ลูอิส แฮมิลตัน แชมป์โลก F1 กับชีวิตที่อุทิศตนเพื่อการเป็น ‘วีแกน’
ในวงการกีฬามอเตอร์สปอร์ต ชื่อเสียงและฝีมือการขับของ ลูอิส แฮมิลตัน (Lewis Hamilton) นักแข่งรถสูตรหนึ่ง (ฟอร์มูลา วัน) จากสหราชอาณาจักร ล้วนแต่เป็นที่ประจักษ์ในสายตาของคนทั้งโลก จากผลงานการคว้าแชมป์โลก 6 สมัย ที่ชนะมากถึง 90 สนาม ขึ้นโพเดียมมากถึง 158 ครั้ง และเก็บคะแนนไปได้มากกว่า 3,621 คะแนน ทั้งหมดล้วนเป็นความสำเร็จที่เขาได้ฝากไว้ให้กับวงการนี้ แน่นอนว่านักขับวัย 35 ปี กำลังต่อยอดความสำเร็จของตัวเองในทุก ๆ สนามที่ลงแข่ง ถ้าถามว่านอกจากการมีเพซที่ดีในสนาม รวมถึงการวางแผนที่เฉียบคมของทีมงานเมอร์เซเดส อะไรคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้แฮมิลตัน ในวัย 35 ยังคงรักษาฟอร์มการขับที่สุดยอดขนาดนี้ไว้ได้
หลายคนอาจจะมองว่าความสำเร็จของแฮมิลตัน มาจากรถที่ดีแถมมีทีมงานที่สุดยอด แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยก็คือชายคนนี้พัฒนาตัวเองอยู่เสมอในทุกสนามที่ลงแข่ง สำหรับเอฟวัน นอกจากสมรรถนะของรถแล้ว สมรรถภาพของร่างกายก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน เพราะนอกจากนักแข่งที่อยู่ในค็อกพิตจะต้องใช้ขาทั้งสองเหยียบเบรก เหยียบคันเร่ง รวมถึงใช้มือทั้งสองคอยเปลี่ยนเกียร์แล้ว พวกเขายังต้องเผชิญกับแรงจี (ความเร่งเนื่องจากแรงโน้มถ่วงของโลก) มหาศาลอีกด้วย ฉะนั้นนักแข่งที่เก่งย่อมต้องมีร่างกายที่พร้อมเผชิญกับแรงโน้มถ่วงของโลกขนาดนั้นด้วย ครั้งหนึ่งแฮมิลตันเคยออกมาให้สัมภาษณ์ว่า เบื้องหลังที่ทำให้เขายังคงฟิตเสมอ ส่วนหนึ่งมาจากการปรับเปลี่ยนเรื่องโภชนาการ และหันมาเป็น ‘วีแกน’ ที่เลิกกินเนื้อสัตว์หันมากินแต่ผักแทน
แม้ผลงานในสนามแข่งของแฮมิลตันจะแสดงให้เห็นถึงความเป็นยอดมนุษย์ของเขา แต่ชีวิตนอกสนามแข่ง แฮมิลตันก็ไม่ต่างกับคนทั่วไปที่ต้องกินอาหารในช่วงเช้า กลางวัน หรือเย็น การเปลี่ยนตัวเองมาเป็นวีแกนของแฮมิลตัน แน่นอนสิ่งสำคัญที่สุดคือการที่เขาต้องปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด เพื่อรักษาสมดุลของร่างกาย นั่นหมายความว่าเขาไม่สามารถกินอาหารเช้าอย่าง เบคอน แฮม นม หรือแม้กระทั่งขนมปังได้อีกต่อไป
แฮมิลตันเคยเล่าว่าทุกวันเขามักจะกินโจ๊กเป็นอาหารเช้า แน่นอนว่าการกินอาหารในรูปแบบเดิม ๆ แถมสิ่งเหล่านั้นยังเป็นอาหารที่ไม่มีรสชาติชวนน่ากิน น่าจะเป็นสิ่งที่ยากสำหรับคนที่เคยสัมผัสความหอมหวานของเนื้อสัตว์ แต่แฮมิลตันก็เล่าว่า การเป็นวีแกนไม่จำเป็นต้องยึดติดกับเมนูเดิม ๆ เขามองว่าในโลกนี้มีอะไรที่น่าผจญภัยมากกว่า เช่น การกินถั่วบนขนมปังปิ้ง
