28 ส.ค. 2563 | 21:49 น.
“เห็นได้ชัดเลยว่า... เขามียีนส์ของนักแสดงอยู่ในตัว”
ตลอดชีวิต 36 ปีที่อยู่บนโลกใบนี้ จอห์น เดวิด วอชิงตัน (John David Washington) นักแสดงนำจากเรื่อง Tenet (ที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในปัจจุบัน) ไม่เคยต้องการสิทธิพิเศษ หรือความสนใจจากคนรอบข้าง เพียงเพราะว่าเขาเป็นลูกชายคนโตของพระเอกระดับตำนานอย่าง เดนเซล วอชิงตัน จอห์น เดวิด หลงรักการแสดงมาตั้งแต่เด็ก เมื่อตอนอายุ 5 ขวบ เขาได้มีโอกาสดูพ่อของเขาแสดงละครเวทีอยู่บ่อย ๆ จนกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เขาอยากเจริญรอยตามพ่อ จอห์น เดวิด เข้าสู่วงการฮอลลีวูดครั้งแรกในภาพยนตร์เรื่อง Malcolm X โดยเป็นการแสดงร่วมกับพ่อของเขา ในหนังของผู้กำกับ สไปก์ ลี “ตอนที่เราเดินไปตามท้องถนน บางครั้งพ่อ (เดนเซล) ก็ท่องบทของตัวเอง ผมชอบภาษา ชอบคำเหล่านั้น ตอนนั้นผมรู้ทันทีว่า มันคือสิ่งที่ผมอยากจะทำ” จอห์น เดวิด เล่า ความสำเร็จที่ทำให้ทุกอย่างในชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงไป... ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ จอห์น เดวิด จะสร้างชื่อให้กับตัวเองในฐานะนักแสดง เพราะทุกครั้งที่เขาอยากแสดงหรือมีความฝัน สุดท้ายก็ไม่วาย โดนเอาไปเปรียบเทียบ กับพ่อที่เป็นซุป’ตาร์ เจ้าของรางวัลออสการ์ ทุกที นับตั้งแต่ความสำเร็จของหนัง Malcolm X นั่นคือช่วงเวลาที่จอห์น เดวิด รับรู้ว่าต่อไปนี้ เขาไม่ใช่จอห์น เดวิด วอชิงตันอีกต่อไป แต่เป็น “ลูกชายของเดนเซล วอชิงตัน” [caption id="attachment_26358" align="aligncenter" width="1536"] สองพ่อลูกตระกูลวอชิงตัน[/caption] รัศมีของผู้เป็นพ่อคอยบดบังความฝันของ จอห์น เดวิด โดยไม่ตั้งใจ ทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะยอมกลายเป็น “ลูกไม้หล่นไกลต้น” ในสายตาคนอื่น และเลือกเส้นทางที่แตกต่างกับพ่อของเขาแทน นั่นคือช่วงเวลาที่ จอห์น เดวิด ยอมทิ้งความฝันที่อยากเป็นนักแสดงเหมือนพ่อ และหันมาทำในสิ่งที่ตัวเองทำได้ดีอย่างการเล่น “อเมริกาฟุตบอล” แทน ฟุตบอลอาจไม่ใช่ความฝันสูงสุดแต่มันก็เป็นทางหนีจากชื่อเสียงของพ่อที่ดีที่สุด ด้วยความสูงแค่ 1.77 ซม. ทำให้จอห์น เดวิด ทำได้ดีในตำแหน่งรันนิงแบ็กหรือตัววิ่ง เขาทุ่มเทชีวิตให้กับฟุตบอลและระบายอารมณ์เหล่านั้นทั้งหมดลงในกีฬาชนิดนี้ เขาเรียกอาชีพนักฟุตบอลของตัวเองว่า "กบฏเชิงบวก" ซึ่งเป็นวิธีที่ที่จะแยกตัวออกจากชื่อเสียงของพ่อ ในสนามเขาเป็นเพียงชายอีกคนหนึ่งที่สวมเฮลเม็ทส์ (หมวกนิรภัย) ถือบอลวิ่งเข้าเอนด์โซน เพื่อทำทัชดาวน์ ไม่ใช่ลูกของนักแสดงดังอีกต่อไป ชีวิตของ จอห์น เดวิด ในวงการกีฬาคนชนชน ไปได้สวยถึงขนาดได้รับทุนจาก มอร์เฮาส์ คอลเลจ แต่ถึงกระนั้นเมื่อถึงกำหนดการดราฟต์ของ NFL ปี 2006 เขากับถูกเมินในการเซ็นสัญญาเข้าลีก โดยแมวมองหลายคนมองว่าเขาทั้งตัวเล็กและวิ่งช้าเกินไปสำหรับ NFL แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงตลาดฟรีเอเยนต์ จอห์น เดวิด ก็ได้รับโอกาสจากทีมเซนหลุยส์ แรมส์ (แอลเอ แรมส์ ในปัจจุบัน) ให้เข้ามาอยู่ในทีมฐานะตัววิ่งสำรอง แม้จะมีกระแสว่าเขาได้เข้ามาอยู่ในลีกได้ก็เพราะอิทธิพลจากพ่อของเขา “พ่อของผมไม่เคยช่วยผมในอุตสาหกรรมนี้เลย บางทีการยกชื่อของเขามาเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้ ก็ทำให้ผมเจ็บปวดเหมือนกันนะ” จอห์น เดวิด เล่า ครั้งหนึ่งเวย์น โมเสส อดีตโค้ชตัววิ่งของแรมส์ที่เคยทำงานร่วมกับนักแสดงหนุ่ม เคยออกมาพูดถึงจอห์น เดวิด สมัยเป็นรุกกี้ว่าเขาเป็นพวกทำงานหนักและไม่เคยใช้ชื่อเสียงของพ่อเพื่อขอโอกาสใด ๆ “คุณคงไม่เคยรู้ว่าเขาต้องแบกรับตัวเองมาก่อน เขาเป็นแค่ผู้ชายที่พยายามเป็นส่วนหนึ่งในทีม เขาไม่เคยต้องการอะไรนอกจากโอกาส ตามธรรมเนียมพวกรุกกี้ต้องไปกินอาหารเช้ากับพวกรุ่นเดอะ ซึ่งเขาไม่เคยบ่นเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ตอนแรกเขาเหมือนพวกมือใหม่ที่เงียบ ๆ เท่านั้น" โมเสส เล่าถึงจอห์น เดวิด สมัยเป็นรุกกี้ [caption id="attachment_26362" align="aligncenter" width="1536"] จอห์น เดวิด ในสีเสื้อของแรมส์[/caption] จอห์น เดวิด เป็นคนที่ขยันฝึกซ้อม และหมั่นทำงานหนักเสมอ แต่ครั้งแล้วครั้งเหล่าเขาก็ไม่เคยได้รับโอกาสได้เล่นอย่างเป็นทางการเสียที โอกาสเดียวที่เขาได้รับตอนนั้นคือ การลงเล่นในทีมพิเศษ “ทุก ๆ วันในการฝึกซ้อม ผมเพียงแค่หวังว่าจะได้รับโอกาส ผมใช้ชีวิตเหมือนกับว่า ต้องเอาชีวิตให้รอดวันต่อวัน พร้อมกับคิดว่าวันใดวันหนึ่งผมอาจจะได้รับโอกาสลงเล่นบ้าง หรือบางทีพวกเขาอาจจะรับรู้ได้ถึงการทำงานหนักของผม ยิ่งไปกว่านั้นผมกลับบ้านไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะทุกครั้งที่กลับไปมันเหมือนว่า ผมล้มเหลว” หลังจากสองฤดูกาลในเซนต์หลุยส์ จอห์น เดวิด ก็ถูกแรมส์ตัดชื่อทิ้ง เนื่องจากทำผลงานไม่เข้าเป้า แม้ช่วงแรกเขาจะพยายามดิ้นร้นเพื่อหาโอกาสให้ตัวเอง โดยการไปเล่นในลีกรองหลาย ๆ ที่ ไม่ว่าจะเป็น NFL ในยุโรปหรือลีก UFL กับทีมซาคราแมนโต้ ไลออนส์ แต่สุดท้ายเขาก็รับรู้ว่าอาชีพนักอเมริกันฟุตบอลของเขาเดินทางมาถึงทางตันแล้ว บวกกับอาการเอ็นรอยหวายฉีกขาดที่เรื้อรังมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งหมดเหมือนเป็นการตอกย้ำให้เขารู้จักชีวิตที่ล้มเหลว “มันเหมือนเป็นการตัดสินประหารชีวิตเลยนะ ตอนหมอบอกว่าเอ็นร้อยหวายผมขาด ตอนนั้นผมอายุ 28 ซึ่งในฐานะตัววิ่ง เส้นทางของผมมันจบแล้ว” เมื่อความล้มเหลวในชีวิตเดินทางเข้ามา จอห์น เดวิด ตัดสินใจเลือกเส้นทางที่เขาเลี่ยงมาโดยตลอด เส้นทางที่เขารู้ว่าแม้ตัวเองจะทำได้ดีขนาดไหน แต่ก็คงหนีไม่พ้นเงาของพ่ออยู่ดี ไม่นานหลังจากเข้ารับการผ่าตัดเอ็นร้อยหวาย จอห์น เดวิดได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนเก่าของเขา แอนดรูว์ ฟิงเคลสไตน์ ซึ่งปัจจุบันเป็นเอเยนต์คนสำคัญของวงการฮอลลีวูด ฟิงเคลสไตน์ โทรมาเพื่อบอกว่า HBO กำลังพัฒนาซีรีส์ที่ชื่อว่า Ballers และกำลังมองหานักแสดงหนุ่มที่จะแสดงเป็นนักอเมริกันฟุตบอล ซึ่งเขาจำได้ว่าหลายปีก่อน จอห์น เดวิด เคยพูดว่า อยากจะแสดงหนังสักเรื่อง [caption