06 ต.ค. 2563 | 11:39 น.
“ฉันเป็นปลัดกระทรวงอาวุโส ขึ้นตรงต่อรัฐมนตรีกระทรวงเวทมนตร์ อาจารย์ใหญ่และเจ้าพนักงานสอบสวนใหญ่ประจำฮอกวอตส์”
ครูคือผู้ปลุกปั้นสั่งสอนให้เด็กมีความรู้ เป็นคนดี มีวินัย ครูคือผู้ให้ที่อยากให้เด็ก ๆ ได้เติบโตไปไกลกว่าตน คำนิยามข้างต้นอาจกล่าวถึงคนที่มุ่งมั่นตั้งใจเรียนศึกษาศาสตร์หรือคณะอื่น ๆ แล้วสอบใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูเพื่อจะได้สอนนักเรียน ทว่าไม่ใช่ครูทุกคนจะรักลูกศิษย์ อยากพาพวกเขาไปถึงฝั่งฝัน หรือพร้อมทำตามหลักจรรยาบรรณครูเสมอไป หากมองไปในโลกของวรรณกรรมเยาวชนเรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์ เราก็จะเจอครูที่ไม่ตรงตามอุดมคติ ไร้ซึ่งความเห็นใจเพื่อนมนุษย์แล้วหนึ่งคน ก่อนเป็นครูสอนวิชาป้องกันตัวจากศาสตร์มืดที่ฮอกวอตส์ โดโลเรส เจน อัมบริดจ์ (Dolores Jane Umbridge) เป็นพี่สาวคนโตในครอบครัวเลือดผสม ‘ออร์ฟอร์ด’ ผู้เป็นพ่อไม่ใช่พ่อมดที่ทะเยอทะยาน ทำงานอยู่ในกระทรวงเวทมนตร์มานาน แต่ไม่เคยได้เลื่อนตำแหน่งเลยสักครั้ง ส่วน ‘เอเลน’ แม่ผู้เป็นมักเกิ้ลก็ไม่มีความสุขในชีวิตคู่และการสร้างครอบครัว แถมน้องชายก็เป็นสควิบ (พ่อมดแม่มดที่ไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้) โดโลเรสจึงมองว่าครอบครัวตัวเองไม่สมบูรณ์แบบ พาลรังเกียจพวกเขาทั้งที่ตัวเธอเองเป็นคนไปตั้งความหวังให้กับพวกเขาเอง ปมน้องชายผู้ไร้ความสามารถด้านเวทมนตร์ทำให้ออร์ฟอร์ดกับโดโลเรสโยนความผิดให้เอเลน หาว่าเป็นเพราะการเลี้ยงดูของเธอทำให้น้องไม่มีความสามารถในการใช้เวทมนตร์ ผลคือบ้านแตก เอเลนแยกทางกับสามีพร้อมหอบลูกชายสควิบกลับไปใช้ชีวิตอยู่ในโลกมักเกิ้ล ตั้งแต่แม่กับน้องชายจากไป โดโลเรสไม่เคยพูดถึงพวกเขาอีกเลย และสร้างเรื่องโกหกบอกกับทุกคนที่ถามเรื่องครอบครัวว่าตัวเองเป็นผู้สืบทอดสายเลือดบริสุทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ โดโลเรสมองครอบครัวตัวเองเป็นบทเรียน เธอไม่แยแสมักเกิ้ล รังเกียจพวกครึ่งพันธุ์ ด้วยการกล่อมตัวเองอยู่ทุกวันว่าตนเป็นผู้วิเศษเลือดบริสุทธิ์ที่อยู่เหนือกว่าคนอื่น มุ่งมั่นว่าต้องประสบความสำเร็จไกลกว่าผู้เป็นพ่อ ต้องการตำแหน่งใหญ่โตเพื่อเป็นที่ยอมรับในสังคมผู้วิเศษ โดโลเรสเข้าเรียนในฮอกวอตส์ จบการศึกษาจากบ้านสลิธีริน เริ่มทำงานที่กระทรวงเวทมนตร์ในแผนกสำนักงานกองการตรวจสอบการใช้เวทมนตร์ในทางที่ผิด ในเวลาไม่กี่ปี