09 ก.ย. 2563 | 17:36 น.
“เพื่อนช่วยไปบอกบอสพวกนายหน่อยได้ไหมว่าฉันอยากกลับไป...”ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว คงไม่มีใครเชื่อว่าชาตินี้เราจะได้เห็นภาพ ไมเคิล โอเว่น (Michael Owen) ยอดกองหน้าทีมชาติอังกฤษ ผู้เปรียบเสมือนฮีโร่และสัญลักษณ์ของลิเวอร์พูล สวมเสื้อ ชูผ้าผันคอ ทำประตู และคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกกับทีมคู่ปรับตลอดกาลอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แม้จะเป็นภาพที่ไม่น่าเชื่อแต่มันก็เกิดขึ้นแล้วเมื่อปี 2009 เรื่องราวของโอเว่นสร้างรอยแผลเป็นในใจให้สาวกเดอะค็อปหลายต่อหลายคนผู้ที่เคยรักและชื่นชมในตัวนักเตะเจ้าของฉายา “เบบี้ โกล”คนนี้ แม้ครั้งหนึ่งเขาจะเคยถูกเรียกว่าเป็นตำนานของทีม แต่การย้ายทีมไปอยู่กับแมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร ในสายตาของเดอะค็อปนี่คือการตัดสินใจที่หักหาญน้ำใจของแฟนบอลเกินไป เชื่อว่าคำถามสำคัญที่ติดอยู่ในใจแฟนบอลมาตลอดก็คือ เหตุใดโอเว่นจึงยอมฉีกกฎฉีกประเพณีทุกข้อเพื่อย้ายไปอยู่กับทีมคู่ปรับตลอดกาล อะไรคือเหตุผลที่เขายอมทิ้งมรดกที่เคยได้รับจากลิเวอร์พูลทั้งหมด เพื่อแลกกับการลิ้มรสชาติที่เรียกว่า “แชมป์พรีเมียร์ลีก” โอเว่นถือเป็นผู้เล่นที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ เขาเติบโตมาจากอะคาเดมีของลิเวอร์พูล ก่อนจะก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ในปี 1996 ภายใต้สีเสื้อของทีมหงส์แดง โอเว่นฝากผลงานชิ้นโบว์แดงเอาไว้ด้วยการระเบิดประตูไป 158 ลูก จากการลงเล่น 297 เกม และช่วยทีมคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ 1 สมัย ลีก คัพ 2 สมัย และยูฟ่า คัพ 1 สมัย แถมด้วยฟอร์มการเล่นสุดสะเด่าในฤดูกาล 2000-2001 ยังส่งให้เขากลายเป็นนักเตะลิเวอร์พูลคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมหรือบัลลงดอร์อีกด้วย [caption id="attachment_26708" align="aligncenter" width="1780"] ครั้นที่เคยเป็นอดีตขวัญใจเดอะค็อป[/caption] หลังคว้าบัลลงดอร์ในปี 2001 สามปีต่อมา จู่ ๆ โอเว่นที่เหลือสัญญากับทีมอยู่แค่ปีกว่า ๆ ก็ตัดสินใจเข้าพบผู้บริหารของทีมเพื่อขอย้ายไปอยู่กับเรอัล มาดริด แม้ลิเวอร์พูลจะพยายามยื่นสัญญาฉบับใหม่ให้โอเว่น แต่ก็ไม่อาจรั้งให้โอเว่นอยู่ต่อได้ สุดท้ายในปี 2004 โอเว่นได้ย้ายออกจากลิเวอร์พูลไปอยู่กับเรอัล มาดริด สมใจ ด้วยค่าตัวเพียง 8 ล้านปอนด์ ตอนนั้นหลายสื่อสำนักของอังกฤษพยายามตีข่าวทำนองว่าโอเว่นดึงเกมงอแง ไม่ต่อสัญญา จนสโมสรต้องยอมขายเขาขาดทุนก่อนฤดูกาลจะเปิดเพียงหนึ่งวันเท่านั้น หลายปีต่อมาโอเว่นให้สัมภาษณ์แบบย้อนแย้งว่า ในฐานะนักเตะลูกหม้อคนหนึ่ง