบลงกองทัพได้เชิญเธอมาถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก ให้ทุกคนได้จดจำไว้ว่ามาร์กาเร็ตเป็นสตรีคนแรกที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานในเขตสงคราม ยกย่องถึงความกล้าหาญที่อยากถ่ายทอดความน่ากลัวของสงครามให้ประชาชนได้รับรู้ [gallery columns="2" link="none" size="large" ids="26310,26309"] หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง มาร์กาเร็ตกลายเป็นช่างภาพที่อยากบอกเล่าชีวิตของผู้คนอย่างเต็มตัว เธอเขียนหนังสือ Dear Fatherland, Quietly บอกเล่าความเจ็บปวดทั้งทางกายและทางจิตใจที่สงครามทิ้งไว้ให้ผู้คน จากเด็กสาววัยรุ่นชอบถ่ายภาพสถาปัตยกรรม แปรเปลี่ยนเป็นผู้หญิงที่อยากสร้างผลงานเพื่อให้ผู้คนตระหนักถึงสิทธิ ความเป็นมนุษย์ สันติภาพ และความเท่าเทียม มาร์กาเร็ตเดินทางไปยังอินเดียในช่วงการแบ่งแย่งดินแดนระหว่างอินเดียกับปากีสถานกำลังเข้มข้น ได้สัมภาษณ์และถ่ายภาพมหาตมะ คานธี กับเครื่องปั่นด้าย ก่อนเขาจะถูกลอบสังหารในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า รวมถึงยังได้ภาพโมฮัมหมัด อาลี จินนาห์ ผู้ก่อตั้งปากีสถาน นั่งอยู่บนเก้าอี้ ภาพของเธอสื่ออารมณ์ลึกซึ้งทุกครั้ง จนทำให้นักข่าวชื่อดังของอินเดีย เอ่ยปากชมว่า “มาร์กาเร็ตคือผู้บันทึกเหตุการณ์ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยพบมา” พอเกิดสงครามเกาหลี เธอไปทำงานเป็นผู้สื่อข่าว ติดตามกองกำลังทหารเกาหลีใต้ไปทุกที่ เพื่อถ่ายทอดความเศร้าของชาวเกาหลีที่รู้สึกว่าโลกกำลังทอดทิ้งพวกเขา“กล้องถ่ายรูปเป็นเพียงสิ่งเดียวที่กั้นฉันกับความน่าสะพรึงกลัวที่อยู่ตรงหน้า”