id="attachment_26388" align="aligncenter" width="1200"] Ballers[/caption] แม้จะเป็นโอกาสทีดีแต่ตอนแรก จอห์น เดวิด ไม่ต้องการไปออดิชั่นอีกแล้ว (หลังรีไทร์จากฟุตบอล เขาหันมาออร์ดิชั่นงานแสดงมากขึ้น แต่ก็ถูกปฏิเสธไปหมด) เขาอยากกลับไปเรียนการแสดงมากกว่า และมองว่าตลอดอาชีพค้าแข้งของเขามันทำให้ตัวเองคุ้นเคยกับประสบการณ์การโดนปฏิเสธมากเกินไป ฟิงเคลสไตน์ พยายามโน้มน้าวและบอกให้ จอห์น เดวิด เริ่มคุ้นเคยกับการถูกปฏิเสธเหล่านั้น ซึ่งสุดท้ายเขาก็ใจอ่อนและหันไปออดิชั่นอีกครั้ง ก่อนที่บท ริกกี้ เจอร์เร็ต ใน Ballers จะทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล “ชีวิตผมก็วน ๆ อยู่อย่างนั้น ผมไม่เคยได้รับบทเลย จนกระทั่งการไปออดิชั่นรอบที่ 10 ที่พวกเขามอบบทนั้นให้กับผม” จอห์น เดวิด จงใจไม่ทำการแถลงข่าวหรือโปรโมตตัวเองใด ๆ ในช่วงปีแรก ๆ ของอาชีพนักแสดง เขากลายเป็นคนที่ไม่มีใครรู้จัก…จนกระทั่งเขาแฟนซีรีส์หลายพันคนค้นพบพร้อม ๆ กันว่านักแสดงที่รับบทเป็น ริกกี้ เจอร์เร็ตคนนี้คือลูกชายของเดนเซล วอชิงตัน “ผมไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ว่าผมเป็นใคร ผมไม่ต้องการให้มันมารบกวนการทำงาน โดยมาโยงเรื่องนี้กับอะไรก็ตาม อย่างน้อยผมก็จะเป็นผู้ชายที่พวกเขาชอบหรือไม่ชอบ ไม่ใช่การเป็นลูกชายของคนดังสักคน” ความสำเร็จใน Ballers ทำให้จอห์น เดวิด ได้รับโอกาสอีกมากมาย โดยเฉพาะบทตำรวจผิวสีที่แอบเข้าไปอยู่ในขบวนการเหยียดผิวสี ในหนังของสไปก์ ลี อย่าง BlacKkKlansman ซึ่งเพียงห้าปีนับตั้งแต่เกมสุดท้ายในฐานะนักอเมริกันฟุตบอลของ จอห์น เดวิด เขาผ่านภาพยนตร์ไปแล้วสี่เรื่อง และกำลังทำได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ “บทบาทต่าง ๆ ที่ผมได้รับ ดูเหมือนจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ผมสงบลงและมั่นใจในความสามารถของตัวเองมากขึ้น“ [caption id="attachment_26363" align="aligncenter" width="960"] ประกบคู่กับโรเบิร์ต แพตตินสัน ใน Tenet[/caption] ปัจจุบัน จอห์น เดวิด ก้าวกระโดดขึ้นไปอีกขั้น กับ Tenet หนังเรื่องใหม่ของผู้กำกับคริสโตเฟอร์ โนแลน ที่กำลังได้รับความนิยมไปทั่วโลก ครั้งหนึ่งจอห์น เดวิด เคยพูดถึงคนที่เคยดูถูกเขา ว่า “พอผมผ่านหนังมาหลายเรื่อง หลายคนก็คงงว่า ’ห๊ะ ลูกของเดนเซล วอชิงตัน อ่ะนะ!’ พวกเขาเหล่านั้นคิดเสมอว่า ผมแสดงหนังไม่ได้หรอก” เขาได้ค้นพบสิ่งที่อยากทำไปตลอดชีวิต มันไม่ใช่การเล่นอเมริกันฟุตบอล หรือเล่นเปียโนเก่งเหมือนแม่ แต่ทั้งหมดคือการได้เป็นนักแสดงกับเหมือนพ่อ “นี่คือชีวิตของผม ความชอบในอาชีพนี้และความรักของผมไม่ได้มาจากความหรูหราและความเย้ายวนใจของมัน แต่เป็นกระบวนการของมัน การทำงานแบบนี้ คือสิ่งที่ผมอยากมีส่วนร่วมและชื่นชอบ ตอนนี้มันเป็นส่วนหนึ่งของผม มันเหมือนกับการหายใจ” ที่มา: https://www.si.com/nfl/2018/07/31/john-david-washington-blackkklansman-spike-lee-ballers-denzel https://theundefeated.com/features/john-david-washington-outran-father-denzel-long-shadow-with-a-football-in-hand/ https://www.espn.com/video/clip/_/id/17173094