เขาไม่เคยอยากจากลิเวอร์พูลไปไหน ซึ่งการก้าวเท้าออกจากสโมสรแรกที่ให้โอกาสเขาไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ขณะเดียวกันการจะทิ้งโอกาสในการเติบโตบนเส้นทางอาชีพก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน “เมื่อเรอัล มาดริด ติดต่อมาอยากให้ผมย้ายไปเล่นกับพวกเขาในปี 2004 ใจผมส่วนหนึ่งก็รู้สึกยินดี แต่อีกส่วนหนึ่งก็ว้าวุ่นใจ เพราะสิ่งสุดท้ายที่ผมคิดตลอดมาคือการก้าวออกจากลิเวอร์พูล แม้ท้ายที่สุดผมจะเป็นคนที่ตอบตกลงเรื่องนี้เอง (ย้ายทีม) แต่คุณรู้อะไรไหม ความรู้สึกเมื่อคุณกำลังจะเซ็นสัญญาและคิดว่าจะไม่ได้กลับมาอีก ผมจำได้ว่าตอนออกจากบ้านไปสนามบิน น้ำตาผมมันไหลออกมาตลอดทางเลย พร้อมกับความคิดในหัวที่ว่า ‘นี่ผมกำลังทิ้งอะไรไว้ข้างหลังหรือเปล่า? “แต่ผมก็มีความรู้สึกอยากเอาชนะความท้าทายนั้น ผมคิดว่าถ้าผมตัดสินใจไปเล่นที่นั่น ผมก็หวังว่าตัวเองจะกลับมาที่นี่ได้เสมอเหมือนที่ เอียน รัช เคยทำ (ย้ายออกจากลิเวอร์พูลไปยูเวนตุส ก่อนจะย้ายกลับมาหนึ่งปีให้หลัง) ภาพของพลพรรคกาลาคติกอสซึ่งทุกคนใส่ชุดสีขาว สนามที่น่าทึ่ง และวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ผมรู้สึกว่าตัวเองต้องไปลองดูสักตั้ง” โอเว่นยังเปิดเผยด้วยว่า ตอนนั้น เจมี คาร์ราเกอร์ เพื่อนร่วมทีมของเขาพยายามอย่างหนักที่จะหยุดเขาไม่ให้ย้ายออกจากลิเวอร์พูล โดยอดีตกองหลังหงส์แดงเคยเตือนโอเว่นว่า การย้ายไปร่วมทีมราชันชุดขาวในยุค ‘กาลาคติกอส' อาจไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก “ตอนนั้นเราอยู่ในช่วงทัวร์ปรีซีซั่นที่อเมริกา และตัวแทนของผมก็โทรมาตอนที่ผมอยู่ในห้องกับเจมี่ (คาร์ราเกอร์) ซึ่งเขาได้ยินเรื่องราวทั้งหมด พอผมวางสายโทรศัพท์ เขาก็พูดว่า ‘ไม่ต้องไปหรอก พวกเขามีทั้ง ราอูล โรนัลโด้ และเฟอร์นันโด มอริเอนเตส นายจะไม่ได้เล่นเลยนะ’” #ความล้มเหลวที่มาดริด ดูเหมือนว่าสิ่งที่คาร์ราเกอร์พยายามเตือนโอเว่นจะกลายเป็นเรื่องจริง เพราะตลอดหนึ่งฤดูกาลที่ซานติอาโก้ เบร์ นาเบว โอเว่นทำไปได้ 16 ประตู จาก 45 เกม แถมยังโดนรัศมีของเหล่าซูเปอร์สตาร์กลบมิดชนิดไม่ได้เกิด ตอนนั้นโอเว่นรู้ตัวทันทีว่านี่ไม่ใช่ที่ของเขา และมองหาโอกาสกลับมาเล่นในเวทีพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าจุดมุ่งหมายปลายทางของเขาคือการกลับมาเล่นในแอนฟิลด์ [caption id="attachment_26707" align="aligncenter" width="1978"] ความล้มเหลวที่สเปน[/caption] ลิเวอร์พูลเองก็แสดงท่าทีสนใจจะดึงอดีตกองหน้าเบอร์หนึ่งของทีมกลับมา แต่ขณะเดียวกัน นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ภายใต้การคุมทีมของแกรม ซูเนสส์ ก็เดินเกมเร็ว เข้าร่วมวงประมูลพร้อมยื่นเงิน 