โดโลเรสเลื่อนตำแหน่งเร็วมาก เธอทะเยอทะยาน พูดจาฉอเลาะ มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวหาตัวจับยากคนหนึ่ง โดโลเรสสร้างความประทับใจให้ทุกคนตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเข้ามาในฮอกวอตส์ ณ ห้องโถงใหญ่ด้วยการยืนระหว่างที่ดัมเบิลดอร์กำลังพูดถึงกฎของโรงเรียน ไม่เคยมีอาจารย์คนไหนขัดจังหวะคำปราศรัยของอาจารย์ใหญ่กลางคันแบบนี้มาก่อน แต่เธอก็ทำ แถมการปราศรัยของเธอช่างน่าเบื่อ หัวเก่า ออกแนวห้ามปรามไม่ให้ทำเสียด้วยซ้ำ“อาจารย์ใหญ่ทั้งชายและหญิงของโรงเรียนฮอกวอตส์ทุกท่านได้นำสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาสู่ภาระหน้าที่อันหนักอึ้งในการปกครองโรงเรียนซึ่งมีประวัติเก่าแก่ นี่เป็นสิ่งที่ควรจะเป็น เพราะถ้าปราศจากความก้าวหน้า ก็จะมีแต่ความเฉื่อยชาทรุดโทรม อย่างไรก็ตาม การกระทำเพื่อความก้าวหน้าเพียงอย่างเดียวต้องถูกห้ามปราม เพราะประเพณีที่ผ่านการทดสอบมานานของเราไม่ต้องการการแก้ไขแบบสักแต่ว่าทำ ขอให้ตั้งใจที่จะรักษาซึ่งสิ่งที่สมควรรักษา ปรับปรุงสิ่งที่ควรให้สมบูรณ์ และชำระสะสางไม่ว่าที่ไหนที่เราพบว่ามีการปฏิบัติที่ไม่สมควร”
วันแรกของการเรียนการสอน เธอทักเด็ก ๆ ที่เข้ามาในห้องว่า “สวัสดีตอนบ่ายจ้ะ” แต่พอนักเรียนสองสามคนพึมพำสวัสดีตอบกลับ เธอบอกว่าใช้ไม่ได้ ทุกคนต้องตอบอย่างพร้อมเพรียงว่า “สวัสดีตอนบ่าย ศาสตราจารย์อัมบริดจ์” จากนั้นศาสตราจารย์อัมบริดจ์ให้นักเรียนในชั้นเก็บไม้กายสิทธิ์ หยิบปากกาขนนกออกมาแทน ไม่มีการเสกคาถาในคาบอย่างที่เคยทำมา ทุกคนต้องก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ ‘ทฤษฎีเวทมนตร์ป้องกันตัว ของ วิลเบิร์ต สลิงก์ฮาร์ด’ พอเด็ก ๆ พึมพำตอบรับก็ยังไม่พอใจ บังคับให้ทุกคนตอบอย่างพร้อมเพรียงอีกครั้งว่า “ใช่ ศาสตราจารย์อัมบริดจ์” เธอทำความรู้จักนักเรียนได้ไม่ถึงสิบนาทีก็เริ่มเห็นแววเผด็จการเสียแล้ว ถึงจะวางอำนาจตั้งแต่ครั้งแรก โดโลเรสต้องรับมือกับ เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ แบบที่ตัวเองคงไม่คาดคิดเหมือนกัน เด็กสาวที่ถูกเรียกว่าเป็นเด็กฉลาดสุดในชั้นเรียนไม่ยอมเปิดหนังสือ จ้องตรงไปยังโดโลเรสและชูมือขึ้นอยู่นาน ทว่าครูก็ตั้งใจแน่วแน่ที่จะไม่มองมาทางเฮอร์ไมโอนี่เช่นกัน สงครามประสาทก่อตัวขึ้นในห้องเรียน เด็กคนอื่นเลิกก้มหน้าอ่านหนังสือพลางจ้องมองเฮอร์ไมโอนี่แทน จนโดโลเรสต้องยอมแพ้ เปิดโอกาสให้เด็กสาวตั้งคำถาม“นักเรียนต้องยกมือขึ้นเวลาที่ต้องการจะพูดในชั้นของฉันนะจ๊ะ”
