เมื่อ 15 ปีก่อน เหล่าเด็ก ๆ ผู้หลงใหลในโลกเวทมนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์ จำ โรเบิร์ต แพตทินสัน (Robert Pattinson) ได้จากบทบาท “เซดริก ดิกกอรี่” พ่อมดหนุ่มคนดีศรีฮัฟเฟิลพัฟ ใน Harry Potter And The Goblet Of Fire (2005)
เมื่อ 12 ปีก่อน สาว ๆ ทั่วโลกต่างคลั่งใคล้ในตัวเขาจากบท “เอ็ดเวิร์ด คัลเลน” แวมไพร์สุดหล่อออร่าวิบวับเมื่อโดนแสงอาทิตย์ จาก Twilight Saga หนังรักจากนิยายวัยรุ่นที่ทำรายได้ไปกว่า 3.3 พันล้านดอลาร์
ส่วนกลางปีนี้ แพตทินสันฝากผลงานในบท “นีล” ไว้ใน Tenet หนังฟอร์มเยี่ยมอีกเรื่องจากฝีมือการกำกับของคริสโตเฟอร์ โนแลน (Christopher Nolan)
ในอนาคตเขากำลังจะเป็นที่จดจำอีกครั้งในฐานะ The Batman อัศวินรัตติกาล ซูเปอร์ฮีโร่ชุดค้างคาวซึ่งเป็นที่รักของผู้คน และได้เป็นส่วนหนึ่งของตำนานอันยิ่งใหญ่เทียบชั้นนักแสดงรุ่นพี่อีกหลายคน
แต่ไม่ว่าทุกคนจะนึกถึง โรเบิร์ต แพตทินสัน ในรูปแบบไหน ผู้ชายคนนี้ยังมีอีกหลายแง่มุมชีวิตที่แตกต่างจากภาพจำที่เคยคุ้น และกำลังได้รับการยอมรับในฐานะนักแสดงที่มี “ฝีมือ” ไม่ได้มีดีเพียงหน้าตาอีกต่อไป
เป็นพระเอกที่เกือบโดนไล่ออก!
“มันรู้สึกแปลก ๆ นะครับ ที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบางสิ่งที่ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่”
เป็นที่รู้กันในหมู่แฟนคลับหนัง Twilight ตลอดมาว่า แพตทินสัน พระเอกหน้าหล่อของพวกเขา จริง ๆ แล้วไม่ได้ปลื้มกับการมารับบทคุณชายแวมไพร์เลยสักนิด เขามักจะให้สัมภาษณ์ถึงบทบาทของเขาด้วยลีลายียวนไปจนถึงกวนบาทา เรียกว่าหาดีไม่ได้เลยสักครั้งที่เขาจะเอ่ยปากชม “เอ็ดเวิร์ด คัลเลน” ทั้ง ๆ ที่เป็นบทสร้างชื่อเสียงให้เขา แพตทินสันได้เล่าไว้ในรายการ The Howard Stern Show เมื่อปี 2017 ว่า ความจริงแล้วเขาเกือบจะโดนไล่ออกตั้งแต่แรก เพราะว่าตีความตัวละครไปคนละทางกับผู้สร้าง
ตอนที่ถ่ายทำ Twilight ภาคแรก แพตทินสันเพิ่งจะได้ชม Lust, Caution (2007) ภาพยนตร์ดราม่าอีโรติกสุดอื้อฉาวของอั้งลี่แล้วชอบมาก เขาอยากสร้างบุคลิกให้เอ็ดเวิร์ดซึ่งเป็นแวมไพร์อายุร้อยกว่าปี ให้เป็นคนที่มีความตึงเครียด เพราะรู้สึกว่าการที่เอ็ดเวิร์ดได้เจอกับ “เบลล่า” ซึ่งเป็นคนที่เขารัก แต่ไม่สามารถเข้าใกล้กันได้ เพราะกลัวว่าตัวเองจะฆ่าเธอนั้นมันเป็นความรู้สึกทรมานแสนสาหัส จะคุยก็ไม่ได้ จะจับตัวยิ่งไม่ได้ แพตทินสันสร้างภาพตัวละครของเขาไว้ในใจไว้ซะดิบดีเทียบชั้นผีดิบ “นอสเฟอราตู” ใน Nosferatu the Vampyre (1979) ของผู้กำกับ แวร์เนอร์ แฮร์โซก (ภายหลังแพตทินสันได้ร่วมงานกับแฮร์โซกในเรื่อง Queen of the Desert ในปี 2015)
“ผมคิดว่า โดยพื้นฐานแล้วเอ็ดเวิร์ดคือนอสเฟอราตู แต่ขณะเดียวกันเขาก็ยังคงใส่ใจตัวเองอยู่บ้าง เช่น จัดแต่งทรงผม และทำสิ่งอื่น ๆ”