17 ล้านปอนด์ให้เรอัล มาดริด พิจารณาทันที ซึ่งฝั่งหงส์แดงที่ไม่อยากเสียค่าโง่และไม่อยากขาดทุนเพื่อดึงโอเว่นกลับมา สุดท้ายต้องจำใจปล่อย เบบี้ โกลให้ย้ายไปเป็นขวัญใจของสาวกทูนอาร์มี่แทน โอเว่นค้าแข้งอยู่กับนิวคาสเซิลได้สี่ปี ก่อนที่ทีมจะมีอันเป็นไปต้องตกชั้นในฤดูกาล 2008–09 โอเว่นที่หมดสัญญากับทีมพอดีได้รับความสนใจจากหลายทีมในพรีเมียร์ลีก แต่ที่เซอร์ไพรส์ก็คือครั้งนี้มีชื่อของแมนฯ ยูไนเต็ด โผล่ขึ้นมาด้วย ทุกคนรู้ดีว่าโอเว่นอยากย้ายกลับไปลิเวอร์พูลขนาดไหน แต่ด้วยวัย 30 และกำลังเข้าสู่ช่วงท้ายของอาชีพ บวกกับที่ลิเวอร์พูลกำลังหลงใหลได้ปลื้มกับศูนย์หน้าฟอร์มฮอตคนใหม่ของทีมอย่าง เฟอร์นานโด ตอร์เรส แน่นอนว่าไม่มีเหตุผลอันใดที่พวกเขาจะดึงโอเว่นกลับมา และเมื่อรู้ว่าลิเวอร์พูลไม่มีที่ว่างให้เขาอีกแล้ว โอเว่นที่ไม่เหลือทางเลือกมากนัก ยอมแลกทุกอย่างเพื่อรักษาโอกาสที่จะได้เล่นฟุตบอลระดับสูงต่อไป สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจเลือกทีมที่ดีที่สุดในชอยส์นั่นก็คือ แมนฯ ยูไนเต็ด “เมื่อเส้นทางของผมที่นิวคาสเซิลจบลง ผมเลือกที่จะเซ็นกับทีมไหนก็ได้ สิ่งแรกที่ผมทำตอนนั้นคือโทรหา เจมี (คาร์ราเกอร์) กับ สตีวี (เจอร์ราร์ด) ผมบอกกับพวกเขาว่า ‘ช่วยไปถาม ราฟา (เบนิเตซ) ทีว่าเขาอยากได้ฉันไปเล่นให้ไหม เพราะฉันอยากย้ายกลับไป' แต่น่าเศร้าที่ตอนนั้นลิเวอร์พูลไม่ต้องการผม เพราะพวกเขามี เฟอร์นานโด ตอร์เรส อยู่ที่นั่นแล้ว ผมผิดหวังมากกับความหวังที่เกือบจะเป็นจริง ผมมานั่งคิดว่าความฝันที่จะกลับไปเล่นให้ลิเวอร์พูลคงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว ผมยังอยากเล่นฟุตบอลในระดับสูงสุด และต้องการหาทีมที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ดังนั้นผมจึงต้องมองหาทางเลือกของตัวเอง มีหลายสโมสรสนใจผม แต่ตอนนั้นไม่มีทางที่ผมจะละเลยความสนใจจากแมนฯ ยูไนเต็ด ได้ [caption id="attachment_26706" align="aligncenter" width="1482"] ระเบิดประตูในใส่เยอรมนีในสีเสื้อสิงโตคำราม[/caption] “เมื่อ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน โทรมาชวนผมไปเล่นให้แมนฯ ยูไนเต็ด แน่นอนว่าผมนั่งคิดในใจว่า 'โอ้ นี่อาจจะทำลายหลาย ๆ สิ่งที่เราเคยทำในสายตาของคนบางคน แต่ไมเคิล นายยังไม่แก่เกินไปที่จะเล่นแชมเปียนส์ลีก นายยังอยู่ในระดับหัวแถวได้' สุดท้ายแล้วผมก็คิดได้ว่า ถ้าปฏิเสธแมนฯ ยูไนเต็ด นี่อาจถึงเวลาที่ผมจะต้องปลดเกษียณตัวเองเช่นกัน “แน่นอนว่าผมคิดอยู่แล้วว่าผมจะได้รับคำวิจารณ์จากการตัดสินใจในครั้งนี้ ตอนนั้นผมทำทุกอย่างที่ทำได้ และไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านั้นอีกแล้ว