เฮอร์ไมโอนี่ถามถึงวัตถุประสงค์ของวิชาป้องกันตัวจากศาสตร์มืด แต่โดนโดโลเรสสวนกลับมาว่าเด็กสาวไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะตัดสินว่าอะไรคือวัตถุประสงค์ของวิชา เพราะเฮอร์ไมโอนี่ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญการศึกษาที่ผ่านการอบรมจากกระทรวง กระทรวงมองว่าความรู้ทางทฤษฎีนั้นมากพอทำให้เด็ก ๆ สอบผ่านตามวัตถุประสงค์ของการมีโรงเรียน ซึ่งกระทรวงมองว่านักเรียนไม่จำเป็นต้องสนใจภาคปฏิบัติมากนักตราบใดที่รู้ทฤษฎีมากพอ (ซึ่งการร่ายคาถาในโลกของแฮร์รี่ พอตเตอร์ ไม่ใช่แค่ต้องท่องจำคาถาให้ได้มากที่สุด แต่ยังมีปัจจัยอื่นมากมายเกี่ยวเนื่องด้วย และการลองเสกคาถาในชั้นเรียนคือสิ่งสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าทฤษฎีในหนังสือ)คาบแรกจบลงพร้อมกับการตั้งคำถามของเฮอร์ไมโอนี่และการระเบิดอารมณ์ของแฮร์รี่ เด็กชายถูกสั่งกักบริเวณตลอดทั้งสัปดาห์ ซึ่งการกักบริเวณทำให้โดโลเรสมีโอกาสได้ใช้ความซาดิสม์กับความสามารถของเธอมาปรับใช้ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ เธอคิดค้นปากกาขนนกสำหรับทำโทษนักเรียนโดยเฉพาะ ให้แฮร์รี่ใช้ปากกาแต่ไม่ให้น้ำหมึกเพื่อเขียนลงบนกระดาษว่า ‘ฉันต้องไม่โกหก’ จนกว่าข้อความจะซึมลงไป เมื่อไหร่ที่ปากกาทรมานชิ้นนี้ถูกใช้เขียนข้อความลงบนกระดาษ ข้อความดังกล่าวจะปรากฏอยู่บนหลังมือของผู้ใช้เหมือนกับใช้มีดกรีดเนื้อสด ๆ และแฮร์รี่ พอตเตอร์ เด็กชายวัย 15 ปี ได้บาดแผลจากครูผู้สอนของตัวเองด้วยการบังคับให้ใช้ปากกาขนนกกรีดเนื้อของตัวเองเป็นคำว่า ‘ฉันต้องไม่โกหก’ ทั้งที่เขาไม่เคยโกหกเรื่องการกลับมาของเจ้าแห่งศาสตร์มืดอย่างที่โดโลเรสเคยปรามาสไว้ เมื่อโดโลเรสยอมให้แฮร์รี่ออกจากห้อง เขาเดินช้า ๆ ไปตามระเบียงทางเดิน เลี้ยวที่มุมหนึ่งและวิ่งจนสุดชีวิต แม้ผ่านประสบการณ์มามาก แต่พอถูกอาจารย์ทำโทษด้วยวิธีการผิดแปลกปนขยะแขยง เขาก็รู้สึกกลัวได้เหมือนกัน ปล่อยให้เวลาผ่านไปนานมากกว่าแฮร์รี่จะยอมเล่าให้เพื่อนสนิทฟังว่าการกักบริเวณและคัดลายมือในห้องของโดโลเรส อัมบริดจ์ มีอะไรมากกว่าแค่การคัดลายมือบนกระดาษ หลังจากสอนได้ไม่นาน โดโลเรสใช้ความสามารถในการประจบประแจงให้รัฐมนตรีกระทรวงเวทมนตร์ผ่านร่างต่าง ๆ เพื่อให้กระทรวงเข้ามาปฏิรูปการศึกษาของโรงเรียน