ก่อนจะกลายมาเป็นวีแกน แฮมิลตันเป็นคนที่ชอบกินไข่กับอะโวคาโดบนขนมปังปิ้งอย่างมาก ซึ่งการหันมาเป็นวีแกนทำให้เขาต้องตัดการบริโภคไข่กับขนมปังไปโดยปริยาย แม้ทุกวันนี้ของโปรดของแฮมิลตันจะเหลือแค่อะโวคาโดซึ่งเขายังได้รับไขมันดีจากมัน ด้าน ร็อบ ไชลด์ นักชีวเคมีที่เคยทำงานร่วมกับทีมแม็คลาเรน หรือเฟอร์รารี่ กล่าวว่านักกีฬาที่เป็นวีแกนอาจเห็นว่าระดับฮอร์โมนเพศชายของตัวเองลดลงจากการกินอาหารที่ทำมาจากผัก แต่จริง ๆ แล้วหากมีการวางแผนการกินอาหารอย่างรอบคอบ ทุกคนก็ล้วนมีสุขภาพที่สมบูรณ์แบบได้จากอาหารเหล่านี้
“สำหรับลูอิส เขาได้รับไขมันที่ดีต่อสุขภาพจำนวนมาก ทั้งหมดมาจากที่เขากินอาหารพวกนั้น มันสร้างฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (ฮอร์โมนเพศชาย) ให้กับเขามากทีเดียว” ไชลด์อธิบาย
แฮมิลตันเคยให้สัมภาษณ์ว่า การตัดสินใจที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหารของตัวเองนอกจากจะทำให้สุขภาพของเขาดีขึ้นแล้ว เขายังมองถึงเรื่องการช่วยสิ่งแวดล้อมอีกด้วย แต่แน่นอนว่าจากคนที่เคยลิ้มรสความอร่อยของเนื้อสัตว์ และต้องหันมากินผักเป็นหลักอย่างเดียว คงปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้งหมดกลายเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้แฮมิลตัน คิดถึงอาหารที่เขาคุ้นเคย
“อาหารแบบนี้ (มังสวิรัติ) มันไม่ใช่สำหรับทุกคนหรอก ผมคิดถึงนูเทลลา ของหวานต่าง ๆ แต่เมื่อมานั่งคิดว่ามันมีส่วนผสมของอะไรในนั้น มันทำให้ผมอี๋มากทีเดียว” แฮมิลตันเล่า
ที่ผ่านมาแฮมิลตันพยายามหักดิบตัวเอง ไม่นึกถึงหรือพยายามกินอาหารที่เลียนแบบความอร่อยจากผลิตภัณฑ์ของสัตว์ต่าง ๆ แต่...สิ่งหนึ่งที่แฮมิลตันไม่สามารถปฏิเสธตัวเองได้เลย นั่นก็คือ ‘แพนเค้ก’
“ผมชอบแพนเค้กวีแกนมาก” แฮมิลตันเสริมว่าทุกครั้งเวลาไปเที่ยวช่วงวันหยุดฤดูร้อนหรือฤดูหนาว เขามักจะเตรียมแพนเค้กเหล่านั้นเอาไว้เสิร์ฟตัวเองในทุกเช้าด้วย “ผมรักแพนเค้กมาก ซึ่งผมว่าใคร ๆ ก็ชอบมันนะ”
อีกหนึ่งเมนูที่แชมป์โลกรถสูตรหนึ่ง 6 สมัยไม่อาจต้านทานกิเลสตัวเองได้ นั่นก็คือ ‘แฮมเบอร์เกอร์’ แฮมิลตันที่ชอบเบอร์เกอร์มาก ๆ ตระหนักดีว่าคงเป็นเรื่องยากมาก ๆ ที่เขาจะหาแฮมเบอร์เกอร์วีแกนที่อร่อยเหมือนแฮมเบอร์เกอร์ทั่วไปที่มีส่วนผสมของเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากนม แฮมิลตันใช้เวลาหาสูตรแฮมเบอร์เกอร์วีแกนอยู่หลายปี จนในที่สุดระหว่างเดินทางไปแข่งที่ญี่ปุ่น เขาก็ค้นพบแฮมเบอร์เกอร์วีแกนที่อร่อยมากอยู่ในฮ่องกง
“ผมเจอเบอร์เกอร์วีแกนอยู่ในฮ่องกง ผมนี่ไม่รอช้าให้พวกเขาส่งเบอร์เกอร์นั้นมาให้ผมที่ญี่ปุ่น ซึ่งหลังจากนั้นผมก็กินมันทุกวันเลย”