แต่แล้วสิ่งที่เขาแสดงออกไปนั้นกลับไม่โดนใจผู้สร้างขนาดหนัก เพราะผู้สร้างอยากให้เอ็ดเวิร์ดดูเป็นคุณชายแวมไพร์ที่มีความสุข เป็นบุคลิกในฝันของสาว ๆ โปรดิวเซอร์ถึงขั้นเอาหนังสือให้เขาแล้วเขียนไฮไลท์เน้นไว้ทุกฉากที่เอ็ดเวิร์ดยิ้มมาให้เขาดู แต่แพตทินสันไม่ยอมแพ้ เขาเอาหนังสือนั้นเขียนไฮไลท์ด้วยสีที่แตกต่างกัน โดยเน้นฉากที่เอ็ดเวิร์ดทำหน้าบึ้งคืนไปให้ ซึ่งทำให้โปรดิวเซอร์โกรธมากและอยากจะไล่เขาออก ตัวแทนของแพตทินสันต้องเข้ามาเคลียร์ให้ แล้วบอกให้เขายอมเปลี่ยนตัวเอง ไม่อย่างนั้นก็เตรียมตกงานได้เลย
สุดท้ายแพตทินสันเลยต้องยอมทำตามทิศทางที่โปรดิวเซอร์วางไว้ เขากลับไปเข้ากองใหม่ด้วยการทำตัวร่าเริง ยิ้มแย้มน่ารัก แล้วบอกว่า “สวัสดีครับ ผมยังอยากทำงานอยู่ครับ” เอ็ดเวิร์ดจึงออกมาเป็นอย่างที่ทุกคนเห็น
ด้านผู้กำกับภาคแรก แคทเธอรีน ฮาร์ดวิค (Catherine Hardwicke) ก็เคยออกมายืนยันว่า เรื่องที่ตอนแรกผู้สร้างไม่ชอบแพตทินสันนั้นเป็นเรื่องจริง พวกเขาไม่ชอบตั้งแต่รูปลักษณ์ภายนอกที่ดูไม่เรียบร้อยของเขา แต่เธอยืนยันอย่างเด็ดเดี่ยวว่า แพตทินสันเป็นเอ็ดเวิร์ดของเธอ เพราะถูกใจเคมีที่เข้ากันมาก ๆ ของเขากับ คริสเตน สจ๊วต (Kristen Stewart) ที่สปาร์กปิ๊งปั๊งกันตั้งแต่ตอนออดิชัน เธอมองออกว่าทั้งคู่จะต้องเป็นคู่รักที่เยี่ยมยอดได้แน่ ๆ ซึ่งก็เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ทั้งสองเป็นคู่รักกันจริงทั้งในจอและนอกจอ
[caption id="attachment_26827" align="aligncenter" width="1200"]
เลาท์เนอร์, สจ๊วต และแพตทินสัน สามนักแสดงนำจาก Twilight[/caption]
ปรากฏการณ์ Twilight Fever
ปี 2011 ชื่อของแพตทินสัน, สจ๊วต รวมถึง เทเลอร์ เลาท์เนอร์ (Taylor Daniel Lautner) หนุ่มหล่อเข้มผู้รับบท “เจคอบ” มนุษย์หมาป่าสุดล่ำคู่แข่งความรักของเอ็ดเวิร์ด ปรากฏอยู่บนสื่อให้ติดตามแทบทุกวัน ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรก็ถูกจับมาเป็นข่าวได้หมด ประจวบเหมาะกับกระแสความคลั่งไคล้นักแสดงในเรื่องก็พุ่งถึงขีดสุด มีการแบ่งฝั่งเชียร์ ทั้ง #TeamEdward และ #TeamJacob กันอย่างจริงจัง
ช่วงนี้เองที่แพตทินสันบอกว่า เขาใช้ชีวิตได้อย่างยากลำบาก ไม่ว่าจะไปไหนก็ถูกแอบถ่ายรูปจนไร้ซึ่งความเป็นส่วนตัว อีกทั้งเขายังเกลียดชื่อเล่นที่แฟน ๆ ตั้งให้ว่า RPatz ถึงขั้นออกมาพูดว่า “ผมอยากจะตีมือตบปากคนที่คิดชื่อนี้ขึ้นมาเลยครับ” แต่สุดท้ายเมื่อเขาทำอะไรไม่ได้ ก็ต้องยอมรับชื่อนี้ไปโดยปริยาย
เจ็บแต่จบ
ปี 2012 ช่วงที่ความนิยม Twilight กำลังมาถึงจุดสูงสุด เพราะกำลังจะฉายภาคสุดท้าย The Twilight Saga: Breaking Dawn - Part 2 ความรักของแพตทินสันและสจ๊วตก็สุกงอมเต็มที่ ถึงขั้นมีข่าวว่าทั้งสองแอบหมั้นกันไปแล้ว แต่ไม่นานนักก็เกิดข่าวฉาวช็อคโลกเรื่องการนอกใจของสจ๊วต ซึ่งมีไปสัมพันธ์กับ รูเพิร์ต แซนเดอร์ส (Rupert Sanders) ผู้กำกับ Snow White and the Huntsman (2012) ซึ่งมีภรรยาแล้ว
