read
interview
28 ส.ค. 2563 | 14:00 น.
สัมภาษณ์ ว่าน-ธนกฤต: ฝันที่มาจากความบังเอิญ และหน้าตาของความรักที่โตขึ้น
Play
Loading...
นับเป็นปีที่ 16 แล้ว ที่ ว่าน-ธนกฤต พานิชวิทย์ นักร้องนักแต่งเพลงมากความสามารถคว่ำหวอดอยู่ในวงการบันเทิงไทย ผลงานเพลงฮิตอย่าง ‘อยู่บำรุง’ ‘ระยะปลอดภัย’ ‘สิ่งที่ยังเหลือ’ รวมถึงเพลงใหม่ล่าสุดอย่าง ‘ยิ่งใกล้ยิ่งไม่รู้จัก’ ล้วนแต่ เป็นเครื่องการันตีหลักไมล์ความสำเร็จบนเส้นทางสายนี้ของเขาได้เป็นอย่างดี จากชีวิตเด็กธรรมดาคนหนึ่งที่ชื่นชอบการเขียนเพลง ด้วยความบังเอิญทำให้ว่านมีโอกาสเข้ามาสัมผัสการอยู่ท่ามกลางแสงสปอตไลท์ ในบ้านเอเอฟ (อะคาเดมี่ แฟนเทเชีย) ซีซั่น 2 เมื่อปี 2548 ก่อนที่ต่อมาเขาจะได้รับโอกาสสร้างสรรค์งานเพลงของตัวเองกับค่ายใหญ่อย่าง จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ และต้นสังกัดปัจจุบันอย่างสไปซีดิสก์ โดยแต่ละบทเพลงที่กลั่นกรองออกมา ล้วนแต่เป็นการตกผลึกทางความคิดที่สะท้อนให้เห็นว่าความคิดของเขาโตขึ้นอย่างไร
The People พูดคุยกับชายคนนี้หลากหลายเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับชีวิต และความฝันของเขา รวมไปถึงคำนิยามของความรักในแบบฉบับของชายที่ชื่อ “ว่าน-ธนกฤต”
The People:
ความฝันที่เริ่มมาจากความบังเอิญ
ธนกฤต
: เวลาต้องตอบคำถามนี้จะเขินทุกครั้ง เพราะจะตอบเหมือนกันว่าบังเอิญ บังเอิญไปเดินซูเปอร์มาร์เก็ตกับแม่ แล้วเจอเขาแจกใบสมัครเอเอฟพอดี แค่นั้นเลย ตอนนั้นแต่งเพลงไว้สัก 3-4 เพลงประมาณนี้ แล้วตอนนั้นดูทีวีน้อยก็เลยไม่รู้ว่าซีซั่นที่ 1 รายการเขาทำอะไร ไม่ดู ยื่นมาเขียนนักล่าฝัน เฮ้ย กูก็มีฝันนี่หว่า หรือว่าใช่วะ (หัวเราะ) ก็เลยไปสมัคร สรุปก็ได้ พอได้ผมก็ไม่ได้ชุ่ยกับมันนะ ผมก็พยายามใช้ทุกสัปดาห์ ทุกโอกาสที่เขามอบให้อย่างเต็มที่ในวัย 19 ปี ก็เลยเริ่มบานปลายจากเขียน พอเขียนแล้วไม่ดีก็ไม่มีใครร้องให้ก็ต้องร้องเอง เลยไปร้องเพลงด้วย ออกมารับงานแสดงด้วย สะเปะสะปะไปก่อน เดินชุ่ย ๆ เหมือนเครื่องดูดฝุ่นอัตโนมัติ ชนแล้วค่อยกลับ ๆ
The People:
ตอนที่งานแสดงเข้ามามากกว่างานดนตรี ตอนนั้นคุณรับกับความรู้สึกอย่างไร เพราะคุณเข้าวงการมาเพราะอยากเป็นนักร้องมากกว่า