แทรกแซงฮอกวอตส์เต็มที่ด้วยการผ่านกฤษฎีกาการศึกษาฉบับที่ 22 ระบุว่าในกรณีที่อาจารย์ใหญ่ปัจจุบันไม่สามารถหาอาจารย์มาสอน กระทรวงสามารถเลือกบุคคลที่เหมาะสมแทนได้ นอกจากนี้ยังมีกฤษฎีกาฉบับที่ 23 แต่งตั้งเธอเป็นเจ้าพนักงานสอบสวนใหญ่คนแรกของฮอกวอตส์ สามารถเข้าชั้นเรียนของอาจารย์ทุกคน เพื่อตรวจสอบว่าบทเรียนมีคุณภาพและผ่านการเห็นชอบจากกระทรวงหรือไม่“นี่เป็นโรงเรียนนะจ๊ะ ไม่ใช่โลกจริง ๆ”
“ฉันมาที่นี่เพื่อช่วยเหลือนะจ๊ะ ฉันแน่ใจว่าเราจะต้องเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้แน่จ้ะ”
โดโลเรสทุ่มเวลาไปกับการตรวจสอบอาจารย์คนอื่น พยายามสืบดูว่าเด็ก ๆ ลอบทำอะไรผิดกฎใต้จมูกตัวเองหรือไม่ แต่ในคาบวิชาของตัวเอง เธอกลับสั่งให้นักเรียนอ่านหนังสือคาบละบท จบบทหนึ่งรออ่านบทสอง คาบถัดมาอ่านบทสองเพื่อรออ่านบทที่สาม แทบไม่สอนอะไรเด็ก ๆ ด้วยซ้ำ จนทำให้ปะทะคารมกับเฮอร์ไมโอนี่หลายรอบ เพราะเด็กสาวอ่านหนังสือทั้งเล่มจบไปแล้ว การสั่งให้อ่านหนังสืออย่างเดียวทำให้เด็กสาวที่พยายามอยู่ในกฎโรงเรียนรู้สึกผิดหวัง การศึกษาแบบนี้ไม่ได้ให้อะไร และการรวมกลุ่มกันก่อตั้ง ‘กองทัพดัมเบิลดอร์’ ก็เป็นความคิดของเธอ เฮอร์ไมโอนี่อยากให้คนที่มีความรู้เรื่องการป้องกันตัวจากศาสตร์มืดดีเยี่ยมอย่างแฮร์รี่ได้สอนใครก็ตามที่สนใจ ได้ทดลองใช้คาถากันจริง ๆ เรียนรู้จากประสบการณ์ ไม่ใช่การเรียนการสอนแบบท่องจำหรืออ่านหนังสือให้จบไปแต่ละคาบ“ถูกไล่ออกแล้วป้องกันตัวเองได้ ยังดีกว่านั่งปลอดภัยอยู่ในโรงเรียนแต่ไม่มีปัญญาทำอะไรเลย”
- ซีเรียส แบล็ก ตอบเฮอร์ไมโอนี่เมื่อถูกถามว่าจะเป็นอย่างไรต่อหากกองทัพดัมเบิลดอร์ถูกจับได้
โดโลเรสพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะรู้ทุกการเคลื่อนไหวของครูและนักเรียนในฮอกวอตส์ เธอยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองบรรลุเป้าหมายถึงขั้นดักโจมตีนกฮูก ใช้สัจจะเซรุ่มกับนักเรียน (เด็กนักเรียนไม่ใช่นักโทษ) ตบหน้าแฮร์รี่ จับกุมเขา ชี้ไม้กายสิทธิ์ไปตามจุดต่าง ๆ ของร่างกายแฮร์รี่คล้ายกับหาว่าส่วนไหนจะสร้างความเจ็บปวดมากที่สุด ตื่นเต้นที่จะได้ใช้คำสาปกรีดแทงกับเด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะ ซึ่งความตื่นเต้นดังกล่าวทำให้เธอคายความลับออกมาหมดเปลือกว่าตัวเองนี่แหละที่เป็นคนส่งผู้คุมวิญญาณไปจัดการแฮร์รี่ช่วงปิดเทอม เพื่อให้เด็กชายมีความผิด ถูกไล่ออก หรือกลายเป็นจำเลยสังคม