สุดท้ายเรื่องจบด้วยการออกมาขอโทษสังคมของคนทั้งคู่ ระหว่างนั้นแพตทินสันไม่เคยออกมาต่อว่าการกระทำของแฟนสาวเลยแม้แต่น้อย เขากลับมาคบเธอตามเดิม แต่ความรักครั้งนี้ก็ไปต่อไม่ไหว ทั้งคู่เลิกกันในปีต่อมา จากนั้นสจ๊วตก็หันมาคบหากับผู้หญิงอย่างเปิดเผย
ไม่มีใครรู้ว่าสภาพจิตใจของแพตทินสันเป็นอย่างไร แต่ครั้งหนึ่งเมื่อเขาถูกสัมภาษณ์ว่า มีเพื่อนร่วมงาน Twilight คนไหนที่เขาอยากขอบคุณบ้างไหม เขาได้แต่นิ่งไปสักพัก แล้วตอบติดตลกว่า “ผมอยากขอบคุณมาสก์หน้าของ SK-II ครับ” และเมื่อถูกถามอีกครั้งว่า สิ่งที่ได้กลับมาหลังจาก Twilight จบ คืออะไร เขาตอบอย่างไม่ลังเลเลยว่า “ศักดิ์ศรีของผม”
อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป ทั้งสองคนได้กลับมาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันอีกครั้ง และสนับสนุนผลงานของกันและกันในฐานะเพื่อนนักแสดง สจ๊วตมักจะพูดชมการเติบโตของแพตทินสัน และกล่าวว่าเธอไม่เคยสงสัยในฝีมือการแสดงของเขาเลยแม้แต่น้อย
เลือกบทที่ชอบ ผู้กำกับที่ใช่
แม้ว่าแพตทินสันจะไม่ได้ชอบประสบการณ์เป็นแวมไพร์ Twilight เท่าไหร่นัก แต่เขาก็ยังเห็นคุณค่าของโอกาสที่เขาได้รับมา แต่เขาแค่รู้สึกว่า ชื่อเสียงหรือเงินทองเป็นสิ่งที่เขาไม่ได้ต้องการอย่างแท้จริง
“มันเป็นเหมือนรางวัลที่ยิ่งใหญ่ครับ แต่การเป็นจุดสนใจแบบนี้มันรู้สึกแปลก การมีตัวตนที่คนจดจำได้ เป็นสิ่งที่จะทำให้คุณได้เงินมากที่สุด แต่มันก็เป็นสิ่งที่เหล่านักแสดงทุกคนในโลกไม่ต้องการเช่นกัน เพราะว่าไม่มีใครเชื่อในตัวผม เวลาผมอยากแสดงอะไรที่มันสมจริงมาก ๆ อย่างเล่นเป็นแก๊งสเตอร์ หรืออื่น ๆ”
ด้วยเหตุนี้ หลังจากหมดภาระผูกพันกับบทเดิมแล้ว เขาถึงมุ่งหน้ามาเอาดีทางภาพยนตร์ฟอร์มเล็ก ที่เปิดโอกาสให้เขาได้ทดลองเปลี่ยนแปลงตัวเองแสดงบทใหม่ ๆ ที่แตกต่าง แพตทินสันไม่ลังเลที่จะใช้ประโยชน์จากรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลา จนได้รับตำแหน่ง Sexiest Man Alive จากนิตยสาร People และนิตยสาร Glamour มาเป็นใบเบิกทาง เพื่อให้ได้บทที่เขาเห็นว่าน่าสนใจ เห็นได้ชัดจากหนังของ เดวิด โครเนนเบิร์ก (David Cronenberg) 2 เรื่อง คือ Cosmopolis (2012) และ Maps to the Stars (2014) และได้แสดง The Childhood of a Leader (2015) ของผู้กำกับ แบรดี คอร์เบ็ต (Brady Corbet) ทั้ง 3 เรื่องนี้ แม้เขารับบทคนหนุ่มหน้าตาดี แต่ทุกบทมีปมปัญหาบางอย่าง ซึ่งรูปลักษณ์ของเขาเหมาะมากที่จะสร้างประเด็นที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