ธนกฤต
: ตอนนั้นผมคิดตลอดว่าเมื่อไหร่จะได้กลับไปทำสิ่งที่อยากทำซะที (หัวเราะ) คือค่ายเขาก็หวังดีต่อเรา เพราะเขาต้องสร้าง ต้องลงทุนให้ศิลปินที่เขาถืออยู่ พอมีผู้จัดละครมาเหมาะ ๆ มาพร้อมบทที่เหมาะกับเรา ค่ายก็ให้เราไปทำเลย มีอันนี้มาไปร้องเพลงประกอบ ไป ๆ ๆ พอไปอันไหนเรารู้สึกว่าทำได้เราก็จะโอเค แต่อันไหนไปแล้วเก้ ๆ กัง ๆ ก็จะพยายามเริ่มหลีกเลี่ยง แต่ไม่ใช่ว่าปฏิเสธในปีนั้นเลยนะ ผมก็ลองทำจนเราเริ่มรู้สึกว่ากับตัวเองว่า ผมชอบเขียนเพลงมากกว่า ชอบร้องเพลงรองลงมา ชอบเล่นละครน้อยที่สุด ตอนนั้นผมก็จะเริ่มร้องเพลงให้เยอะขึ้นจนไม่ต้องรับละครให้ได้ แล้วค่อยบอกเขาว่าอันนี้ปีละครั้งก็พอพี่ หรือ 2 ปีครั้งก็พอครับ ทำยังไงก็ได้ไม่ให้รายได้เขาเสีย
The People: พอกลับมาถือไมค์เต็มตัวอีกครั้ง ดูเหมือนเป็นช่วงเวลาที่วงการเพลงมีการเปลี่ยนผ่านพอดี
ธนกฤต
: ผมก็มีความงงเหมือนกัน เพราะว่าจากศิลปินยุคเก่าที่ทันเทปคาสเซ็ตอัลบั้มแรกตัวเองด้วยซ้ำ มาถึงออนไลน์ล้วน ๆ แล้วก็ทำ แล้วก็ลืมวิเคราะห์คนฟังว่าเขาเปลี่ยนหน้าตาไปแล้ว เขาเป็นคนรุ่นใหม่แล้ว พอทำไปปุ๊บแล้วไม่ใช่สัก 2-3 ครั้ง ผมก็เลยพักก่อน พักที่ว่าคือไม่ได้ถอดใจอะไร แล้วช่วงนั้นเริ่มทำงานทีวี ทำพิธีกรเยอะ พิธีกรเป็นอีกอันหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าทำแล้วชอบ เพิ่งมาค้นพบว่าชอบคุยกับคนแปลกหน้า อยากรู้ ขี้สงสัยอะไรอย่างนี้ ก็ทำพิธีกรไปเรื่อย ๆ เริ่มมาออนไลน์พิธีกรไปอีก แปลว่าทั้งเดือนก็ยุ่งแล้วนี่ จนลืมว่า เฮ้ย เว้นงานเพลงไปเป็นปีเลย
The People:
การตัดสินใจก้าวออกมาจากแกรมมี่ ตอนนั้นยากขนาดไหน
ธนกฤต
: จริง ๆ ไทม์ไลน์จะสลับกันเล็กน้อย ช่วงที่เว้นนานที่สุดคือช่วงที่ผมอยู่สไปซีดิสก์นี่แหละ ช่วงที่ผมอยู่แกรมมี่แล้วเปลี่ยนไปอยู่สไปซีดิสก์ ตอนนั้นก็เว้นเล็กน้อย เว้นประมาณครึ่งปี อันนั้นตัดสินใจไม่ยาก เพราะผมชอบเปลี่ยนที่ทำงาน ผมว่าทุกการเปลี่ยนแปลงจะพาเราไปสู่อะไรบางอย่างเสมอ ดีไม่ดีไม่รู้แต่อย่าไปว่ากัน เปิดประตูไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็เจออะไรดี ๆ เอง
The People:
ช่วงที่หยุดงานเพลงยาว ๆ ดูเหมือนว่าคุณจะได้รับแรงบันดาลใจเพิ่มขึ้นด้วย?