บอกความจริงในใจเป็นครั้งแรกว่าเธอเกลียดเด็ก ๆ เป็นที่สุด“พวกเธอเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่เป็นระเบียบที่สุด ทุกคนรู้ว่าฉันพยายามช่วยพวกเธอแล้ว ช่วยปลูกฝังระเบียบวินัย ให้มีมารยาท ฉันพยายามให้พวกเธอเป็นผู้เป็นคน แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือความเละเทะนอกคอก ไม่ยอมอยู่ในกฎเกณฑ์ ดูพวกแกทำกับฉันสิ! ฉันจะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว ขอให้คำมั่นกับอำนาจที่มีอยู่ การมอบจุดจบให้กับพวกเธออาจเป็นหนทางที่ดีที่สุด จะไม่มีใครตำหนิฉันได้ถ้ามันต้องลงเอยแบบนี้ ฉันต้องทำ เพื่อประโยชน์สุขของคนส่วนใหญ่” - โดโลเรส อัมบริดจ์ เผยความในใจต่อแฮร์รี่และเฮอร์ไมโอนี่ในป่าต้องห้าม (เป็นฉากที่ถูกตัดออก) ก่อนพบกับกลุ่มเซ็นทอร์
การเข้ามาเป็นอาจารย์สอนวิชาป้องกันตัวจากศาสตร์มืด เจ้าพนักงานสอบสวนใหญ่คนแรกของฮอกวอตส์ และเป็นอาจารย์ใหญ่ฮอกวอตส์ในช่วงสั้น ๆ ก่อให้เกิดยุคมืดในโรงเรียนอย่างน่าใจหาย ท้ายที่สุดเธอถูกไล่ออกจากโรงเรียนเมื่อดัมเบิลดอร์ถูกพิสูจน์ว่าไม่ใช่ตาแก่สติเฟื่องพูดจาเพ้อเจ้อ ดัมเบิลดอร์กับแฮร์รี่พิสูจน์ตัวเองมาตลอดทั้งปีว่าลอร์ดโวลเดอมอร์กลับมาแล้วจริง ๆ แต่ถึงถูกไล่ออก ทว่าในปีถัดมา รัฐมนตรีกระทรวงเวทมนตร์คนใหม่กลับรับโดโลเรส อัมบริดจ์ กลับเข้ามาทำงานในกระทรวงอีกครั้ง ทำเหมือนไม่รับรู้ว่าเธอเคยทำร้ายร่างกายแฮร์รี่ พอตเตอร์ กับเด็ก ๆ ที่โรงเรียนฮอกวอตส์มาก่อน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอยังคงยืนหยัดได้อย่างน่าหมั่นไส้เสมอ ในยุคที่โวลเดอมอร์เรืองอำนาจ กลุ่มผู้เสพความตายเข้าแทรกแซงกระทรวง สังหารรัฐมนตรีคนก่อนและให้ ไพอัส ทิกเนส ขึ้นเป็นรัฐมนตรีคนใหม่ ผู้เป็นหุ่นเชิดของลอร์ดมืด กระทรวงคุมเข้มเครือข่ายผงฟลูที่ใช้เดินทาง ควบคุมสื่อเพื่อป้ายสีพรรคพวกของแฮร์รี่ พอตเตอร์ ทำให้เขากลายเป็นผู้ไม่พึงปรารถนาหมายเลข 1 เปิดช่องว่างทางกฎหมายใช้กำลังบีบบังคับหรือทรมานเพื่อรีดข้อมูลจากแหล่งข่าว ส่งผู้เสพความตายไปคุมฮอกวอตส์ สถานที่สำคัญของผู้วิเศษอังกฤษที่บ่มเพาะเยาวชนรุ่นใหม่ นอกจากการตามล่าแฮร์รี่ พอตเตอร์ กระทรวงเวทมนตร์ยังทรมานพวกพ่อมดแม่มดที่เกิดจากครอบครัวมักเกิ้ล โดยอ้างเหตุผลไร้สาระว่ากองปริศนาเพิ่งทราบข้อมูลเกี่ยวกับเวทมนตร์ที่จะสืบทอดกันเป็นรุ่น ๆ ทางสายเลือด หากลูกมักเกิ้ลคนไหนไม่สามารถพิสูจน์ว่าบรรพบุรุษเป็นผู้วิเศษ ถูกกล่าวหาว่าลักขโมยหรือยึดอำนาจวิเศษจากผู้วิเศษคนอื่นเป็นของตน (แน่นอนว่าเป็นข่าวปลอม) ออกข้อบังคับให้มักเกิ้ลในโลกผู้วิเศษต้องแสดงตัวต่อคณะกรรมาธิการลงทะเบียนผู้ที่เกิดจากมักเกิ้ล ซึ่งเป็นหน่วยงานตั้งขึ้นใหม่เพื่อทรมานผู้คนโดยเฉพาะ โดยมีหัวเรือหลักคือ โดโลเรส อัมบริดจ์ ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งปลัดกระทรวงอาวุโส พ่วงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการลงทะเบียนผู้ที่เกิดจากมักเกิ้ล หลังสงครามสุดท้ายที่ฮอกวอตส์จบลงพร้อมความพ่ายแพ้ของลอร์ดโวลเดอมอร์ โดโลเรส อัมบริดจ์ ถูกนำตัวขึ้นศาลในข้อหาหนักหลายกระทง ให้ความร่วมมืออย่างเต็มใจในยุคที่เจ้าแห่งศาสตร์มืดยึดกระทรวงเวทมนตร์ ทรมาน กักขัง ผู้บริสุทธิ์จนทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก รับโทษจำคุกตลอดชีวิตอยู่ในอัสคาบัน ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในคุกซอมซ่อและไม่มีเสื้อสีชมพูกับแมวเปอร์เซียที่มอบความพึงพอใจแก่เธออีกต่อไป โดโลเรส อัมบริดจ์ คือตัวละครที่รับความเกลียดชังมากเป็นอันดับต้น ๆ ของวรรณกรรมเรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์ นอกจากบทครูนิสัยเสียที่ไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองทำเป็นเรื่องผิด เรายังต้องมอบความดีความชอบให้กับฝีมือการแสดงของ อิเมลดา สทอนตัน (Imelda Staunton) ที่ตราตรึงผู้ชมทุกคนไม่ว่าเธอจะไปเล่นหนังเรื่องไหน รับบทเป็นนางฟ้าหรือคาแรคเตอร์อื่น ๆ คนก็ยังติดตาอิเมลดาในเวอร์ชันครูสีชมพูสุดซาดิสม์ได้ขึ้นใจอยู่ดีที่มา เจ.เค. โรว์ลิง. 2546. แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับภาคีนกฟีนิกซ์. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ: นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์ เจ.เค. โรว์ลิง. 2547. แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับเจ้าชายเลือดผสม. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ: นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์ เจ.เค. โรว์ลิง. 2550. แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับเครื่องรางยมทูต. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ: นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์ เรื่อง: ตรีนุช อิงคุทานนท์“ฉันจะขอ ออกคำสั่ง!”