สถานการณ์มันทำให้รู้ว่าผมกลับไปลิเวอร์พูลไม่ได้อีกแล้ว ตอนที่ผมกลับไปที่แอนฟิลด์และมีคนโห่ไล่ผม มันเป็นเหมือนกริชที่คอยทิ่มหัวใจของผม รวมถึงความรู้สึกที่เคยมีและความรู้สึกที่ยังมีอยู่ พ่อแม่ของผมก็หัวเสียมากเลยแหละ ส่วนผมก็ต้องเลือกว่าจะหัวเสียไปตลอดชีวิตหรือทำได้แค่เก็บไว้ลึก ๆ ในใจ สิ่งที่ทำให้ผมสบายใจคือการรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในทุกขณะชีวิต” ย้อนกลับไปหลายปีก่อน เป็นที่ทราบกันดีว่า เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ต้องการจะเซ็นสัญญากับ คาริม เบนเซม่า มาร่วมทีมให้ได้ แต่สุดท้ายกองหน้าทีมชาติฝรั่งเศส ตัดสินใจเลือกไปอยู่กับเรอัล มาดริด แทน ซึ่งโอเว่นย้อนความหลังพร้อมกับขอบคุณเบนเซม่าว่า หากวันนั้นเบนเซม่าเลือกยูไนเต็ด เขาก็คงไม่มีทางได้มาโลดแล่นในโรงละครแห่งความฝันเป็นแน่ “ผมขอบคุณเบนเซม่าเลยนะ เพราะถ้าไม่มีเขา ผมคงไม่ได้มาลงเอยกับแมนฯ ยูไนเต็ดแน่ ๆ เซอร์อเล็กซ์เคยบอกกับผมว่าผมจะได้มาเล่นกับยูไนเต็ด ก็ต่อเมื่อพวกเขาเซ็นเบนเซม่าไม่ได้ แต่ก็นะ...ทั้งหมดคือสิ่งที่เกิดขึ้น” ใครที่ติดตามวงการฟุตบอลอังกฤษ คงจะทราบเรื่องราวการขับเคี่ยวเพื่อแย่งชิงความเป็นที่หนึ่ง ระหว่างแมนฯ ยูไนเต็ด และลิเวอร์พูล ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังเป็นที่ทราบกันดีว่าทั้งสองสโมสรมีกฏเหล็กอยู่ข้อหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ ทั้งสองสโมสรจะไม่ทำการซื้อขายนักเตะของอีกทีมโดยตรงเด็ดขาด แม้ครั้งนี้จะไม่ใช่การย้ายทีมโดยตรง แต่การตัดสินใจของโอเว่นก็เหมือนเป็นการตัดสายใยระหว่างเขากับลิเวอร์พูลให้ขาดลงในทันที [caption id="attachment_26705" align="aligncenter" width="1536"] โอเว่น ในวันที่ย้ายมายูไนเต็ด[/caption] มิหนำซ้ำตลอดการค้าแข้งในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด โอเว่นที่สวมหมายเลข 7 (เบอร์ตำนานของยูไนเต็ด) ดันทำสิ่งที่ลิเวอร์พูลต้องการมาตลอดสองทศวรรษได้สำเร็จ นั่นก็คือการคว้าแชมป์ลีกนั่นเอง หลายปีต่อมา โอเว่นรู้ดีว่าในสายตาของเหล่าเดอะค็อป เขากลายเป็นพวกทรยศ และไร้ซึ่งความภักดีต่อสโมสร บ่อยครั้งเขาพยายามออกมาให้สัมภาษณ์ว่า เขาไม่คิดมากหากใครจะคิดแบบนั้น เพราะส่วนตัวเขามองว่าการย้ายทีมก็ไม่ต่างกับการย้ายที่ทำงาน และที่สำคัญเขาทำไปก็เพื่อต่อโอกาสในการเล่นฟุตบอลของตัวเอง “ฟุตบอลเป็นงานอย่างหนึ่ง เป็นงานที่พิเศษ และเป็นงานที่มีสิทธิพิเศษ แต่มันก็เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับผู้เล่นและผู้จัดการทีม แน่นอนว่าแฟนบอลที่มีแพชชั่นสูง ๆ ไม่คิดแบบนั้น และนั่นจึงทำให้ปัญหาต่าง ๆ เริ่มต้นขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโซเชียลมีเดียสามารถทำให้ผู้คนเข้าถึงคุณได้ง่ายขึ้น