ธนกฤต
: ช่วงที่นิ่งเลยคือตอนทำอัลบั้ม 4 Alonevera กับสไปซีดิสก์ แล้วทำคอนเสิร์ตที่อิมแพคเสร็จ เสร็จปุ๊บมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กร โครงสร้างวิธีคิดตัวผมเองเล็กน้อย ทีมงานเปลี่ยนเล็กน้อยจนหาทางเชื่อมโยงกันไม่เจอ พอไม่เจอก็เลยไม่ทำ พอเราไม่เริ่มทำก็ไม่มีใครเริ่มทำ เพราะว่าถ้าศิลปินเจ้าของโปรเจกต์ไม่เริ่มเขี่ยบอลก็ไม่มีใครเขี่ยให้อยู่แล้ว ค่ายเขามีคนต้องดูแลอีกตั้ง 20-30 เบอร์ ก็เลยเว้นทำอย่างอื่นเลย แต่ก็ยังถือสัญญากับที่สไปซีดิสก์ไปเรื่อย ๆ หมดไป หมดไปเรื่อย ๆ จนไม่ได้ทำอะไร จนมาถึงวันที่ทบทวนตัวเอง ทำไมเว้นนาน ก็เลยลองกลับมาทำดู ไม่ใช่ปีเดียวนะ ปีกว่า ๆ ด้วยซ้ำจากเพลงสุดท้ายของอัลบั้มนู้นมาถึงขึ้นอัลบั้มใหม่
ผมลองถามตัวเองดูว่ามันหดหู่หรือเปล่าตอนนั้น ก็ไม่ เรื่องงานมันก็แน่น แต่เป็นงานประเภทอื่นหมดเลย จนวันที่ผมกลับไปเข้าห้องอัดอีกครั้งหนึ่ง ผมแบบ เฮ้ย ไอ้นี่ไง ไอ้เนี่ยความสุขไง แต่เราทิ้งมันมานานมากเลย กลับไปเปิดพวกซอฟต์แวร์ที่บ้าน โหอัปเดตเกือบทั้งหมดเลย plugin อะไรแบบ โอ๊ย เอา ๆ นั่งทำกันใหม่ เลยค้นพบบรรยากาศไอ้สิ่งที่เราคิดถึงมันคืองานแค่นี้เองครับ การเรียกนักดนตรีที่เราคิดถึงมาอัด อัดกีตาร์หน่อย มาอัดเบสคุยกัน โหแม่งมีความสุขมากเลย
The People:
ครั้งหนึ่งคุณเคยพูดว่า
“
ผมชอบตัวเองในปัจจุบันเสมอ
”
ธนกฤต
: เมื่อก่อนจะคิดว่าผู้ชายมักจะชอบ แต่ความเป็นจริงผมเดาว่าทั้งผู้ชายผู้หญิงจะชอบตัวเองในวันที่โตขึ้น ไม่รวมเรื่องริ้วรอย ผู้หญิงจะกังวลเรื่องริ้วรอยมากหน่อย ผมว่าในวันที่โตขึ้นหัวใจเรามันคูลขึ้น ไม่อ่อนไหวไปกับปัญหาที่ต้องเจอระหว่างวัน เรามีความคิดที่จะปล่อยเรื่องตรงนี้เพื่อไปมุ่งตรงจุดนั้น จัดการเรื่องที่บ้านได้ ดูแลสวัสดิภาพของพ่อแม่ หมา ดูแลได้ จัดการปัญหาของแฟนได้ ตอบคำถามได้กินอะไร อะไรก็ได้ อ๋อโอเคเดี๋ยวเลือกให้ มันจะไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว อะไรก็ได้ไม่มีนะ ไม่มี ๆ ทะเลาะกันอีก ซึ่งพอเราโตมานิดหนึ่ง ไม่ได้โตมากหรอก ปีนี้ 35 เวลาเราถามแฟนว่ากินอะไรก็ได้ใช่ไหม พูดแล้วนะ โอเคไปขึ้นรถ ไปจอดร้านก๋วยเตี๋ยว พอถึงบอกร้อน เอ้าได้ มีห้องแอร์เดินเข้าไปนิดเดียว จบเลย ง่ายเลย คือเหมือนจัดการอะไรบางอย่างได้ดีขึ้น
The People:
ความรักในแบบของ
“
ว่าน
-
ธนกฤต
”
ธนกฤต
: ผมเคยคุยกับพ่อกับแม่ เขาจะบอกว่าสุดท้ายเราอยากได้เพื่อนคู่คิดหรืออยากได้คนที่เป็นคู่ชีวิตของเรา ไม่ต้องหวาน ๆ ก็ได้ ผมก็เลยลองมองความรักเป็นเพื่อน เอาตั้งแต่วันนี้เลย จีบปุ๊บตกลงเป็นแฟนกันปั๊บ เป็นกึ่งเพื่อนกึ่งแฟนเลย มันจะได้ง่าย แล้วพอไปกินที่ไม่ชอบจะได้ไม่โกรธกันมากนัก ถ้าเป็นแฟนโกรธกันแล้วมันโกรธแรง พอเป็นเพื่อนแป๊บเดียวก็หาย เลยพยายามมองความรักให้มันเป็นเพื่อน เจอก็ดี ไม่เจอก็ไม่ว่ากันนะ
The People:
ความรักของ
“
ว่าน
-
ธนกฤต
”
โตขึ้นอย่างไร
ธนกฤต
: อันนี้เป็นคำถามที่ดี คือผมว่าคนเปลี่ยนทุกวันอยู่แล้วแหละ โดยเฉพาะวิธีคิด ผมใช้วิธีบอกว่าทุกครั้งที่เรามีความรักครั้งใหม่ เราจะเป็นคนไม่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ดีที่ว่าคือเราจะกล้าพูดความจริงกับเขา เพราะความจริงบางทีอาจจะกระทบหัวใจเขาเกินไป เช่น เสาร์นี้ไปเที่ยวพัทยากันไหม ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็...ไปก็ได้ ทั้ง ๆ ที่เรามีภาระอะไรบางอย่างต้องทำที่บ้าน พอไปแล้วก็ไม่สบายใจ แต่ถ้าตอนนี้มาถาม “วันเสาร์นี้ไปเที่ยวพัทยากันไหม” ผมก็อาจจะบอกว่า ไปไม่ได้ เดี๋ยวว่ากันใหม่ เดี๋ยวนัดกันใหม่ ถ้าอย่างนี้ผมก็คิดว่าเป็นคนไม่ดีนะที่ไปพูดอะไรทำร้ายเขาหรือเปล่า แต่ผมก็คิดว่าดี แล้วก็เชิญพูดตรงไปตรงมาใส่กันได้เลย จะได้รู้ว่าขอบเขตของการที่เราไม่ชอบกันคือเรื่องอะไรบ้าง แล้วที่เหลือก็อยู่ด้วยกันไปอย่างนี้
The People:
หลายคนมองว่าต้องจัดการปัญหางานตรงหน้าก่อน เรื่องความสัมพันธ์อาจจะไว้ทีหลัง
จนสุดท้ายละเลยคนที่อยู่ข้าง ๆ?
ธนกฤต
: อันนี้เห็นด้วย แต่มันจะแปรผันไปตามปีที่คุณอยู่บนโลกนี่แหละ พออายุอานามร่างกายมันแจ้งว่าเข่าคุณเริ่มปวด นั่งทำงานแล้วปวดคอปวดหลัง คุณจะเริ่มหันมามองคนที่แก่กว่าคุณ คนที่เขาดูแลคุณมาแล้ว หรือหันไปมองแฟนที่แก่ไปพร้อม ๆ กันแล้วว่า เฮ้ย เรายังปวดเลยแล้วเขาล่ะ เอาน่ะ สุกี้สักมื้อหนึ่งไม่เป็นไรหรอกมั้ง ปิดคอมพ์ก่อน ผมก็เคยเป็นแบบนั้นนะ ก็จะบอกพี่เลขาว่าอันนี้เรายังไม่คุยกับลูกค้าคนนี้ได้ไหม เดี๋ยววันนี้พี่ทำอันนี้ก่อน ถ้าเราจะประเมินมูลค่าของมันก็คือมื้ออาหารหนึ่งของพ่อกับแม่ก็มีมูลค่าเหมือนกัน เวลาของเขาก็มีมูลค่า
The People: ‘ยิ่งใกล้ยิ่งไม่รู้จัก
’
กับมุมมองความรักที่แฝงเอาไว้
ธนกฤต
: เพื่อนคนหนึ่งบอกว่า เฮ้ย ไอ้ความรักนี่มันแปลก ๆ นะ หน้าตามันแปลก ๆ บางทีอยู่ดี ๆ ตื่นมาก็นึกว่า เอ๊ะ หรือว่ากูไม่ได้รักกันแล้ววะ ลองถามตัวเองดูหน่อยสิยังรักแฟนเหมือนเดิมไหม อ๋อ จำไม่ได้ว่ารักกันล่าสุดเมื่อไหร่ เลยรู้สึกอ๋อ... เรื่องมันธรรมดามากเลย บางคนพอรู้สึกว่าไม่ชอบแล้วเบื่อ ก็นั่งคุยกันว่า เฮ้ย เราไม่ชอบเธอแล้วได้เปล่าวะ ก็จะได้ไม่ต้องเสียเวลากันมาเป็นหลาย ๆ ปี แต่บางคนเลือกที่จะอยู่ไปกับมัน อยู่ไปอย่างนั้น ตื่นมาก็เจอ ๆ กัน ซื้อกับข้าวไปฝากกัน ช่วยกันเลี้ยงลูก แต่ว่าวันสุดท้ายพอเช็กตัวเองปุ๊บ... ไม่มีก็ไม่เป็นไรนี่หว่า ก็เลยคิดว่าจะเลือกเส้นทางแบบไหน ผลสรุปของคนที่ไม่รักกันก็คือไม่รักกันอยู่ดี