แม้จะรวยมาก แต่การจะส่งเบอร์เกอร์จากฮ่องกงมายังลอนดอนทุกวันคงเป็นเรื่องยาก ต่อมาแฮมิลตันจึงตัดสินใจหันมาลงทุนทำธุรกิจร้านอาหารมังสวิรัติในลอนดอนที่มีชื่อว่า Neat Burger อีกทั้งยังขิงด้วยว่าร้านของเขามีอาหารที่ดีต่อสุขภาพลูกค้า และเป็นร้านที่มีจริยธรรมมากกว่าร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดเจ้าอื่น ๆ
“ในฐานะคนที่กินอาหารจากพืช ผมเชื่อว่าคนเราต้องการร้านอาหารที่ดีต่อสุขภาพและมีรสชาติที่น่าตื่นตาตื่นใจ และแฝงไปด้วยความตื่นเต้นสำหรับผู้ที่ต้องการกินอาหารที่ปลอดเนื้อสัตว์ในบางครั้งด้วย” แฮมิลตันเผยความรู้สึกหลังเปิดร้านอาหารมังสวิรัติของตัวเอง
นอกจากนี้ แฮมิลตันไม่ใช่นักกีฬาชื่อดังคนแรก ๆ ที่หันมาเป็นวีแกน เพราะก่อนหน้านี้นักเทนนิสมือหนึ่งของโลกอย่าง โนวัค ยอโควิช หรือแบ็คขวาของอาร์เซนอลอย่าง เอกตอร์ เบเยริน ทั้งคู่ก็หันมาเป็นวีแกนเพื่อสุขภาพร่างกายที่ดีของตัวเองเช่นกัน
ในขณะที่การเปลี่ยนแปลงกลายมาเป็นเรื่องท้าทายต่อสัมผัสการรับรสของเขา แฮมิลตันเผยว่าการเปลี่ยนแปลงตัวเองมาเป็นวีแกน ถือเป็น ‘การตัดสินใจที่ดีที่สุด’ ของเขารองมาจากการย้ายไปร่วมทีมเมอร์เซเดส เมื่อปี 2013 “ผมรู้สึกดีที่สุดเลยทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ตลอดทั้งปีที่ผมหันมาเป็นวีแกน ผมรู้สึกว่าจิตใจตัวเองเข้มแข็งขึ้นมาก ๆ ตอนนี้ผมคิดว่าร่างกายของผมกำลังก้าวไปอีกขั้น และการตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงเรื่องโภชนาการถือเป็นก้าวสำคัญของผมทีเดียว ผมหยุดกินเนื้อสัตว์มาหลายปีแล้ว และกำลังพยายามเลิกกินเนื้อประเภทอื่น ๆ ที่ผ่านมาผมเพิ่งจะเลิกกินเนื้อปลาได้ด้วย”
แน่นอนว่าคงไม่มีรสชาติใดหอมหวานไปกว่าการได้ดื่มแชมเปญในฐานะแชมป์ของสนาม ส่วนตัวแฮมิลตันเป็นคนที่มีความเชื่อในพระเจ้าอย่างมาก เขาสักรูปพระแม่มารีย์ไว้ที่หัวไหล่ซ้าย รวมถึงสักข้อความว่า ‘God is Love’ และคำว่า ‘Blessed’ ไว้ที่ต้นคอด้านขวาอีกด้วย นั่นทำให้ก่อนจะกินอาหารทุกมื้อ ไม่ว่าจะเป็นมื้อเช้า กลางวัน หรือเย็น แฮมิลตันมักจะสวดภาวนาทุกครั้งก่อนกินอาหาร เพื่อเป็นการขอบคุณพระเจ้าสำหรับมื้ออาหารที่เขาจะกิน
“ทุกครั้งที่ผมจะกินข้าว ผมจะสวดภาวนาเสมอ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นสองสามวินาทีหรืออะไรก็ตามที่คุณอธิษฐาน จงเก็บเกี่ยวช่วงเวลาเหล่านั้น บางทีทุกคนคุยกันอยู่ ผมก็พูดเลย ‘โทษทีนะ ขอแป๊บหนึ่งได้ไหม’ และผมก็สวดภาวนา”
ปัจจุบันแฮมิลตันกำลังนำโด่งในตารางคะแนนนักขับชิงแชมป์โลกปีนี้ และดูเหมือนว่านี่จะเป็นอีกปีที่นักขับจากสหราชอาณาจักรคนนี้ วิ่งผ่านธงหมากรุกในฐานะแชมป์โลกสมัยที่ 7 เทียบเท่าไอดอลของเขาอย่าง ไมเคิล ชูมัคเกอร์