แฟนบอลไม่มีทางเปลี่ยนทีมเชียร์ เราเข้าใจดี มันเป็นวิถีชีวิตของเขา มันเป็นความลุ่มหลงของพวกเขา แต่ทั้งหลายทั้งปวงพวกเขาก็สามารถเปลี่ยนงานได้เรื่อย ๆ โดยพวกเขาไม่เห็นว่ามันจะเป็นการทรยศต่อนายเก่าแต่อย่างใด "คนที่ชอบวิพากษ์วิจารณ์เรื่องแบบนี้ บางคนอาจเคยย้ายที่ทำงานไปอยู่กับบริษัทคู่แข่ง เช่นจากบาร์เคลย์ ย้ายไปอยู่ลอยด์ส แบงค์ จากโลตัส ไปอยู่บิ๊กซี ซึ่งทุกครั้งที่พวกเขาทำแบบนี้ ก็ไม่เคยมีใครถูกกล่าวหาว่าไม่จงรักภักดี ถ้านักฟุตบอลย้ายออกจากสโมสรในลักษณะนี้ คนกลุ่มเดียวกันนี้ก็จะมีมุมมองที่แตกต่างไปจากเดิมมาก พวกเขาอาจกล่าวหาว่านักเตะขาดความซื่อสัตย์หรือมองว่าเป็นทหารรับจ้าง แต่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นคือ มีคนย้ายจากงานหนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาตนเองอย่างมืออาชีพและเพื่อจะดูแลครอบครัวของเขา “ถ้าคุณได้รับการเลื่อนตำแหน่ง ในงานส่วนใหญ่คุณจะได้รับการตบหลังหรือมีผู้คนเข้ามาแสดงความยินดีกับคุณ แต่บางครั้งคุณก็อาจจะเจอคำพูดที่ไม่พึงประสงค์ตามมาด้วย ทั้งหมดที่ผมกำลังจะสื่อก็คือ หากคุณออกจากสโมสรฟุตบอลแห่งหนึ่ง และไปเข้าร่วมกับอีกสโมสรหนึ่ง มันจะกลายเป็นเรื่องบ้าคลั่ง และจะเป็นเช่นนั้นเสมอ” [caption id="attachment_26704" align="aligncenter" width="819"] คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมใจ[/caption] หลังแขวนสตั๊ดกับสโต๊ก ต่อมาในปี 2016 ลิเวอร์พูลก็สร้างเซอร์ไพรส์ให้แฟนบอลทีมตัวเอง ด้วยการแต่งตั้งคนที่หักอกพวกเขาอย่างโอเว่น ให้เข้ามารับตำแหน่งทูตนานาชาติของสโมสร ท่ามกลางเสียงก่นด่าสาปแช่งของเหล่าสาวกเดอะค็อปที่ไม่เห็นด้วยกับสโมสร พร้อมกับมองว่าโอเว่นไม่ใช่ตำนานของพวกเขา แต่เป็นตำนานของสโต๊กมากกว่า เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่าแม้จะผ่านไปกี่ปี แฟนบอลลิเวอร์พูลก็ยังแค้นฝังหุ่นและดูจะไม่มีวันยกโทษให้โอเว่นเลย ทุกวันนี้คงจะมีแต่ตัวโอเว่นเท่านั้นที่สามารถบอกได้ว่าการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในตอนนั้น เมื่อแลกกับการเป็นตำนานที่ไม่มีใครรัก สิ่งใดคุ้มค่ามากกว่ากัน? ที่มา: https://www.mirror.co.uk/sport/football/news/michael-owen-man-utd-liverpool-20067544 https://bleacherreport.com/articles/211890-the-michael-owen-story-betrayal-selfishness-or-just-good-sense https://thefootballfaithful.com/the-story-of-michael-owen-and-how-career-trajectory-alters-lasting-perceptions/ https://www.fourfourtwo.com/features/michael-owen-liverpool-real-madrid-transfer-fourfourtwo-interview