บางทีจะมีเงื่อนไขอื่น ๆ เข้ามา เช่น ความนาน ความเกรงใจ ความไม่อยากเห็นน้ำตาเขา ความไม่อยากให้ลูกมีปัญหา ความขี้เกียจอธิบายให้เพื่อนฟังว่าเกิดอะไรขึ้น ก็มี มันก็อาจจะยากหน่อย แต่อันนี้ผมก็เลยเขียนแนบท้ายเอาไว้ในเบื้องหลังที่โพสต์ในอินสตาแกรมว่าจริง ๆ คุณเลือกทางไหนแล้วแต่คุณเลย เพราะว่าความรักเป็นสิ่งที่คุณถือครองอยู่แล้ว จะจัดการกับมันในรูปแบบไหนก็ได้ คุณจะเสียเวลาก็ได้ ไม่มีใครว่าเลย มันไม่ผิดเลย จะเสียใจทีเดียวก็ไม่ผิดอยู่ดี
The People:
ถ้าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้จะเลือกทางไหน
ธนกฤต
: จากประสบการณ์ 35 ปีนะครับ ผมมีแฟนมาไม่บ่อยครั้ง แต่ว่าส่วนมากจะเลือกบอกไปเลย เหมือนว่าเราก็ไม่อยากตื่นมาเจออะไรแบบนี้แล้ว เขาก็จะได้ไปทำอะไรอย่างอื่น จะไปชอบใคร จะดีกว่าเราหรือแย่กว่าเราก็เป็นเรื่องชีวิตของเขา ก็เลือกที่จะคุยกันเลย
The People:
เรื่องที่รู้สึกว่า
‘
โชคดีมาก ๆ
’
ที่ได้เจอในวงการบันเทิง
ธนกฤต
: ผมว่าผมโชคดีที่คนที่เข้ามาวอแวในชีวิตทั้งหลายเป็นคนที่ดี คืออัตราการโดนโกงน้อยมาก อัตราการโดนทำร้ายทั้งทางร่างกายและหัวใจน้อยมาก เราได้เจอทีมงานที่ดี แล้วก็มิตรที่ดีหมดเลย มีทะเลาะเบาะแว้งกันบ้างระหว่างทาง แต่ว่าสุดท้ายส่วนมากจะจบกันด้วยงานที่เราตั้งใจสร้างกันขึ้นมา ตั้งแต่วันนู้นถึงวันนี้เข้าปีที่ 16 แล้วก็เลยทำให้ผมรู้สึกว่าผมยังมีความสุขกับการทำงานตรงนี้ นั่นแปลว่าผมอาจจะโชคดีที่เหมือนเป็นคนที่มีมิตรที่ดีมั้ง
The People:
ความฝันต่อไปของ
“
ว่าน
-
ธนกฤต
”
ธนกฤต
: หลังจากอายุ 40 ไปแล้วผมคิดว่ายังอยากทำเพลงอยู่บ้าง แล้วก็ทำงานเบื้องหลังเยอะขึ้นอีกหน่อยหนึ่ง แล้วถ้าผมพอจะมีประโยชน์ต่อการให้คำแนะนำกับใครที่ยังไม่เข้าใจเรื่องไหน ถ้าผมพอจะช่วยได้ อันนั้นเป็นสิ่งที่ผมอยากทำในวันข้างหน้า น้อง ๆ จะเป็นวง จะเป็นเดี่ยว จะเป็นอยากเขียน อยากปล่อยเพลง ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดีถ้าผมได้ทำแบบนั้น เหมือนผมลองเจอทางวัฒนธรรมของค่ายเล็ก ค่ายใหญ่ ไร้ค่าย ทดสอบมาหมดแล้ว ลองไปเตะในทุกลีกเลย ก็เลยน่าจะพอมีคำแนะนำให้บ้างจากประสบการณ์ที่บวกไปเกือบ 10 ปี อย่างน้อยก็ไม่ต้องลองผิดลองถูก เดี๋ยวมี shortcut อะไรบางอย่างให้ได้ ถ้าเราสร้างคนที่ดีต่อไปได้นี่ก็น่าจะเป็นความฝันถัดไปของผม
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
‘บิ๊กโจ๊ก’ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ตำแหน่งใหญ่ขณะอายุน้อย บารมีมาก เส้นทางสีกากีติดไฮสปีด
15 ก.ย. 2566
3733
ถอดรหัส ‘Naatu Naatu’ เพลงประกอบหนังอินเดียฉากร้อง-เต้นใน RRR ได้ออสการ์-Golden Globes
13 มี.ค. 2566
7075
‘เอมิลิโอ เฟอร์นันเดส’ ชายผู้เป็นต้นแบบของตุ๊กตารางวัล ‘ออสการ์’
12 มี.ค. 2566
1021
แท็กที่เกี่ยวข้อง
Interview
ว่าน ธนกฤต
ว่าน-ธนกฤต พานิชวิทย์