ไพฑูรย์ พุ่มรัตน์ (โรเบิร์ต สายควัน) : เมื่อแสงไฟสว่างระเหยกลายเป็นควัน
ในเชิงวิทยาศาสตร์นั้นเราอาจใช้ความร้อนในการเปลี่ยนรูปร่างของสสารได้ เมื่อแสงไฟลุกโชนสุกสว่างที่สุดเพียงไม่นานสสารนั้นก็อาจระเหยกลายเป็นควันเช่นเดียวกัน เป็นกฎธรรมชาติที่ยากจะหลีกเลี่ยงได้ เพียงแต่ภาพจำที่คนมักจะจำได้คือเวลาที่ไฟนั้นโชติช่วงชัชวาลมากที่สุด
หากเป็นเช่นนั้น หลาย ๆ คนคงจดจำ “โรเบิร์ต สายควัน” หรือ ไพฑูรย์ พุ่มรัตน์ ในวันที่เขาเป็นดั่งไฟที่เป็นประกายให้กับวงการศิลปินตลกของไทย หลังจากเงียบเหงาไปนาน แต่น่าเสียดายเมื่อไฟโชติช่วงที่สุดวิญญาณของโรเบิร์ต ก็ถูกพัดจางหายไปในช่วงค่ำวันที่ 19 กันยายน 2563 ด้วยอาการวัณโรคปอด คงเหลือไว้เพียงแต่ช่วงเวลาแห่งความสุขที่ได้สร้างเสียงหัวเราะและรอยยิ้มให้กับคนจำนวนมาก
เพียงแต่ว่าจุดเริ่มต้นของโรเบิร์ตนั้นกลับไม่ใช่เรื่องตลก เขาเคยกล่าวในบทสัมภาษณ์กับ Post Today ถึงชาติกำเนิดของเขาว่า”ผมมีคุณพ่อเป็นชาวอเมริกันผิวดำ เหมือนกับบารัค โอบามา” แต่ว่าชะตาชีวิตไม่ได้สะดวกสบายแบบนั้น คุณแม่ของเขาย้ายไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ทิ้งให้ โรเบิร์ต หรือ “ไอ้หมั่ง” ของเพื่อน ๆ อยู่ในครอบครัวที่ยากจนในชุมชนแออัดย่านบางเขน มีคุณยายประกอบอาชีพนวดแผนไทย โดยเลี้ยงดูทั้งหมั่งและน้องสาว และเขาไม่มีโอกาสเรียนหนังสือ
สภาพชุมชนแออัดนั้นเป็นแหล่งรวมของอบายมุขที่ล่อตาล่อใจ ทั้งยาเสพติด การพนัน และผู้หญิง ทำให้วิชาภูมิต้านทานทางสังคมของหมั่งนั้นได้รับการยั่วยวนอยู่ตลอดเวลา เขาเริ่มทำงานแลกชีวิตโดยเป็นเด็กที่เดินไปตามห้องพักของชุมชนแออัดเพื่อหาผู้ที่อยากใช้บริการการนวดของคุณยาย ก่อนที่ชีวิตวัยรุ่นจะพาเขาเข้าสู่วัยระเริงหลังจากเริ่มเป็นกระเป๋ารถเมล์ และมีโอกาสก้าวเข้าสู่วงการการแสดงโดยเริ่มที่คณะลิเกตามสูตรของตลกชื่อดัง เริ่มจากการตีระนาดและกลองให้กับคณะ “บุญชู แสงเพชร” ซึ่งได้รับการผลักดันจากน้าสาวที่เป็นภรรยาของเจ้าของโรงลิเก
ไฟที่มีอยู่ในตัวของหมั่ง ยังคงส่องสว่างด้วยการที่เริ่มพัฒนามาเป็นตัวโจ๊กประจำวงลิเกสร้างเสียงหัวเราะให้กับแฟน ๆ ซึ่งในเวทีลิเกนี้เองที่ทำให้เขาได้พบกับโอกาสเมื่อรุ่นพี่วงการลิเกอย่าง “โจ้ ดอกมะดัน” ที่ผันตัวไปเล่นตลกคาเฟ่ในยุครุ่งเรืองกับตลกหนวดงาม “ดี๋ ดอกมะดัน” ชักชวนให้ไปตีกลองในคาเฟ่เพราะรายได้ดีกว่าตีกลองให้คณะลิเก แต่คนมันจะดังเอาอะไรจะฉุดก็ไม่อยู่ เมื่อพรหมลิขิตว่าเขาต้องเป็น “ตลกซูเปอร์สตาร์” ในสักวันหนึ่ง แค่ไปคาเฟ่วันแรก “คณะมันจะฮา” ของ ชา ฉิ่งฉับ เกิดขาดคนกะทันหัน