แพตทินสันเผยว่า เขาเลือกหนังแต่ละเรื่องอย่างตั้งใจ โดยไม่เกี่ยงว่าบทของเขาจะมากหรือน้อย เขาไม่จำเป็นต้องรับบทนำของเรื่อง แต่จะใช้เวลาที่ปรากฏตัวบนจอให้คุ้มค่ามากที่สุด อย่างเช่นบท “ที.อี .ลอว์เรนซ์” ใน Queen of the Desert ที่ออกมาไม่กี่นาที แต่เขาก็เจิดจรัสมากพอที่ทุกคนจะจดจำ
ถ้าโอกาสไม่เข้ามา ก็หาเอง
ปกติแล้วนักแสดงที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่มักจะรับงานจากการที่มีคนมาเสนอบทให้ แต่ไม่ใช่แพตทินสัน ที่เขามาเดินในเส้นทางภาพยนตร์นอกกระแสได้ เพราะทุกเรื่องเขาเลือกเองทั้งนั้น อย่างเรื่อง Good Time (2017) ของพี่น้อง เบนนี และ จอช แซฟดี (Benny และ Josh Safdie) เขาส่งอีเมลไปเสนอตัวทำงานด้วยทันทีที่เขาได้ชมเรื่อง Heaven Knows What (2014) ซึ่งเป็นผลงานก่อนหน้าของทั้งสอง ส่วนเรื่อง The Lighthouse (2019) เขาก็เป็นคนติดต่อ โรเบิร์ต เอ็กเกอร์ส (Robert Eggers) ไปเอง หลังจากได้ชม The Witch โดยระบุไปว่า อยากทำงานด้วย ไม่ว่าจะเป็นบทอะไรก็ตามที่เอ็กเกอร์สเห็นสมควร
เช่นเดียวกับการได้รับบท “บรูซ เวย์น” ใน The Batman ซึ่งกว่าจะได้บทนี้มาครอบครอง แพตทินสันต้องใช้เวลาตามตื๊อผู้กำกับ แมตต์ รีฟส์ (Matt Reeves) เพื่อแจ้งว่า เขาอยากมาทดสอบบทนี้จริง ๆ ซึ่งเขาพยายามทุ่มเททุกวิถีทาง เพื่อแสดงออกถึงความตั้งใจแน่วแน่ เขาซ้อมบทในห้องที่โรงแรมประเทศฝรั่งเศส ทั้ง ๆ ที่อยู่ระหว่างการโปรโมท The Lighthouse ในงาน Cannes Film Festival และยอมบินตรงลัดฟ้ากลับมาลอสแอนเจลิสทันที เพื่อมาลองชุด Batsuit แล้วมาทดสอบบทที่เขาต้องเดิมพันสูงครั้งนี้
สุดท้ายแพตทินสันก็ได้บทนี้มาครอง เพราะรีฟส์ชอบเขาที่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ราวกับกิ้งก่าเปลี่ยนสีจากหนังนอกกระแสทั้งหลาย ทั้ง The Lost City of Z (2016) และ Rover (2014) แพตทินสันเปลี่ยนตัวเองจนไม่เหลือคราบแวมไพร์จาก Twilight อีกต่อไป ต่อจากนี้เขาจะเป็น “แบทแมน” ในแบบที่ทุกคนไม่เคยเห็นมาก่อน
แพตทินสันรู้ตัวดีว่ามีกระแสต่อต้านการเป็นแบทแมนของเขา แต่เขากลับมองว่ามันเป็นโอกาสอันดีที่จะได้พิสูจน์ตัวเองให้ทุกคนเห็นว่า คนอย่างเขาที่ทุกคนไม่คาดคิดมาก่อนจะทำได้สำเร็จ
“ผมว่ามันเพิ่มสีสันให้กับชีวิตดีนะครับ”
ที่มา:
Robert Pattinson Talks Superhero Roles and Why He Was Nearly Fired From "Twilight" (2017)
https://youtu.be/-sy8fg9-8wU
https://screenrant.com/batman-movie-robert-pattinson-cast-explained-matt-reeves/
https://www.indiewire.com/2019/09/robert-pattinson-batman-casting-interview-backlash-nolan-1202170518/
https://www.wmagazine.com/story/twilight-insults-robert-pattinson-kristen-stewart/
เรื่อง: เพจผู้ชายคนนั้นจากหนังเรื่องนี้