โชว์แรกผ่านไปด้วยแววดาวรุ่งประดับวงการตลก จนทางคณะชวนให้อยู่ด้วยกันโดยได้ค่าตัว 400 บาทต่อวัน ฝีไม้ลายมือและความพลิ้วทำให้ “ดี๋ ดอกมะดัน” ซึ่งเขานับถือเหมือนเป็นคุณพ่อคนที่ 2 ชักชวนให้ไปอยู่ร่วมคณะดัง และยังเป็นผู้มอบชื่อ “โรเบิร์ต” ให้กับเขา โดยมาจากมุกที่มีเชื้อฝรั่งแต่ต้องแต่งชุดไทยออกมาตีระนาด ในนามของ “หลวงโรเบิร์ต” นาทีนั้นวงการตลกได้อ้าแขนต้อนรับดาวดวงใหม่เข้าสู่วงการ
ด้วยความที่เล่นมุกวัยรุ่นทันกระแส จับเพลงร่วมสมัยมาประยุกต์ให้เกิดมุกตลกชื่อของโรเบิร์ตได้ถูกบอกปากต่อปากในวงการคาเฟ่ถึงการเป็นกำลังสำคัญให้กับคณะดี๋ ดอกมะดัน แต่เงินทองที่หามาง่ายกลับนำให้เขาเดินไปสู่เส้นทางนรก เมื่อสภาพแวดล้อมที่อยู่มีสิ่งล่อตาล่อใจโดยเฉพาะ “กัญชา” ซึ่งโรเบิร์ตยอมรับว่าเขาติดมันเสียยิ่งกว่าเหล้าหรือบุหรี่เสียอีก พอเริ่มต้นด้วยกัญชา ชีวิตก็พาเขาดำดิ่งลงไปสู่ ยาบ้า เฮโรอีน เรียกได้ว่าไม่เคยปฏิเสธยาเสพติดทุกชนิดที่เปิดประตูเข้ามา
เมื่อเป็นทาสยาเสพติดชีวิตก็พลิกผันอีกครั้ง เริ่มเสียงานเสียการจนถูกดี๋ ดอกมะดัน สั่งพักงาน ยามเมามายไม่มีสติเขาทำได้ทุกอย่างแม้ว่าจะต้องไปนอนตามป้ายรถประจำทาง จากที่ทำงานกับกลุ่มเพื่อนศิลปินตลก โรเบิร์ตกลับไปขลุกตัวอยู่กับเพื่อนที่ติดยา และเมื่อเงินหมดบางทีเขาก็จะหยิบยืมเงินเพื่อนตลกโดยไปดักรอตามหน้าคาเฟ่ เพื่อเอาเงินไปซื้อยามาเสพอีก ชีวิตของเขาวนลูปไปแบบนี้ อยู่หลายปี ดี๋ในฐานะกัลยาณมิตร คนที่ห่วงใยก็ได้แจ้งตำรวจที่สนิทกันมาจับโรเบิร์ตโดยขังคุกเป็นระยะ ๆ เพื่อหวังว่าโรเบิร์ตจะเลิกยานรกนี้ได้ (ซึ่งในเวลาต่อมา สิ่งเหล่านี้กลายเป็นมุกอำประจำการเล่นตลกกับทีมบริษัท ฮา(ไม่) จำกัด อยู่บ่อยครั้ง แต่ต้องยอมรับว่าชีวิตจริงก่อนหน้านั้น คงมองภาพนี้ด้วยสายตาที่ตลกได้ยาก)
แต่ก็ไม่ทันการ โรเบิร์ตพัฒนากลายเป็นมิจฉาชีพลักเล็กขโมยน้อย เพื่อหาเงินมาเสพและใช้ชีวิตจมปลักอยู่ในภาวะแบบนี้มา 4 ปี ชีวิตของโรเบิร์ตนั้นมีความคล้ายคลึงกับเพื่อนสนิทของเขาอีกคนที่ถูกขนานนามว่า “ตลกอัจฉริยะ” อย่าง หนู คลองเตย โดยทั้งสองคนรู้จักกันตั้งแต่วัยรุ่น ด้วยความสนิทสนมตั้งแต่ครั้งโรเบิร์ตยังเป็นกระเป๋ารถเมล์ เมื่อหนูได้ดีประสบความสำเร็จยังเคยซื้อรถให้โรเบิร์ตไว้ใช้คันหนึ่ง ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายว่าท้ายที่สุดดาวจรัสแสงทั้งสองคนต้องจากโลกไปก่อนวัยอันควร
เมื่อชีวิตมาถึงจุดต่ำสุด การเผาไหม้ในตัวของเขาต้องการจะส่องประกายอีกครั้ง โรเบิร์ตตัดสินใจอยากจะเดินทางไปเลิกยาเสพติด ที่ค่ายธนะรัชต์ ศูนย์การทหารราบ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โรเบิร์ตให้สัมภาษณ์กับ Posttoday ว่า เขารู้สึกอายลูกเลยตัดสินใจโบกรถแท็กซี่คันหนึ่งโดยบอกว่าจะขอไปเลิกยาโดยบอกว่าไม่มีเงินติดตัวเลย แต่เหมือนฟ้ามีตาแท็กซี่คนนั้นเคยเป็นแฟนผลงานแสดงตลกของโรเบิร์ตและรับปากว่าจะไปส่งให้ฟรีเพื่อคืนชีวิตให้กับตลกดังอีกครั้ง
เขาเคยให้สัมภาษณ์กับไทยรัฐว่าถึงแม้จะอยู่ในช่วงตกต่ำเขาก็ไม่เคยถอดใจกับอาชีพตลกเลย เพราะเขารักอาชีพนี้มาก ๆ และเมื่อเลิกยาได้สำเร็จเขาไม่เคยปิดบังว่าตัวเองเคยติดยา และยังหาโอกาสไปให้ความรู้เป็นวิทยาทานกับเยาวชนและผู้บำบัด อีกทั้งยังนำคณะตลกไปสร้างเสียงหัวเราะให้กับผู้ต้องขังเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้อีกด้วย
ชีวิตที่สองของโรเบิร์ต เริ่มต้นในชื่อของ “โรเบิร์ต สายควัน” เมื่อตลกรุ่นน้องอย่างบอล เชิญยิ้ม ชวนให้มาอยู่กับ บริษัท ฮา(ไม่) จำกัด ซึ่งถือว่าเป็นคณะตลกที่ได้รับความนิยมอันดับต้น ๆ ของประเทศ ทั้งในรูปแบบทางโทรทัศน์ และยังมีงานจ้างไปโชว์ตามสถานที่ต่าง ๆ อีกด้วย โดยเฉพาะปี พ.ศ.2561-62 เรียกได้ว่าไม่มีใครไม่รู้จักโรเบิร์ต สายควัน ด้วยมุกตลกเกี่ยวกับวัยรุ่น เพลงแปลง และที่สำคัญก็คือมุกจากบทเรียนชีวิตที่ผิดพลาดจากยาเสพติดเพื่อเป็นคติสอนใจ ทั้งการรับบทเป็นพี่วินมอเตอร์ไซค์ในภาพยนตร์ “ไบค์แมน ศักรินทร์ตูดหมึก” ที่จังหวะจะโคนการรับบทคนรากหญ้าในการรับส่งมุกกับแก๊งวินมอเตอร์ไซค์ด้วยกันเป็นอะไรที่เนียนตามาก ๆ
แต่แล้วเมื่อกลางปี 2563 เริ่มมีข่าวลือเรื่องอาการป่วยของโรเบิร์ต สายควัน สร้างความเป็นห่วงให้กับแฟน ๆ โดยบอล เชิญยิ้มคนสนิทได้ออกมาเปิดเผยถึงอาการป่วยของโรเบิร์ต และขอเวลาความเป็นส่วนตัวเพื่อให้โรเบิร์ตได้ต่อสู้กับโรคร้าย โดยให้กำลังใจผ่านสื่อในหลายครั้งและรอวันที่จะได้กลับมาร่วมงานกับโรเบิร์ตอีกครั้งหนึ่ง แต่แล้ววันนั้นก็ไม่ได้มีอยู่จริง เมื่อโรเบิร์ตจากไปในวัยเพียง 54 ปี
สำหรับชีวิตคนเราเมื่อระเหยกลายเป็นไอ สิ่งที่คนจะระลึกถึงก็คือช่วงเวลาที่เขาเป็นไฟที่ร้อนแรงที่สุด ชีวิตของโรเบิร์ต สายควันอาจจะมีช่วงเวลาทองที่ไม่ได้ยาวนานมากเท่าไหร่ แต่ทุก ๆ ครั้งที่เขาปรากฏกายออกมามักจะนำความสุขและเสียงหัวเราะประทับอยู่ในความทรงจำของแฟน ๆ ทุกครั้ง
หลับให้สบาย “โรเบิร์ต สายควัน”
เรื่อง: พิเชฐ ยิ่งเกียรติคุณ
ที่มา
https://www.thairath.co.th/entertain/news/1396234
https://www.posttoday.com/politic/report/476973